สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

ภูธนแสงทอง ธุรกิจดับฝัน ทำลายอนาคตคนอยากมีบ้าน

จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์


“วิน” หรือ วินเนอร์ เดชเพียร หนึ่งในผู้ได้รับความเดือดร้อนจากการตกเป็นเหยื่อหลงใช้บริการรับสร้างบ้าน กับบริษัทในเครือภูธนแสงทอง สะท้อนอารมณ์ว่า บ้าน คือ ความฝันของมนุษย์ทุกคน บ้านไม่ใช่สินค้าฟุ่มเฟือย ไม่ใช่ของใช้ชิ้นเล็กๆ ที่แม้จะถูกหลอก ถูกโกงไปแล้วเราจะทำใจได้ง่ายๆ แต่บ้านคือความฝัน บ้านคือสิ่งที่คนหนึ่งคนต้องสะสมเงินทั้งชีวิตเพื่อให้มีบ้านได้สัก 1 หลัง ในชีวิตคนๆ หนึ่งคงมีไม่มากนักจะมีบ้านกันคนละหลายๆ หลัง
       
       “การที่มีกลุ่มคนหนึ่งมาตั้งบริษัทเพื่อหลอกเอาเงินกับคนสร้างบ้าน เปรียบได้กับการตั้งบริษัทเพื่อคอยทำลายความฝันของคน และทำลายความสุข ของครอบครับ ของคนในสังคมก็ว่าได้ และหากจะว่าไปแล้วคดีในรูปแบบนี้ไม่น่าจะเป็นคดีแพ่งและพาณิชย์ เพราะเป็นคดีที่ส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจ ถือเป็นอาชญากรรมทางเศรษฐกิจด้วยซ้ำ แต่ทำไมหน่วยงานราชการยังไม่มีการควบคุมธุรกิจนี้ และยังปล่อยให้มีการหากินบนความเดือดร้อน ของคนกลุ่มนี้อยู่ในวงการบ้านหรืออสังหาริมทรัพย์”
       
       สำหรับบ้านหลังนี้ หากไม่มีลูกก็ไม่ยังไม่คิดจะสร้าง ..! เพราะเดิมทีก็ซื้อคอนโดมิเนียมอยู่กับภรรยา 2 คนก็สะดวกสบายดี แต่หลังจากที่มีลูก ก็อยากให้ลูกได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี ประกอบกับแม่ของภรรยาเองก็อยากให้ย้ายไปอยู่ใกล้ๆ กันเพราะอยากอยู่ใกล้ๆ กับหลาน ซึ่งขณะนั้นข้างบ้านของภรรยานั้นประกาศขายที่ดิน จึงตัดสินใจนำเงินสะสมที่มีอยู่กว่า 5ล้านบาท ไปซื้อที่ดินแปลงที่ติดกับบ้านของแม่ภรรยา ซึ่งในการซื้อที่ดินนั้นต้องกู้ธนาคารเพิ่มอีก 1 ล้านบาท จึงสามารถซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวได้
       
       หลังจากนั้น ก็เริ่มมองหาบริษัทรับสร้างบ้านเข้ามาช่วยก่อสร้างบ้านให้ ซึ่งก่อนหน้าที่จะมาเจอกับบริษัท ภูธนแสงทอง นั้น ได้เข้ามาไปสอบถามบริษัทรับสร้างบ้านหลายๆ บริษัท แต่ยังไม่ถูกใจแบบบ้าน จึงรอดูในงานนิทรรศการและงานมหกรรมบ้านต่างๆ จนได้พบกับ “นายศิวัช” ซึ่งขณะนั้นเปิดบริการบริษัทรับสร้างบ้านอยู่ 3 บริษัท ประกอบด้วย บริษัท พีทีเอส โฮม จำกัด บริษัท ภูธนแสงทอง จำกัด และบริษัท เพรสซิเด้นท์ โฮม จำกัด ซึ่งแต่ละบริษัทมีการแบ่งกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกันออกไป
       
       ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า ระบบการให้บริการของบริษัทนี้ค่อนข้างเอาใจใส่ลูกค้าอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยเรื่องแนวคิดการออกแบบบ้าน การต่อรองเรื่องราคาก่อสร้างบ้าน การบริการต่างๆ เพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจ สร้างบ้านด้วย ซึ่งเท่าที่สัมผัสกับหลายๆ บริษัทไม่มีบริษัทใดที่เข้ามาบริการดีอย่างนี้ เช่นการส่งสถาปนิกเข้ามารับฟังความเห็นและพูดคุยในการออกแบบบ้านทำให้เกิด ความประทับใจและเมื่อแบบบ้านออกมาก็ตรงกับที่เราต้องการทำให้ตัดสินใจสร้าง บ้านกับบริษัทดังกล่าว
       
       “คุณ จะเอาอะไรเค้าพร้อมหาให้คุณได้หมด อยากได้อะไรเพิ่มเติม ต่อเติมส่วนไหนแก้ไขแบบบ้านส่วนไหน เค้าทำให้ทุกอย่างแม้กระทั่งการต่อรองเรื่องราคา และการให้ส่วนลดที่สูงเกินความน่าจะเป็นก็สามารถพูดคุยได้ ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่ล่อใจให้ลูกค้าส่วนใหญ่ตัดสินใจสร้างบ้านกับนายศิวัช”
       
       จากการบริการตอบรับการพูดคุย และหารือเรื่องต่างๆ ที่มีระบบการให้บริการแบบถึงบ้านนั้นทำให้ลูกค้าทุกคนมีความเชื่อมั่นและ มั่นใจกล้าตัดสินใจสร้างบ้านกับบริษัทในเครือภูธนแสงทอง แต่ลูกค้าทุกรายหารู้ไม่ว่าสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการกระทำของ “นายศิวัช” นั้น เป็นหลุมพราง เป็นกับดักที่ทำให้ลูกค้าของบริษัทดังกล่าวต้องมาเสียใจ และผิดหวัง และฝันสลายในวันนี้
       
       ปัญหาและภาระที่เกิดจากการหลอกลวงและหากินของนายศิวัช ในครั้งนี้ ส่งผลกระทบต่อชีวิตของครอบครัวผมอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นภาระด้านการเงิน ที่เกิดจากการกู้สถาบันการเงินมาเพื่อซื้อที่ดินและสร้างบ้านกว่า 5-6 ล้านบาท ภาระที่ต้องหาเงินเพิ่มเพื่อส่งลูกเรียนเพราะต้องนำเงินไปผ่อนค่างวดกับ สถาบันการเงิน นอกจากนี้ยังมีปัญหาการทะเลาะกับภรรยา ซึ่งมีสาเหตุจากการถูกโกงจากการสร้างบ้าน
       
       “อนาคต ของลูก ที่จะเรียนต่อ อนาคตของครอบครัว ที่จะมีบ้านเพื่ออยู่อาศัยในบั้นปลายชีวิตแทบจะหมดลงตรงนี้ ดีที่ผมยังไม่ยอมแพ้ เพราะยังต้องเลี้ยงดูลูกและครอบครัวต่อ ไปแต่ถ้าเป็นคนอื่นที่ตกอยู่ในภาวะเดียวกันกับผมและท้อแท้จนไม่อยากสู้ต่อ และหนีไป ปัญหาที่เกิดขึ้นคงตกอยู่ที่สถาบันการเงิน เพราะเกิดหนี้เสีย ผมเป็นหนึ่งใน 38 เคส ที่เกิดขึ้นจากผลงานของบริษัทในเครือภูธนแสงทองเท่านั้น แต่ถ้าในอนาคตมีบริษัท และกลุ่มคนที่หากินแบบนี้มากมาย โดยกฎหมายเอาโทษได้เพียงฟ้องแพ่ง และหน่วยงานราชการทำได้เพียงนั่งดูเฉยๆ รับรู้ข้อมูลแต่ไม่ดำเนินการอะไร ไม่ใช่เรื่องของ … ไม่เห็นต้องเดือดร้อน..! แล้วประชาชนผู้เดือดร้อน ครอบครัวผู้เดือดร้อน และธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากตรงนี้จะทำอย่างไร”
       
       2-3 ปีที่ผ่านมาหลังบอกเลิกสัญญาเพื่อหาผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหม่เข้ามาก่อ สร้างบ้านต่อ เพราะถูกทิ้งงานจากบริษัทดังกล่าว ผมต้องหาเงินเพื่อก่อสร้างบ้านต่อให้แล้วเสร็จอีก 1.5 ล้านบาท นับรวมแล้วบ้านหลังนี้ผมต้องใช้เงินในการก่อสร้างกว่า 10ล้านบาท นี้คือ ความเจ็บช้ำที่สุดในชีวิต
       
       อยากบอกว่า บ้านไม่ใช้สินค้าฟุ่มเฟือย เสียแล้วเสียไปหรือเสียไปก็หาใหม่ได้ง่ายๆ เหมือนรถยนต์ เหมือนแหวนเพชร หายแล้วหายไปเสียแล้วเสียไป ดังนั้นหากไม่มีการเข้ามาดูแลโดยหน่วยงานรัฐ ที่มีอำนาจหน้าที่สามารถลงโทษตัดสินผู้ทำผิดได้ โดยต้องรอให้ลูกค้าไปฟ้องคดีแพ่งต่อศาลเอง แต่ในช่วงที่ศาลยังไม่ตัดสินหรือแม้จะตัดสินแล้วแต่บริษัทที่หลอกผู้บริโภค ยังเปิดกิจการ โฆษณาธุรกิจผ่านเว็บไซต์ หากินไปเรื่อยๆ ไม่มีการยึดใบอนุญาต ไม่มีการลงโทษทางกฎหมาย จะมีผู้บริโภคอีกกี่รายในประเทศที่ถูกหลอกถูกเอาเปรียบและตกเป็นเหยื่อ ต้องสูญเงินและเสียหายอีกกี่ราย รัฐบาลหรือหน่วยงานราชการจึงจะรู้สึกอยากปกป้องผู้บริโภคและเข้ามาดูแลผู้ บริโภคอย่างจริงจัง
       
       “ผม ต้องฝันสลายกับเรื่องย่างนี้ รู้ถึงความเจ็บปวดดีว่ามันเป็นยังไง ผมจึงไม่ต้องการให้คนอื่นๆที่ยังมีฝันอยากมีบ้านเป็นที่พักพิง อยากมีบ้านไว้ให้ครอบครัว และคนที่เรารักได้อยู่อาศัย ได้มีความสุขในชีวิต มาฝันสลายอย่างผม” นายวินเนอร์ กล่าว


ช้ำ!สูญเงินสร้างบ้าน แบกหนี้ก้อนโตแถมเจอหมายศาล

จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์
       นส.ธมลวรรณ จิรวรพัฒน์ หรือ “เอมี่” พนักงานบริษัท ค้าอะไหล่รถยนต์ หนึ่งในผู้ที่ตกเป็นเหยื่อบริษัท พีทีเอสโฮม ในเครือภูธนแสงทอง ที่ปัจจุบันยังคงตระเวนหลอกผู้บริสุทธิ์บนความเดือดร้อนของผู้ประกอบอาชีพ สุจริต ที่เลี้ยงชีพและครอบครัว
       
          “ทุก วันนี้สุดช้ำใจกับพฤติกรรมของบริษัทนี้มาก นายศิวัช มาในคราบผู้ดี ใส่สูท แต่ตัวตนที่แท้จริง ร้ายกาจกว่าคนที่แต่งตัวปอนๆมาฉกชิงวิ่งราว เพราะคนที่ฉกชิงวิ่งราว เค้าเอาแค่ทรัพย์เล็กๆน้อยๆ พอประทังชีวิตของเค้า แต่กับบริษัทนี้เค้าใส่สูท มาหลอกเอาทรัพย์เราแบบชนิดหมดตัวกันเลยทีเดียว เรียกว่าโจรปล้น3-4ครั้ง ยังได้ทรัพย์ไปไม่เท่าเค้า เพราะโจรจะได้แค่ทรัพย์สินเงินทองไม่สามารถเอาเงินทองที่เราฝากไว้ในธนาคาร ได้ หรือไม่สามารถมาเอาที่ดินเราไปได้ แต่สำหรับบริษัทนี้ ทำให้เราต้องสูญเสียทั้งเงินทอง แล้วยังเป็นหนี้เงินกู้กับธนาคาร เรียกว่า ถ้าเราไม่หาเงินมาส่งธนาคารก็จะถูกยืดทั้งบ้านทั้งที่ดินของเรากันเลย แม้สภาพบ้าน จะเป็นบ้านที่ยังสร้างไม่เสร็จก็ตาม ”
       
       
นส.ธม ลวรรณ ถ่ายทอดความสูญเสีย จากเหตุการณ์ถูกทิ้งงานแล้วหอบเงินหนีของบริษัทในคราบโจรว่า ได้เซ็นสัญญาก่อสร้างบ้านกับบริษัท พีทีเอส โฮม จำกัด ตั้งแต่วันที่ 14 พ.ย.2549 ซึ่งตามสัญญาครบกำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จในวันที่ 14 พ.ย.50 แต่จนถึงปัจจุบันนี้บ้านก็ยังสร้างไม่เสร็จ ทำให้ต้องบอกเลิกสัญญาเพื่อหาช่างรับเหมาก่อสร้างรายใหม่เข้าก่อสร้างบ้าน ให้แล้วเสร็จ
       
       “ถ้ายังก่อสร้างบ้านกับ บริษัทนี้อยู่ ก็ไม่รู้ว่าจะกี่ปีถึงจะมีบ้านอยู่เหมือนเช่นคนอื่นๆ ทุกวันนี้เวลาเดินทางเข้าไปตรวจไซต์งานก่อสร้าง ที่ให้ช่างรับเหมาก่อสร้างต่อจากบริษัท พีทีเอส โฮม ยังนึกโกรธอยู่ทุกๆครั้ง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะจำนวนเงินที่สูญเสียไปกว่า 4.5 ล้านบาท หรือกว่า 130 % ของมูลค่าบ้านที่ทำสัญญาก่อสร้างไว้ 3.2ล้านบาท รวมถึงเสียเวลา เสียโอกาสทางธุรกิจที่เตรียม ค่าก่อสร้างตกลงกันไว้ 3.2 ล้านบาท แต่กลับมีการเบิกเงินล่วงหน้า มีการเพิ่มโน่นเพิ่มนี่ แล้วมาเรียกเก็บเงินเพิ่ม ทำให้เราเสียเงินไปมากกว่าสัญญาที่ตกลงไว้ ส่วนหนึ่งยอมรับว่า เงินที่เพิ่มขึ้นมาจากการแก้แบบ แต่ส่วนส่วนใหญ่ปัญหามาจากการตุกติกของนายศิวัช ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทดังกล่าว”
       
       สำหรับบ้านหลังนี้ เดิมตั้งใจจะสร้างเป็นเรือนหอของน้องสาวที่กำลังจะแต่งงาน และใช้เป็นสำนักงานเล็กๆ สำหรับทำธุรกิจส่วนตัว เพราะมีแผนว่าจะเปิดธุรกิจส่วนตัวให้น้องสาวเข้ามาช่วยดูแลด้วย แต่หลังจากที่ถูกทิ้งงานไม่ยอมสร้างบ้านต่อ ทำให้แผนและความฝันที่เตรียมไว้ ไม่ว่า เรื่องธุรกิจ เรื่องเรือนหอของน้องสาว ต้องมลายหายไป ด้วยฝีมือของ “โจรใส่สูท” ที่ยังแฝงตัวอยู่ในวงการธุรกิจรับสร้างบ้าน!
       
       “หมด กันโอกาสทางธุรกิจที่วางแผนไว้ เพราะก่อนหน้านั้นคิดและทำแผนธุรกิจ โดยได้ติดต่อลูกค้าและซับพลายเออร์ไว้หมดแล้ว แต่เมื่อสำนักงานของเราก่อสร้างไม่เสร็จ ก็ไม่สามารถเปิดบริษัทได้ คิดจะไปเช่าห้องเปิดบริษัทก็มีปัญหาเรื่องสภาพคล่อง เพราะเงินที่สะสมไว้ ถูกนำไปจ่ายค่างวดล่วงหน้าเกือบหมดแล้ว ขาดอีกเพียง 10,000 บาทก็จะครบจำนวนที่ต้องจ่ายให้ตามสัญญา ซึ่งวันนี้ เอมี่ ยังคงตามทวงเงินส่วนที่จ่ายไปเกินงวดงานก่อสร้างอยู่ แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้าอะไร บางครั้งก็พยายามทำใจ แต่อย่างไรก็ตาม ตั้งใจว่าจะดำเนินการให้ถึงที่สุดสำหรับเรื่องนี้”
       
       
นอก จากปัญหาที่ยังแก้ไม่ตกแล้วในวันนี้ ยังมีภาระหนักจากการกู้เงินสร้างบ้านหลังนี้ให้ตามแก้อีก ยอมรับว่าเหนื่อยใจจริงๆ แรกๆ ตอนที่เริ่มทำสัญญาก่อสร้าง ส่วนตัวอยากไปงานตกแต่งบ้าน งานแสดงสินค้าต่าง แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น บอกตรงๆ ว่า “ไม่มีอารมณ์...!”
       
       ปัญหาที่เกิดขึ้นวันนี้ สะท้อนให้เห็นว่า สังคมไทยเรา กฎหมายบ้านเรายังไม่ให้ความคุ้มครองผู้บริโภคอย่างจริงจัง เพราะ การทำสัญญาต่างๆ ผู้บริโภคถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ประกอบการทุกประตู และทุกวันนี้ บ้านเมืองเรา รัฐบาลหรือหน่วยงานราชการในบ้านเรา น่าจะมีการส่งสัญญาณที่ดีต่อผู้บริโภคบ้าง คือต้องออกกฎหมายให้ครอบคลุมเรื่องสัญญาการก่อสร้างที่เป็นธรรมสำหรับ ทั้ง2ฝ่าย คือ เจ้าของบ้านละผู้ประกอบการ ให้ได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายซะที
       
       “จาก วันนั้น ก็ผ่านมา 2 ปีกว่าแล้ว ที่จ่ายเงินไป แต่ยังไม่มีบ้านจะอยู่ แถมต้องแบกภาระผ่อนดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคาร โชคดีหน่อยก็ที่ยังพอมีเงินเหลือนิดหน่อยไว้ใช้จ่ายในช่วงนี้” เอมี่ กล่าวให้เห็นถึงผลกรรมที่ถูกนายศิวัชกระทำไว้ !
       
       แต่ที่โชคร้ายกว่าก็คือ ล่า สุดที่ผ่านมา ถูกหมายศาลเรียกตัวให้ไปรับทราบข้อกล่าวหา จากการก่อสร้างบ้านผิดแบบแปลนที่ยื่นขออนุญาตไป เพราะเชื่อใจให้บริษัท พีทีเอส โฮมฯไปยื่นขออนุญาตก่อสร้างให้ ซึ่งเค้ายื่นแบบก่อสร้างบ้านคนละแบบกับที่เราเลือกและตกลงกันไว้
       
       “ที่ เลวร้ายไปกว่านั้นก็คือ ถูกพ่อแม่ของสถาปนิก และวิศวกร ที่เคยเป็นพนักงานในบริษัท พีทีเอส โฮม โทรศัพท์มาต่อว่า และขู่อาฆาตไว้ เพราะมีหมายศาลเรียกตัวของสถาปนิกและวิศวกรทั้งคู่ไปรับทราบข้อกล่าวหาเช่น กันว่า ยื่นขออนุญาตแบบบ้านผิดแบบ ซึ่งพ่อ แม่ของอดีตพนักงานบริษัทดังกล่าวทั้ง2 กลัวว่า ลูกชายเค้าจะติดคุกเพราะลายเซ็นรับรองแบบบ้านนั้น เป็นรายเซ็นของสถาปนิก และวิศวกร ทั้งที่ความจริงแล้ว พนักงานทั้ง2คนดังกล่าวลาออกไปทำงานและเรียนต่อต่างประเทศเมื่อ 2 ปีที่แล้ว แต่บริษัทนี้ยังใช้ชื่อของทั้ง 2 คนนั้นมาแอบอ้างในการยื่นของอนุญาตแบบก่อสร้าง” เอมี่ กล่าวถึงเลห์กลของของผู้บริหารภูธนแสงทอง
       
       จากพฤติกรรมที่เกิดขึ้นนี้ ไม่อยากให้คนที่จะสร้างบ้านต้องตกเป็นเหยื่อของบริษัทนี้อีกต่อไป เพราะการสร้างบ้านแล้วไม่บ้าน แถมต้องมานั่งใช้หนี้ มันเหมือนตกนรกทั้งเป็น

view