สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

ปูนซีเมนต์ไทย กรณีเลวร้ายที่สุดไม่เกิดขึ้น/คอร์ปอเรตโฟกัส

จาก โพสต์ทูเดย์
รายงานโดย :เจียรนัย อุตะมะ

jiaranaiu@posttoday.com:


บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) กลับมาได้รับความสนใจจากสาธารณชนอีกครั้งหนึ่ง เมื่อผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2552 ออกมาดีเกินคาดเป็นครั้งแรกในรอบ 1 ปี นับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจโลกเกิดขึ้น โบรกเกอร์แทบทุกแห่งได้ปรับประมาณการกำไรสุทธิในปีนี้และเป้าหมายราคาหุ้น

การกลับมาของ SCC ในครั้งนี้เกิดจากแผนการดำเนินธุรกิจช่วงวิกฤตที่มีมุมมองต่อเศรษฐกิจไว้ใน กรณีเลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2550 เป็นต้นมา เพราะนอกจากบริษัทจะเผชิญกับขาลงของธุรกิจปิโตรเคมีที่ทำกำไรหลักให้บริษัท แล้วยังต้องเผชิญกับขาลงของเศรษฐกิจโลกด้วย

“เรามีแผนงาน 5 ปีที่ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการเมื่อเดือนส.ค. 2551 แต่ต้นเดือนก.ย. สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ของสหรัฐทั้ง เจพี มอร์แกน ย่ำแย่ ราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นไปถึง 140 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล กลางเดือนก.ย. เลห์แมน บราเธอร์ส เจ๊งจนต้องปรับแผนใหม่มีกรณีเลวร้าย เลวร้ายกว่า และเลวร้ายที่สุด” กานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ SCC กล่าว

ระมัดระวังสูง

SCC ใช้แผนกรณีเลวร้ายที่สุด สำรองเงินสดหมุนเวียน เพราะกลัวว่าธนาคารจะไม่ปล่อยกู้ พร้อมกับการดูแลสินค้าคงคลัง ที่ตอนนี้กลับมาเป็นผลดีต่อผลการดำเนินงานของบริษัท เพราะเมื่อสถานการณ์ที่ว่านั้นไม่ได้เกิดขึ้น

รัฐบาลทั่วโลกพร้อมใจกันอัดเม็ดเงินเข้าช่วยเหลือสถาบันการเงินและ มีแผนกระตุ้นเศรษฐกิจทำให้เม็ดเงินหมุนเวียนเข้ามาในเศรษฐกิจโลก ทำให้สถานการณ์คลี่คลายขึ้นถึงขนาดที่ถกเถียงกันว่าพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว

แม้ปี 2551 กำไรสุทธิ SCC ทรุดลง 88% จากปี 2550 แต่บริษัทยังเดินหน้าตามแผน 5 ปีที่จะเป็นผู้นำอาเซียนในปี 2558 โดยไม่ลดงบประมาณใน 3 เรื่อง คือ งบประมาณพัฒนาคน วิจัยและพัฒนา และงบการขายและการตลาด

การดำเนินการตามแผนดังกล่าวทำให้วิกฤตการณ์ที่เข้ามากระทบส่งผลดีให้ SCC ฟื้นเร็วเกินคาด เพราะตั้งเป้าหมายไว้ต่ำ

“การฟื้นตัวเร็วเกินคาดของเราเกิดจากทั้งภาพรวมที่ประเมินวิกฤตไว้ เลวร้ายที่สุด กับความสามารถของบริษัทที่ประสบความสำเร็จดีเกินคาดจากกลยุทธ์เพิ่มปริมาณ สินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม หรือ High Value Added Products and Services (HVA)”

สิ้นไตรมาส 2 ปี 2552 SCC มีกำไรสุทธิ 6,837 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% จากไตรมาสแรก และดีเกินกว่าที่คาดการณ์ของบริษัทและนักวิเคราะห์ในตลาดที่ประมาณการไว้ที่ 5,000 ล้านบาท ถึงเกือบ 6,000 ล้านบาท ส่งผลให้ครึ่งแรกปีนี้บริษัทมีกำไรสุทธิ 1.2 หมื่นล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 16% จาก 1.4 หมื่นล้านบาท มีเงินสด 2.9 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ กำไรสุทธิหลักครึ่งแรกของปีมาจากธุรกิจปิโตรเคมีประมาณ 50% หรือ 5,744 ล้านบาท รองลงมาคือ ธุรกิจซีเมนต์ที่ 3,186 ล้านบาท และธุรกิจกระดาษ 878 ล้านบาท

“กานต์” เล่าว่า กำไรที่ดีกว่าคาดในไตรมาส 2 มาจากธุรกิจปิโตรเคมีที่ยอดขายเพิ่มขึ้น 8% ธุรกิจนี้ทรุดหนักในไตรมาส 4 ปี 2551 ขาดทุนครั้งแรกหลังวิกฤตการณ์ปี 2540 แต่สถานการณ์เริ่มดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาสแรกปีนี้ที่มีการสั่งซื้อสินค้าต่อ เนื่องมาถึงไตรมาส 2 ที่เชื่อว่าเป็นคำสั่งซื้อที่เกิดจากความต้องการอย่างแท้จริง โดยส่วนต่างราคาวัตถุดิบและราคาขาย (Spread) เริ่มสูงขึ้นและสูงกว่าไตรมาสแรก แม้ว่ายังต่ำกว่าไตรมาส 4 ปี 2551 ส่งผลให้อัตรากำไรธุรกิจปิโตรเคมีดีกว่าที่คาด

การที่ Spread เพิ่มขึ้นเกิดจากกำลังการผลิตใหม่เอทิลีนเข้ามาตลาดโลกล่าช้า จากต้นปี 2552 ที่คาดว่าจะเข้ามา 9 ล้านตัน จากกำลังการผลิตในตลาดโลก 30 ล้านตัน ปรากฏว่าเมื่อถึงกำหนดเดือนเม.ย.และพ.ค. โครงการได้เลื่อนออกไปอีก คาดว่าจะเข้ามาในครึ่งหลังของปีนี้ แต่จนถึงขณะนี้คาดว่าจะเลื่อนเข้ามาเป็นปี 2553 ล่าสุดคาดว่าปีนี้เอทิลีนใหม่จะเข้ามาเพียง 5.5 ล้านตัน โดย 3-4 ล้านตัน ที่เหลือคาดว่าจะเลื่อนออกไปในปีหน้า

“แนวโน้มไตรมาส 3 คาดว่าอัตรากำไรธุรกิจปิโตรเคมียังดีอยู่ แต่ไตรมาส 4 จะอ่อนตัวเพราะกำลังการผลิตใหม่จะทยอยเข้ามา แต่ก็ไม่แน่ธุรกิจนี้คาดเดายาก”

ธุรกิจซีเมนต์ยอดขายและราคาได้ลดลงอย่างต่อเนื่องตามสภาพตลาด โดยตามฤดูกาลของธุรกิจนี้ราคาจะดีในไตรมาส 4 และไตรมาสแรก แต่ราคาอ่อนตัวในไตรมาส 2 และไตรมาส 3 ที่เป็นช่วงฤดูฝนที่การก่อสร้างน้อย แต่นับว่าความต้องการซีเมนต์ยังดีกว่าคาด

“ผมเคยคาดไว้เมื่อต้นปีว่าธุรกิจซีเมนต์ยอดขายปีนี้จะลดลง 15% แต่ปีนี้คาดว่าจะติดลบน้อยลงประมาณลดลง 5-10% จากที่คาดว่ายอดขายตลาดจะลดลง 7% แต่แนวโน้มครึ่งหลังคาดว่าจะดีกว่าครึ่งปีแรก”

ด้านธุรกิจกระดาษยอดขายและราคาเพิ่มขึ้น จากที่ได้รับผลกระทบหนักเมื่อไตรมาส 4 ปี 2551

“ไตรมาสแรกราคาเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 4 ปี 2551 และอ่อนตัวในไตรมาส 2 ตอนนี้ไตรมาส 3 เดือนก.ค. ราคาได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นพร้อมกับยอดขายฟื้น ซึ่งต้องดูทิศทางการส่งออกของไทยซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้น”

สำหรับผลิตภัณฑ์วัสดุก่อสร้างยังไปได้ดี HVA มีผลิตภัณฑ์ออกมาเยอะมาก ธุรกิจจัดจำหน่ายไปได้ด้วยแผนลดต้นทุน

อย่างไรก็ตาม “กานต์” เชื่อว่า ทั้งปี 2552 ยอดขายสินค้า HVA คงทรงตัวจาก 26% ของยอดขายรวมจากครึ่งปีแรกแต่ถือว่าเพิ่มขึ้นมากเทียบ 19% ของยอดขายรวมเมื่อปี 2551

สินค้า HVA ส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่ได้รับรองมาตรฐาน SCG Eco Value หรือผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่ SCC เพิ่งออกวางขายเมื่อต้นปี โดยกลุ่มธุรกิจที่มีอัตราส่วนยอดสินค้านี้สูงสุดคือ ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เช่น ผลิตภัณฑ์ทดแทนไม้ สมาร์ตวูด ตามมาด้วยผลิตภัณฑ์กระดาษ เช่น กระดาษไอเดียกรีน ปิโตรเคมี เช่น PE100, Active Flow ผลิตภัณฑ์ซีเมนต์ เช่น ปูนเสือมอร์ต้าร์ ผลิตภัณฑ์จัดจำหน่าย เช่น เอ็กซพีเรียนซ์ และ Green Logistics

พลิกกลับ

ผลประกอบการที่แข็งแกร่งในไตรมาส 2 และครึ่งปีแรกทำให้บรรดานักวิเคราะห์ได้ปรับประมาณการกำไรหุ้นนี้ขึ้น

อย่างไรก็ตาม แม้แนวโน้มทั้งปีดูเหมือนจะดีกว่าที่คาดไว้มากจน “กานต์” คาดว่าทั้งปียอดขายของบริษัทจะติดลบเพียงลบ 20% ถึงลบ 25% จากครึ่งแรกของปีที่ติดลบ 29% แต่ยังกังวลเรื่องกำไร เพราะปี 2551 ราคาปิโตรเคมีสูงถึง 2,000 เหรียญสหรัฐต่อตัน แต่ปีนี้อยู่ที่เพียง 1,200 เหรียญสหรัฐต่อตัน

นักวิเคราะห์ บล.เกียรตินาคิน คาดว่า ผลประกอบการครึ่งปีหลังของ SCC จะทรงตัวจากครึ่งปีแรกเพราะกำลังผลิตใหม่ของปิโตรเคมีเข้ามาล่าช้ากว่ากำหนด ทำให้กำไรยังดี แต่ซีเมนต์ยังได้รับแรงกดดันจากงบประมาณภาครัฐในการก่อสร้างไม่สูงมากนัก

“กานต์” เชื่อว่างบกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจะเห็นผลในปีหน้า แต่ความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการจะกลับมาก่อน เพราะการขึ้นโครงการอสังหาริมทรัพย์ใกล้รถไฟฟ้า แม้ว่าการลงทุนของเอกชนยังน้อย

SCC เชื่อว่า เศรษฐกิจโลกดีขึ้นแล้วจากราคาบ้านในสหรัฐที่กลับมาดีเป็นเดือนแรกในเดือน มิ.ย. แม้ว่าความเชื่อมั่นของ ผู้บริโภคในสหรัฐยังไม่ดีขึ้น แต่บ้านนับเป็นการบ่งบอกความมั่งคั่งของคนอเมริกันจึงเป็นสัญญาณที่สำคัญ กว่า ซึ่งจะส่งผลดีต่อการส่งออกสินค้าของบริษัทที่คิดเป็น 30% ของรายได้ทั้งหมด

ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีและกระดาษมีสัดส่วนการส่งออกที่กระจาย ไปหลายประเทศ โดย 67% ส่งออกไปอาเซียน ภูมิภาคที่คาดว่าเศรษฐกิจจะดีที่สุดในโลก

ภายหลังประกาศผลประกอบการไตรมาส 2 และครึ่งแรกปีนี้ออกมา บรรดานักวิเคราะห์ได้ปรับประมาณการกำไรสุทธิ SCC ขึ้นเป็น 2-2.3 หมื่นล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 25-43% จากปี 2551 ที่อยู่ที่ 1.6 หมื่นล้านบาท และให้ราคาเป้าหมายสูงกว่า 200 บาทต่อหุ้น

ประมาณการของนักวิเคราะห์นับว่ามั่นใจเกินกว่าผู้ประกอบการ...

view