สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

จิตสำนึกคนไทยกับต่างชาติยึดที่นา/คอลัมน์ส่องความคิด

จาก โพสต์ทูเดย์
รายงานโดย :วีเจสแคท:



จิตสำนึกคนไทยกับต่างชาติยึดที่นาควันหลง จากกรณีที่กลุ่มประเทศคณะมนตรีความมั่นคงรัฐอ่าวอาหรับ หรือจีซีซี 6 ประเทศ ประกอบด้วย กาตาร์ โอมาน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ บาห์เรน คูเวต และซาอุดีอาระเบีย แสดงความสนใจเข้ามาทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์ และทำนาปลูกข้าวในไทย โดยอ้างเหตุผลความมั่นคงทางด้านอาหารจากการไม่มีพื้นที่เกษตรกรรมเพียงพอ

ถือเป็นการรุกคืบอีกครั้งของกลุ่มทุนตะวันออกกลาง หลังจากที่ก่อนหน้านี้ประเด็นดังกล่าวเคยถูกพูดถึงในสมัยนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี

และเป็นวาระร้อนที่เกิดขึ้นหลังจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เคยชักชวนนักธุรกิจชาวซาอุดีอาระเบีย นายวาลิด อาเหม็ด จัฟฟาลี รองประธานบริษัท ซาอุดีซีเมนต์ (เอสซีซี) ซึ่งเป็นบริษัทซีเมนต์รายใหญ่ที่สุดในซาอุดีอาระเบีย เข้ามาลงทุนทำนาหรือเช่าที่ดินทำนา และการส่งข้าวออกขายต่างประเทศ

พร้อมทั้งได้จัดตั้งบริษัท รวมใจชาวนา ขึ้นเพื่อรองรับการลงทุนของนักธุรกิจชาวซาอุดีอาระเบีย แต่ในครั้งนั้นกระแสดังกล่าวถูกต่อต้านจากทั้งพรรคการเมือง องค์กรภาคประชาชน ตลอดจนกลุ่มเกษตรกร เนื่องจากเป็นการเปิดช่องให้ต่างชาติเข้ามาแย่งชิงการใช้ประโยชน์จากที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ และการเกษตร ซึ่งไม่แตกต่างไปจากกระแสต่อต้านในครั้งนี้ที่อาชีพทำนา ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ควรจะถูกสงวนไว้สำหรับคนไทยเท่านั้น

ทั้งนี้ หากมองในแง่ของกฎหมายที่ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นเครื่องมือในการสกัดกั้นกลุ่ม ทุนตะวันออกกลาง โดยเฉพาะพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2552 ซึ่งรายละเอียดของกฎหมายบอกไว้ชัดอยู่แล้วว่า ต่างชาติไม่มีสิทธิเข้ามาประกอบอาชีพทำนา และฟาร์มเลี้ยงสัตว์ในไทย เพราะเป็นอาชีพที่อยู่ในบัญชี 1 แนบท้ายในพ.ร.บ.ต่างด้าว

เว้นแต่ว่าการเข้ามารุกคืบครั้งนี้ กลุ่มทุนจะเข้ามาถือหุ้นจัดตั้งเป็นบริษัทเพื่อดำเนินกิจกรรมดังกล่าวไม่ เกิน 49.99% เพราะถือเป็นนิติบุคคลไทย สามารถประกอบธุรกิจได้ทุกอย่างในประเทศไทย สุ่มเสี่ยงกับการหาคนไทยเข้ามาถือหุ้นแทนให้ (นอมินี) เพื่อให้ต่างชาติยังถือหุ้นไม่เกิน 49.99%

แม้ที่ผ่านมากรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ จะมีการสุ่มตรวจนิติบุคคลที่จดทะเบียนกับกรม ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 5.4 แสนบริษัท เป็นธุรกิจที่มีต่างชาติถือหุ้นอยู่ 6 หมื่นบริษัท โดยเน้นสุ่มตรวจไปที่บริษัทที่มีต่างชาติถือหุ้นอยู่ในสัดส่วน 40-49% เพราะเป็นกลุ่มเสี่ยงที่อาจมีคนไทยเป็นนอมินีให้

หลังจากที่เกิดกรณีใหญ่อย่างบริษัท กุหลาบแก้ว กับการซื้อขายหุ้นชินคอร์ป ตามด้วยการตรวจสอบ 12 บริษัท ที่ถูกร้องเรียนว่าอาจมีคนไทยถือหุ้นแทนเพื่อทำธุรกิจสื่อสาร ค้าปลีก อสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ ในประเทศไทย

จนถึงขณะนี้การตรวจสอบยังไม่มีความคืบหน้า โดยประเด็นบริษัท กุหลาบแก้ว ที่ไปติดขัดอยู่ที่ขั้นตอนของตำรวจ หรือแม้กระทั่งการตรวจสอบสถานะของ 12 บริษัท ที่ยังไม่มีข้อมูลบ่งชี้ได้ว่าเข้าข่ายการมีสถานะเป็นนอมินี

การสุ่มตรวจสอบจึงเป็นเพียงการไล่ตรวจจับปลายเหตุเท่านั้น ที่ยังไม่สามารถจะเอาผิดหรือสาวลึกจนเจอต้นตอของความผิดได้

ประเด็นนอมินีจึงขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของคนไทยทุกคน มากกว่าที่จะปล่อยให้ต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจซึ่งเป็นอาชีพดั้งเดิมตั้งแต่ บรรพบุรุษของคนไทย ด้วยการยินยอมที่จะรับเป็นนอมินีให้กับต่างชาติที่ต้องการเข้ามาแสวงหา ทรัพยากรบนผืนแผ่นดินไทย และกอบโกยผลประโยชน์กลับประเทศของตนเอง

เพราะแม้จะมีการสุ่มตรวจเข้มงวดเพียงใด แต่หากคนไทยยินยอมพร้อมใจที่จะเป็นนอมินีเพื่อแลกกับเงินเพียงเล็กน้อย ซึ่งกลุ่มทุนเหล่านี้มีความสามารถพอที่จะกว้านซื้อทุกอย่างให้อยู่ในครอบ ครองได้อยู่แล้ว

ส่วนการสุ่มตรวจก็คงไม่เกิดประโยชน์ หากคนไทยยังมีส่วนช่วยในการปิดบัง อำพรางไม่ให้ข้อมูลเพื่อตรวจสอบสถานะเป็นนอมินีนี้ได้

ดังนั้น คนไทยทุกคนจะต้องมีส่วนร่วมเพื่อช่วยเหลือและป้องกันการหลบเลี่ยงกฎหมายไว้ แต่เนิ่นๆ ด้วยการหวงแหนสิ่งที่บรรพบุรุษไทยสร้างมาไว้แต่ต้น อย่าไปนั่งรอให้กฎหมายตรวจจับ เพราะกว่าจะรู้อีกทีประเทศไทยก็คงโดนกอบโกยทรัพยากรของชาติและผลประโยชน์ไป มากแล้ว เมื่อถึงวันนั้นจะมานั่งเสียดายกับความสูญเสียผืนแผ่นดินทางการเกษตรก็คงไม่ ทำให้อะไรดีขึ้นมา

view