สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

สัมภาษณ์พิเศษ แบบเต็มอิ่ม เภสัชกรยิปซี ดร.กฤษณา ไกรสินธุ์ เจ้าของรางวัลแมกไซไซ-นางฟ้าของคนนิรนาม

จาก ประชาชาติธุรกิจ



สัมภาษณ์พิเศษ เภสัชกรยิปซี "ดร.กฤษณา ไกรสินธุ์" เจ้าของรางวัล"แมกไซไซ" สาขาบริการสาธารณะปี 2552 บุคคลแห่งปีของเอเชีย 2551 "นางฟ้าของคนนิรนาม"ในทวีปแอฟริกา อ่านแง่คิดดีๆในแต่ละบรรทัด บางตัวอักษรยังกรุ่นไปด้วยเมตตาและสอดแทรกพุทธศาสนา อย่างไม่รู้ตัว

ระหว่างที่การเดินทางหยุดลงชั่วขณะ ณ แผ่นดินบ้านเกิด  กิตติศัพท์ของ "เภสัชกรยิปซี" ก็ฟุ้งกระจายสร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จักต่อสายตานานาประเทศอีกครั้ง


"ดร.กฤษณา ไกรสินธุ์" เภสัชกรหญิงคนหนึ่งที่มีจิตใจยิ่งใหญ่คับฟ้า คนไทยเพียงคนเดียวที่เลือกจะช่วยเหลือเพื่อนร่วมโลกผู้ยากไร้ในอนุภูมิภาค ซับซาฮาร่า ทวีปแอฟริกา ห่างไกลแสงสีและความเจริญแห่งมหานครชั้นนำของโลก
แม้ว่าจะจบปริญญาเอก สาขาเภสัชเคมี มหาวิทยาลัยบาธ สหราชอาณาจักร


ดร.กฤษณา หรือ "เภสัชกรยิปซี" หรือ "หมอยิปซี" มีผลงานวิจัยยาสามัญ "ยาเอดส์" จัดตั้งโรงงาน AFRIVIR ผลิตยาต้านเชื้อไวรัสเอดส์ และผลิตยา Thai-Tanzunate รักษาโรคมาลาเรีย ณ แผ่นดินบ้านเกิด ประเทศไทยของ "เภสัชกรยิปซี" ความยิ่งใหญ่ของคนตัวเล็กคนนี้ไม่ได้เป็นที่ยกย่องรู้จักอย่างกว้างขวาง และอย่างที่ควรจะเป็น ณ แผ่นดินอันทุรกันดาร ซอกหนึ่งของโลกที่ชื่อว่า "ประเทศบุรุนดี" ผู้หญิงไทยตัวเล็กคนนี้ได้รับการสรรเสริญว่าเป็น "นางฟ้าของคนนิรนาม"
ดร.กฤษณา ได้รับการคัดเลือกให้เป็น นักวิทยาศาสตร์โลก พ.ศ. 2547


นิตยสาร Reader Digest ให้เกียรติเธอเป็น บุคคลแห่งปีของเอเชีย พ.ศ. 2551 และล่าสุด คนทั้งโลกรู้จักเธออีกครั้งในฐานะ เจ้าของรางวัล "รามอน แม็กไซไซ" บริการสาธารณะ พ.ศ. 2552 ระหว่างการเดินทางของยิปซีหยุดลงชั่วขณะหนึ่ง
"ประชาชาติออนไลน์ "  นัดหมาย  ดร.กฤษณา  สัมภาษณ์พิเศษ ณ  ล็อบบี้ โรงแรมสยาม ซิตี้


"พี่ว่าสัมภาษณ์ เป็นงานที่เหนื่อยกว่าทำงานที่แอฟริกาอีกนะ เพราะว่าต้องนั่งพูด แล้วก็เหนื่อยโดยที่ไม่ได้ยาออกมา ได้แต่คำพูดออกมา"


ดร.กฤษณา จะเดินทางไปประเทศฟิลิปปินส์ปลายเดือนสิงหาคมนี้ ก่อนที่จะมุ่งหน้ากลับไปทำงานที่เธอบอกว่า "รัก" ยังดินแดนอันไกลโพ้น ที่ประเทศบุรุนดี ทวีปแอฟริกา อันเหนือจินตนาการ


"คำว่า นางฟ้านิรนาม อาจจะมาจากเวบไซต์ของพี่มั้งคะ ในบล็อกมีคนมาเขียนให้ มีคนทำให้ แล้วมีคนชื่นชม เขาก็เลยเรียกเป็นนางฟ้า จริงๆเราก็ไม่เป็นอย่างนั้นหรอกนะคะ อ.ดังกมล ณ ป้อมเพชร เขาก็คงเห็น เลยตั้งเป็นนางฟ้านิรนาม จริงๆมันคือนางฟ้าของคนนิรนามค่ะ แต่นางฟ้าของคนนิรนามคงรู้สึกยาวมาก ก็เลยเป็นนางฟ้านิรนาม ก็ดีเหมือนกันคะ เป็นแต่ยิปซี ไม่ค่อยได้เป็นนางฟ้า" ดร.กฤษณา กล่าวพลางหัวเราะอย่างอารมณ์ดี


บรรทัดต่อไปคือเกร็ดชีวิตที่กลั่นมาจากประสบการณ์ "บุคคลแห่งปีของเอเชีย พ.ศ.2551" ซึ่งนอกจากจะมีแง่คิดดีๆในแต่ละบรรทัดแล้ว บางตัวอักษรยังกรุ่นไปด้วยเมตตาและสอดแทรกพุทธศาสนา อย่างไม่รู้ตัว

 

@ไปอยู่ทวีปแอฟริกาเป็นอย่างไรบ้าง ?

     มันไม่สะดวกสบายนะคะ แต่มันก็สบายใจ เราได้ทำงานที่เราอยากทำและเราได้ช่วยคนที่เราตั้งใจไว้ว่าเราอยากช่วยคน ใช้ความรู้ที่มีอยู่ช่วยคนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ มันก็สบายใจ พูดง่ายๆ กายอาจจะไม่สบายและไม่สะดวก แต่มันก็เป็นชั่วครู่เท่านั้นเองนะคะ มันไม่ได้ถาวรอะไร แต่เขา (คนในทวีปแอฟริกา) สิคะต้องอยู่แบบนั้นตลอดชีวิตเขา เขาลำบากกว่าเราเยอะ เพราะฉะนั้นเราก็อยู่ได้ ก็ทำได้เรื่อยๆคะ

 

@เป็นผู้ก่อตั้งและเคยเป็นผู้อำนวยการสถาบัน วิจัยและพัฒนาองค์การเภสัชกรรม แต่ลาออกเพื่อไปทำงานให้กับคนในทวีปอันทุรกันดาร คุณหมอเอาแนวคิดอย่างนี้มาจากไหน ?

 

เริ่มต้นตั้งแต่ว่าเป็น ผู้อำนวยการสถาบันฯ จริงๆ มันก็ไม่ได้มีอะไร มันก็แค่หัวโขนที่มาสวมเราระยะหนึ่งเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ได้ถือว่าตรงนั้นมันมีความสำคัญอะไร เราก็ยังต้องทำงานอยู่ ถ้าคุณได้รู้จักพี่สมัยนั้น คุณก็จะเห็นว่าพี่ก็ยังทำงานในห้องปฏิบัติการอยู่ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้อำนวย การสถาบันฯ เพราะว่าตรงนั้นมันไม่ได้มีความหมายอะไร มันอยู่ที่งานเรามากกว่าที่มันมีความหมาย เมื่อเราไม่ได้คิดว่าตรงนั้นเราจะยิ่งใหญ่หรือเราจะอะไร เราจะออกจากตรงนั้นมันก็ไม่ได้รู้สึกว่าออกจากอะไรที่มันมีความสำคัญยิ่ง ใหญ่ เพราะเราไม่ได้คิดว่าตรงนั้นมันมีความหมายกับเราก็เฉยๆนะคะ มองเพียงอย่างเดียวว่าในเมื่อเราทำที่เมืองไทย ผู้ป่วยเอดส์ทุกคนได้รับยาหมดแล้วอย่างทั่วถึง เราน่าจะเอาความรู้ที่เรามีไปถ่ายทอดให้คนอื่นอีกซึ่งเขาด้อยกว่าเรา แค่นั้นเองค่ะ ไม่ได้คิดอะไรมากมาย


แล้วเราก็เป็นคนเขียนโครงการที่จะไปช่วยเหลือประเทศทั้งหลายในทวีป แอฟริกา เราก็รู้สึกว่าเราต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เราเขียนไป เพราะตอนเขียนเราก็ตั้งใจดี ว่าอยากถ่ายทอดเทคโนโลยีจากประเทศไทยไปสู่แอฟริกา เราก็ควรจะทำตามที่เราเขียน เวลาพูดอะไรกับใครก็ต้องทำอย่างนั้น เพราะพี่ถือว่า คนเราเมื่อเวลาสัญญาอะไรกับใครก็ต้องทำตามสัญญา ก็เลยคิดว่าในเมื่อเราทำประเทศไทยเสร็จแล้ว แล้วก็มองยังไม่เคยเห็นโอกาสว่าโครงการที่เราเขียนไปมันจะประสบความสำเร็จ เมื่อไหร่ ถ้าเราไม่ไปทำเอง ก็เลยตัดสินใจไปทำเอง ไม่ได้มีอะไรทั้งสิ้น ไม่ได้โกรธใคร เพราะพี่ไม่ได้คิดว่ามันมีความยิ่งใหญ่อะไรตอนที่ทำงานอยู่ ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งอะไรก็เฉยๆ


พี่ไม่ได้ยกย่องคนที่ตำแหน่ง ที่เงินเดือน หรือว่าที่ยศฐาบรรดาศักดิ์ ของเขา จะเป็นนายพลนายอะไร คือไม่ได้อยู่ตรงนั้นนะคะ มันอยู่ที่ผลงานเขาคะ ปริญญาก็เหมือนกัน ไม่ได้ว่าคนที่จบปริญญาเอกจะมีความรู้มากกว่าปริญญาตรี พี่ไม่ได้คิดอย่างนั้น พี่ถือว่ามันเท่ากันหมด เราดูว่าสิ่งที่เขาให้มากกว่า ให้กับสังคม ให้กับสาธารณะมากกว่า

ก็ต้องย้อนกลับไปว่า ไม่ได้เห็นคุณค่าตรงนี้เลย พี่ไม่เคยไปรับปริญญาอะไรทั้งสิ้น ไม่ว่าตรี โท เอก ได้มาทั้งหมดแล้วคะ แต่ว่าไม่เคยไปรับอะไรเลย เพราะถือว่าปริญญาไม่ได้มีความสำคัญอะไร มันอยู่ที่การกระทำเรามากกว่า ในเมื่อคนเราไม่ได้ติดยึดกับสิ่งนั้นแล้ว พอเราไม่มี มันก็ไม่เห็นว่าจะเป็นอะไร

 

@สนใจเรื่องเอดส์จริงจังเพราะอะไร ?

 

เป็นเพราะความไม่เท่าเทียมกันของสังคม เพราะพี่คิดว่าเอดส์ไม่ได้เป็นปัญหาสาธารณสุขอย่างเดียว มันเป็นปัญหาสังคมด้วย สมมติว่าคุณรู้ว่าคนในครอบครัวคุณคนหนึ่งมีเชื้อ HIV คุณรู้สึกรังเกียจแล้ว ไม่อยากเข้าใกล้คนนี้แล้ว เหมือนกับคนนี้เป็นคนเลว อะไรอย่างนี้ อยู่ในสังคมก็เหมือนกัน อยู่ในชุมชน ในหมู่บ้าน ถ้ารู้ว่าคนนี้เป็นเอดส์ คนนั้นจะถูกแปลกแยกทันทีเลย จริงๆแล้วไม่ถูกนะคะ เพราะว่าเขาก็เป็นคนเหมือนกัน แล้วเราจะว่าผู้ป่วยเอดส์เป็นคนเลวก็ถูกอีก คนเลวกว่าผู้ป่วยเอดส์เยอะแยะ คนที่กินบ้าน โกงเมือง คนที่คอร์รัปชั่น นี่เลวกว่าผู้ป่วยเอดส์นะคะ เพราะฉะนั้นเราอย่าไปเหมาว่าเขาเป็นคนเลว โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงและเด็ก ซึ่งผู้หญิงติดจากสามี เด็กยิ่งแย่หนักเลย เด็กติดจากแม่ เขารู้เรื่องอะไรไหม เขาเลวไหม เพราะฉะนั้นความไม่เท่าเทียมกันของสังคมมันเป็นที่มาว่า หนึ่ง เราอยากต่อสู้ว่าเขาไม่ได้เป็นคนเลวทุกคน สอง เรามองว่าถ้าเขาจน เขาก็ต้องมีสิทธิที่จะได้รับยาด้วย ซึ่งก็มาจากจุดเดียวคือความไม่เท่าเทียมกันของคน


ตัวพี่คนเดียวคงไม่สามารถทำให้ทุกคนเท่าเทียมกันได้ อันนั้นรู้แน่นอน นี่รู้มาตลอด ความยุติธรรมก็ไม่มีอยู่แล้ว นั่นก็รู้คะ แต่ว่าถ้าเราเป็นจุดๆหนึ่งที่เราจะช่วยได้ สักคนหนึ่งก็ยังดี ไม่ต้องว่าช่วยทั้งประเทศ ไม่ต้องช่วยทั้งชุมชน ช่วยทั้งโลก สักคนเดียวก็ยังดี ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย พี่มองอย่างนี้นะคะ

 

@มองการทำ CL อย่างไร ?
 
ผู้ ป่วยใช้ยาที่มีอยู่ ที่เราทำทั้งหมดแล้ว ที่ไม่มีสิทธิบัตรในประเทศไทย ทุกคนได้รับยา คราวนี้เมื่อถึงจุดๆหนึ่ง เมื่อเชื้อดื้อยาขึ้นมา มันก็เป็นธรรมชาติของเชื้อนะ สมมติเชื้อดื้อยาขึ้นมา ผู้ป่วยต้องเปลี่ยนยา ซึ่งยาที่เขาเปลี่ยนนี้มีสิทธิบัตร คราวนี้ยาที่มีสิทธิบัตรราคาแพง ผู้ป่วยเข้าถึงยาไม่ได้ แล้วผู้ป่วยต้องกินยาตลอดชีวิต ถ้าไม่กินเชื้อก็จะขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แล้วเขาก็จะตายไปในที่สุด คราวนี้ทำอย่างไร ยาแพงมาก ผู้ป่วยเข้าถึงไม่ได้ รัฐบาลไม่มีเงินที่จะซื้อยา มีทางเดียวนะคะที่ต้องใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิ จริงๆเราเรียกรุนแรงมากนะบังคับใช้สิทธิ จริงๆไม่ใช่คะ ต้องเรียกว่ามาตรการใช้สิทธิตามสิทธิบัตร


เพราะว่าจริงๆแล้วใน พ.ร.บ.สิทธิบัตร ก็มีอยู่ว่า ถ้าคนเข้าถึงยาไม่ได้ รัฐบาลก็มีสิทธิใช้มาตรการ "ใช้สิทธิตามสิทธิบัตร" มันก็เป็นทางเดียวที่จะทำให้ผู้ป่วยที่โชคร้ายเหล่านี้เขาสามารถใช้ยาได้ เพราว่ารัฐเอามาผลิตเอง ราคาก็ต้องถูก อันนี้แน่นอน แต่ว่าเราก็ต้องให้ค่าตอบแทนกับเจ้าของสิทธิบัตรตามแต่จะตกลง อะไรอย่างนี้ นี่ก็เป็นหลักการทั่วไป

ถ้าคุณถามว่า สิทธิบัตรมันจะไม่ให้คนเข้าไม่ถึงยาใช่ไหม คือการมีสิทธิบัตร มันก็เห็นชัดๆอยู่แล้วนี่คะ เพราะว่ายาที่มีสิทธิบัตรมันก็มีราคาแพง คนจนก็เข้าถึงยาไม่ได้ อันนี้ชัดเจนนะคะ ไม่ต้องเอาอะไรมาพูด บริษัทจะพูดอะไร พี่ว่าอันนี้มันเป็นข้อเท็จจริงคะ ยาที่มีสิทธิบัตรก็มีราคาแพง แต่พอมีการผลิตขึ้นมาเป็นยาชื่อสามัญ เป็นยา Generic ก็ราคาถูกลง ใช่ไหมละคะ อันนี้ถ้าประเทศร่ำรวยเราก็ไม่ว่ากัน ดี คือเขาก็ต้องได้รับค่าตอบแทนจากที่เขาลงทุนไป แต่ถ้าเกิดว่าเขาไม่มีเงินที่จะจ่าย แล้วเราจะทำอย่างไรกับเขา


อย่างในประเทศแอฟริกา คนเข้าถึงยาไม่ได้เลย แล้วเราพูดถึงเรื่องสิทธิบัตรเพื่ออะไรคะ มันไม่มีประโยชน์หรอกคะ พูดไปก็เท่านั้น มีสิทธิบัตรหรือไม่มีสิทธิบัตรเขาก็เข้าถึงยาไม่ได้ แล้วจะไปพูดทำไม

 

พี่ว่า บางที โลกเรามันมีหลายระดับจริงๆ มีหลายชนชั้นจริงๆนะคะ ที่รวยก็รวยไปเลย รวยสุดๆไปเลย สร้างบ้านให้หมาให้แมวอยู่ ก็ไม่ว่าหรอกนะคะ ก็ได้ แต่อีกพวกหนึ่ง พวกที่อยู่กับดินตลอดเวลา ซึ่งพี่ก็เห็นอยู่ตลอดเวลา พวกที่อยู่กับดิน แล้วคราวนี้เราเอากฎ กฎหนึ่งมาบังคับใช้ระหว่างคนที่สร้างบ้านให้หมาให้แมวกับคนที่อยู่กับดิน มันถูกไหมคะ จริงๆมันก็ไม่ถูกมาตั้งแต่ต้นแล้ว เอากฎเดียวมาบังคับใช้กับสภาวะที่แตกต่างกัน มันไม่ถูก พี่คิดว่ามันไม่มีความเป็นธรรม เพราะว่าเราต้องเคารพในความเป็นคนของคนด้วย ทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับยา เพราะว่าเขาเป็นคนเหมือนกัน พี่ก็ต่อสู้เพื่ออันนี้ จะสำเร็จแค่ไหนก็ไม่เป็นไร

 

@ บริษัทยา ต่อต้าน  CL
 
คือ เขาคิดว่าเขาเป็นเจ้าของสิทธิบัตรอันนี้ เพราะฉะนั้นเขาก็คงไม่ชอบใจ ที่ไปใช้สิทธิตามสิทธิบัตรอะไรอย่างนี้ มันก็แล้วแต่คนจะมอง เราเดินเป็นเส้นขนานกัน เขาก็แบบนี้ เราก็แบบนี้ คนที่ตัดสินใจก็ต้องดูว่าอันไหนมันให้ผลประโยชน์กับคนในชาติได้แค่ไหน ก็ต้องตัดสินใจเอาคะ อันนี้พี่พูดแทนใครไม่ได้ทั้งสิ้น นี่เป็นความเห็นส่วนตัวนะคะ

 

@คุณหมอไปสอนคนในถิ่นทุรกันดารให้ผลิตยา

ในแอฟริกามันไม่เหมือนในประเทศไทย ในแอฟริการการสอนก็คือการทำให้ดูก่อน ทำให้ดูหลายๆครั้ง พอทำให้ดูเขาก็เห็นเราทำ เขาก็สามารถทำเองได้นะคะ นี่เขาเรียกว่าการสอน ที่คุณพูดก็ถูกว่าไปผลิต แต่ผลิตในขณะเดียวกันก็สอนเขาด้วย

 

@สถานการณ์การติดเชื้อเอดส์ในประเทศไทยกับทวีปแอฟริกาแตกต่างกันอย่างไร ?
 
ต่าง กันสิคะ ประเทศไทยมีอัตราการติดเชื้อแค่ 2.6 เปอร์เซ็นต์ ในแอฟริกามีตั้งแต่ 10 เปอร์เซ็นต์, 12 เปอร์เซ็นต์, 15 เปอร์เซ็นต์ ไปจนถึง 37 เปอร์เซ็นต์ คนเดินมา 3 คน 1 ใน 3 ก็มีคนติดเชื้อแล้ว


แล้วในแต่ละปีก็จะมีคนตายเพราะเอดส์เป็นล้านคน แต่ว่าตายเพราะมาเลเรียมากกว่าเอดส์นะคะ ในแอฟริกาตายเพราะมาเลเรีย 2 ล้านคนต่อปีทั้งทวีป แต่ว่ามาเลเรียคนไม่ค่อยพูดถึงเท่าไรเพราะว่ามาเลเรียนั้นเป็นโรคของคนจน คนที่จะพัฒนายาสำหรับมาเลเรียก็ไม่ค่อยมี เพราะมันเป็นโรคของคนจน แต่คนจนก็ไม่มีปัญญาจะพัฒนาอยู่แล้ว คนรวยก็ไม่ได้พัฒนาให้ เพราะฉะนั้นมันก็ไม่มีใช้


พอเป็นโรคของคนจน คนก็ไม่ค่อยพูดมากเท่าไร คนมาพูดถึงเรื่องเอดส์เพราะว่าเป็นโรคของคนรวยด้วยไงคะ การที่เขาพัฒนายาขึ้นมาบางตัวสำหรับมาเลเรียนี่ เพราะว่าคนรวยเดินทางไปในที่ของคนจน คนรวยเดินทางไปแอฟริกา จะด้วยไปหาเงิน ไปเอาธาตุมา อะไรก็แล้วแต่ ก็เลยไปพัฒนายาให้พวกเขาเอง

 

@คุณหมอบอกว่าโลกนี้มีหลายระดับ
 
ใช่ มันแบ่งเป็นหลายระดับมากๆเลยคะ เขาถึงบอกเป็น Develop world ประเทศที่พัฒนาแล้ว ประเทศที่กำลังพัฒนา และประเทศด้อยพัฒนา แล้วทำไมคุณเอากฎ กฎเดียว มาใช้กับ 3 ระดับละคะ มันถูกไหม จริงๆมันไม่ถูกตั้งแต่ต้นแล้ว สมมติว่าคุณเอาคนทั้ง 3 ระดับไปแข่งกันในเวทีชกมวยกัน พวกนี้สู้ได้หรือคะ มันไม่มีวันสู้ได้อยู่แล้ว แล้วคุณจะไปสู้ทำไมละคะ ไปใช้กฎหมายอะไรต่างๆมากมาย เขาอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ อยู่ดีๆไปให้เขาเซ็น บางทีเขาไม่รู้เรื่องว่าเขาเซ็นอะไรด้วยซ้ำไป พี่คิดว่ามันไม่มีความเท่าเทียมกันตรงนี้แล้ว มันต้องแยกกันให้ชัดเจนนะคะ

 

@การได้รับรางวัลแมกไซไซของคุณหมอ จะช่วยทำให้คนรวยหันมาสนใจคนจนได้มากขึ้นหรือเปล่า ?
 
อืม... ก็แล้วแต่นะคะ ถ้าคนรวยอ่านหนังสือที่คุณเขียน ก็อาจจะคิดได้บ้างนะคะ ก็ไม่รู้เหมือนกัน (ฮา) คือคนรวยเขาจะอ่านหนังสือแบบรวยๆ ไม่จำเป็นต้องไปอ่านความทุกข์ของคนอื่นเท่าไรนะคะ ก็ไม่รู้ว่าจะคิดได้ไม่ได้ แต่พี่ก็ไม่ได้สนใจหรอกนะคะว่าใครจะคิดอย่างไร เพราะว่าเราทำเพราะเราอยากทำ เพราะเรามีความสุขที่จะทำ อันนี้ได้ไม่ได้ก็อีกเรื่องหนึ่งแล้วละคะ ได้แต่ภาวนาว่าขอให้เขาอ่านบทความที่คุณเขียนก็แล้วกัน (ฮา)


สื่อนั้นมีความหมายมากนะคะ มีความสำคัญมาก อันนี้เป็นเหตุผลเดียวนะคะที่พี่นั่งให้สัมภาษณ์อยู่อย่างนี้เช้า กลางวัน เย็น เพราะพี่คิดว่าอย่างน้อย สื่อมีส่วนสะท้อนให้คนอื่นได้เห็นบ้าง อย่างที่คุณถามนี้ถูกแล้ว เผื่อเขาจะอ่านบ้างยังไงคะ เขาไม่อ่านก็ไม่เป็นไร แต่เผื่อเขาจะอ่านบ้าง พี่ให้สัมภาษณ์หลากหลายและก็ทุกสื่อเลย ทุกรูปแบบ ทั้งวิทยุ ทั้งทีวี ทั้งหนังสือพิมพ์รายวัน รายสัปดาห์ รายปักษ์ หมดเลยนะคะ เพื่อที่ว่าคนรวยเขาอาจจะอ่านบ้าง จะเล็กจะใหญ่ช่างมันเถอะ เพราะเล็กๆแล้วมีคนอ่านแล้วมันมี Impact มีผลกระทบมาก เราก็ดีใจแล้วคะ ทำก็ไม่ได้หวังอะไรหรอกนะคะว่าใครจะได้ไม่ได้ แต่เราก็ทำคะ ช่วงที่เราอยู่

 

@สถานการณ์แพร่ระบาดของเอดส์ในอนาคตมีแนวโน้มอย่างไร ?

 

ในประเทศที่พัฒนาแล้วก็ไม่ต้องพูดถึงหรอกนะคะ เพราะเขามีเงิน แล้วรัฐก็มีเงินด้วยที่จะจ่ายให้ ประเทศที่กำลังพัฒนาอย่างเราก็คงต้องคิดหนักหน่อยละคะ ว่าพอเชื้อดื้อยา หรือว่าพอคนที่ต้องใช้ยาที่ราคาแพงขึ้น พวก Second line ยาขั้นที่สอง หรือยาขั้นที่สาม เราไม่รู้ทำอย่างไร ก็เป็นหน้าที่ของฝ่ายรัฐบาล ภาครัฐนะคะ ที่จะคิดว่าเราต้องทำอย่างไรต่อไป

ส่วนด้อยพัฒนาทั้งหลาย ก็ต้องต่อสู้กันไปเรื่อยๆละคะ เพราะว่าสถานการณ์มันไม่ได้ดีขึ้นคะ มีแต่ทรงตัวกับเลวร้ายลง เพราะฉะนั้นมันบอกไม่ถูกคะ อันนี้มันเชื่อมโยงกับความจนของคนด้วย เกี่ยวกับสถานะ เกี่ยวกับ Infrastructure ของเขาด้วยนะคะ


คนไม่มีกิน เขาจะเอาเงินไปซื้อยาทำไม เขาต้องซื้ออาหารกินก่อน คนไม่มีกิน จะให้เขาเดินไปตรวจว่าเขามีเชื้อหรือเปล่า จะไปตรวจทำไม พอตรวจก็เจอ แล้วก็ไม่มียาจะกิน แถมเจอแล้วเพื่อนบ้านรังเกียจอีก ญาติพี่น้องรังเกียจแล้วจะไปตรวจทำไม มันเหมือนกับเป็นสิ่งที่มืดสนิทเลยในทวีปแอฟริกาที่พี่ทำอยู่ เพราะมันเป็นประเทศที่ด้อยพัฒนาจริงๆ ด้อยสุดๆเลย คือจน จนเราไม่คิดว่าเขาจะจนได้ขนาดนี้ ประเทศที่กำลังทำงานอยู่คือประเทศบุรุนดี เป็นประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก รายได้ประชาชาติเขาแค่ 130 เหรียญ ของเราเกือบ 4 พันเหรียญแล้ว เพราะไม่มีไฟใช้ เพราะฉะนั้นคนก็อ่านหนังสือไม่ออก ไม่รู้จะมีหนังสือพิมพ์ไปทำไม เขาไม่มีหนังสือพิมพ์นะคะประเทศเขา มันก็ไม่รู้จะอ่านอะไรเพราะคนอ่านหนังสือไม่ออกอยู่แล้ว ทีวีก็มีอยู่ช่องเดียว คือช่องของรัฐบาล ซึ่งก็ไม่มีใครดูอยู่แล้วเพราะว่าที่บ้านไม่มีไฟจะไปเสียบที่ไหน มันขาดไปเสียทุกอย่างเลย เพราะฉะนั้นจะดีขึ้นไม่ดีขึ้นพี่ก็ไม่ได้หวังอะไรมากมาย ไม่ได้หวังว่าตัวเองจะไปทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย ไม่ได้คิดอะไรหรอกคะ คือถ้าคิดอย่างนั้นมันทำไม่ได้อยู่แล้ว เพราะว่ามันไม่มีวันเกิดขึ้น

 

@เป็นคนตัวเล็กๆคนหนึ่งที่ทำ

ใช่ เราทำเท่าที่เราทำได้คะ เราไม่ได้มีเป้าหมายสูงมากมายนักว่าเราจะต้องทำให้มันเสร็จแค่นี้ แค่นั้น เพราะถ้ามันไม่เสร็จ เราก็มีความทุกข์เอง จะไปหวังอะไรมากมายนักละคะ เราก็ทำเพราะว่าเราอยากทำ ก็เหมือนกับรางวัลต่างๆที่รับ ปีนี้รับ 8 รางวัลแล้วนะคะ ทำเพราะว่าเราไม่ได้หวังรางวัล ที่ได้มาก็ได้ไปเถอะ แต่ว่าจริงๆไม่ได้หวังอะไรเลย ทำเพราะว่าเรามีความสุขที่จะทำอยู่ตรงนั้นมากกว่า แล้วก็เป็นคนที่ไม่ได้คิดอะไรมากมายนัก ซับซ้อนอะไร ไม่มีคะ แล้วก็แล้วกัน ตัดกันไป อยู่ไปวันๆ ทำให้มันดีที่สุดวันๆนึงเท่านั้นเอง

 

@มีทายาทหรือตัวแทนสืบเจตนารมณ์หรือเปล่า ?

ทายาทคงหายากนะคะ ก็หาไปเรื่อยๆ พี่ก็หามาปีที่ 8 แล้ว จะหาคนที่เหมือนเราก็คงยากหน่อย เพราะว่ามันต้องเป็นมาตั้งแต่เด็กๆ การที่คน 2 คนจะเหมือนกัน ทั้งเบื้องหลังในชีวิตจะให้เหมือนกัน มันยากเหมือนกันนะคะ พี่เกิดมาในสภาพแวดล้อมที่ทุกคนอยู่ในวงการแพทย์ สาธารณสุข หรือว่ามีฐานะที่ไม่เดือดร้อน ได้เข้าเรียนโรงเรียนดีๆ มีสังคมที่ดี แล้วก้มีโอกาสได้เรียนจนจบปริญญาเอก โดยที่ทางบ้านส่งให้เรียน มันหายากคะ ที่จะมาถึงจุดนี้ และการเสี้ยมสอนตั้งแต่เด็กๆว่าให้มีเมตตาต่อคน รู้จักให้กับคน หรือให้โอกาสกับคนทุกคน หรือทำดีทุกครั้งที่มีโอกาส มันจะมีไหมหาคนที่มีลักษณะแบบเดียวกันมันยากเหมือนกันนะคะ


เราอาจจะได้ส่วนแรก ส่วนที่อยู่ในวงการสาธารณสุข แต่อาจจะไม่ได้ในส่วนที่เขาไม่มีปัญหาเรื่องฐานะ มันหายากที่จะมีพร้อมหมด เอาว่าถ้าได้เข้าเรียนเหมือนกันแล้ว มาถึงขั้นนี้แล้ว ได้เข้าเรียนเภสัชศาสตร์ไหม ก็อาจจะมีบ้าง พอจบออกมาทำงาน มีคนที่ไม่หวังเงินเดือนไม่หวังตำแหน่งไม่หวังอะไรไหม มีไหม คือต้องเอาแต่ละขั้นๆมาเลย เอาตั้งแต่เด็กๆเลย ในสภาพอย่างนี้อาจจะมี สมมติมี 100 คน ขึ้นชั้นมัธยมศึกษามาอยู่ที่โรงเรียนราชินี ท่ามกลางผู้คนที่มีฐานะดี มีฐานะทางสังคมสูง จำนวนคนก็ลดลงส่วนหนึ่งแล้ว พอมาเรียนเภสัชฯ ก็ลดลงมาอีก พอจบเภสัชฯ ออกมาทำงานโดยไม่หวังเงินเดือนไม่หวังตำแหน่ง ก็อาจจะไม่มีเลย


เพราะฉะนั้นอย่ามาดูตอนจบว่าคนนี้เป็นอย่างนี้ ได้รับอะไรต่างๆอย่างนี้ คนอีกคนหนึ่งมาไม่เหมือนกันเลย ที่มาที่ไปก็ไม่เหมือนกันเลย ไม่เหมือนหรอกคะ ยกตัวอย่างแค่ว่าพี่น้องกัน พี่มีพี่น้อง 2 คน น้องชายเป็นกัปตันอยู่การบินไทย ยังไม่เหมือนกันเลย เราโตขึ้นมาด้วยกันนะคะ แต่ว่าเขาอยู่อีกโรงเรียนประจำอีกโรงเรียนหนึ่ง เราก็อยู่อีกโรงเรียน จบมาเขาก็ไปเป็นนักบิน เราก็มาเป็นเภสัชฯ ก็ยังไม่เหมือนกันเลย จะหาคนที่เหมือนกันทุกอย่างไม่มีหรอกคะ มันยาก

 

@สมุนไพรกับยาเคมี ถ้าเลือกได้คุณหมอจะแนะนำอะไร ?

 

ไม่คะ พี่เป็นคนเอาสิ่งที่ดีที่สุดในแต่ละที่ที่มีอยู่ในแต่ละอย่าง สมมติมีคนเป็นมะเร็งแล้วมาหาพี่ พี่ไม่เคยปฏิเสธยาแผนปัจจุบันนะคะ ยาแผนปัจจุบันนี่ออกฤทธิ์รวดเร็ว และรุนแรง และมีผลข้างเคียง ตรงนี้ชัดเจน เพราะฉะนั้นโรคที่ติดเชื้ออย่างรุนแรงจะมัวมานั่งใช้สมุนไพร คนไข้ตายไปก่อนแล้วคะ ตรงนี้คือสิ่งที่ดีของสารเคมี แต่มันมีข้อเสีย ไม่มีอะไรดีหมด เหรียญมีสองด้าน ในความที่โชคร้ายมันมีโชคดี ยาที่มาจากสมุนไพรมันออกฤทธิ์ช้า แต่มันออกฤทธิ์แบบไหนละ มันไปปรับสภาพในร่างกายกว่าจะออกฤทธิ์ จริงๆมันอาจจะไม่ออกฤทธิ์อะไรเลย แต่มันปรับให้ร่างกายปกติ แน่นอนว่าคุณจะไม่เห็นผลทันทีทันใด ดังนั้นทำไมเราไม่เอาส่วนที่ดีของสมุนไพรที่มีอยู่มาใช้ร่วมกับแผนปัจจุบัน ซึ่งมีข้อเสีย ถ้าถามพี่ พี่เลือกใช้หมดละคะ พี่ไม่ได้มองว่าอันดีดีหมด อันนี้เลวหมด ไม่มีนะคะ


เหมือนเราโชคร้าย แต่ในความโชคร้ายเราก็อาจจะโชคดี อย่างพี่โชคร้าย ที่ประเทศคองโก เราซื้อเครื่องมือเครื่องหนึ่งชิ้นใหญ่มาก เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ มันควรจะติดตั้งโดยบริษัทที่เราซื้อนะคะ พอถึงเวลาบริษัทนั้นมันโกหกพี่มันเบี้ยวเฉยๆ พี่ก็ต้องมานั่งติดตั้งเครื่องมือเอง ถ้าเราคิดว่า โอ้โหทำไมเราโชคร้าย ไอ้นี่มันเลวจังเลย อะไรต่างๆ คนเขาเกลียดมาก แต่คิดอีกทีว่าเราก็ได้ติดตั้งเครื่องมืออีกเครื่องมือหนึ่ง แล้วเราก็ได้รู้วิธีการติดตั้ง แล้วมันก็ทำงานได้ หนึ่งเราภูมิใจแล้วล่ะ สองคือเรามีประสบการณ์ในการติดตั้ง ทำไมเราต้องไปคิดกับสิ่งที่เลวละคะ คือพี่จะมี Positive thinking คิดในแง่บวกเสมอว่า อะไรที่เกิดขึ้น ถ้าเรามองให้ดีๆ มันมีสองด้านเสมอ


พระท่านถึงได้บอกไงคะว่า อย่าไปดีใจหรือเสียใจมากจนเกินไป สมมติว่าเราได้รางวัล ทุกคนก็ตื่นเต้นกันหมด พี่ว่ารางวัลพี่ทุกคนรอบตัวพี่ ตื่นเต้นมากกว่าพี่เยอะเลยนะคะ แต่พี่เฉยๆคะ คนอื่นจะฉลองกัน มันก็เป็นมารยาท แต่พี่เฉยมากเลยนะ เราไม่ได้รู้สึกว่าฉันนี้เหนือกว่าคนอื่น ไม่ใช่นะคะ ไม่เคยคิดอย่างนั้นเลย


จริงๆชีวิตก็คือ ความสุขจริงไม่มีหรอกคะ เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ ถ้าเราทำจิตให้มันพุ่งขึ้นสูงมาก พอมันตกมันก็ตกมากเป็นธรรมดา สูงมากก็ตกมาก แต่ถ้าให้มันนิ่งๆอยู่อย่างนี้ มันก็อยู่อย่างนี้ละคะ มันก็ไม่มีสุขมีทุกข์ มันก็เฉยๆ มันก็เรื่อยๆของมันไปเรื่อยๆ พี่อยากให้มองตรงนี้มากกว่านะคะ คนเราจะได้มีความทุกข์น้อยลง

 

@ไข้หวัด 2009 กำลังระบาด มีการเรียกหาวัคซีน จะเอากรณีเอดส์มาประยุกต์กับหวัด 2009 ได้อย่างไรบ้าง ?

 

จริงๆมันไม่ถูกหรอกนะที่มานั่ง Comment เหมือนกับเราเป็นโค้ชมวย ชกมวยนอกเวทีมันก็ชกได้ แต่พออยู่ในเวทีจริงๆมันอาจจะชกลำบากกว่า เรามีความเห็นอกเห็นใจคนที่จัดการเสมอว่ามันจัดการยากเหมือนกันนะคะ เพราะว่าถ้าอยู่ในสถานการณ์ของพี่ พี่ก็ทำแบบนี้ ของเขาก็คิดว่าทำดีที่สุดแล้วเขาถึงทำแบบนี้ อะไรอย่างนี้


พี่จะมองในแง่ของการให้ความรู้ความเข้าใจกับคนนะคะ เรื่องเอดส์ก็เหมือนกันพี่ก็มองอีกแบบว่า ยามันเป็นการแก้ปัญหาตอนปลาย ยานี่เป็นส่วนหนึ่งแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ของการแก้ปัญหาเท่านั้นเอง มันยังมีส่วนอื่นๆ เช่นการป้องกัน การใช้ถุงยางอนามัย เราโชคดีที่เรามีท่านวุฒิสมาชิก มีชัย วีระไวทยะ ถ้าไม่อย่างนั้นประเทศไทยไม่มีวันประสบความสำเร็จขนาดนี้นะคะ เพราะว่าท่านรณรงค์แล้วพวกเราก็ไปหัวเราะเยาะ ว่าท่านเที่ยวเอาถุงยางไปแจก แต่นั่นคือวิธีที่ดีที่สุดคะ ก็คือการป้องกัน การให้ความรู้ พี่ก็ยังมองอยู่ที่จุดนี้เอง คือถ้าเราจำลองสถานการณ์เอดส์กับสถานการณ์ไข้หวัด 2009 มันก็คล้ายๆกัน พี่ก็จะใช้วิธีเดียวกัน คือพี่ใช้วิธีป้องกันและให้ความรู้ บอกแล้วว่ายาเป็นส่วนหนึ่ง ยาไม่ใช่ทั้งหมด ถึงเรามียาแต่คนไม่รู้จักป้องกัน แล้วก็ไม่มีความรู้เพียงพอ มันก็ไม่มีประโยชน์คะ มันต้องทำพร้อมๆกัน

 

@ในอนาคต 5-10 ปีข้างหน้า คุณหมอจะอยู่ตรงไหน ?

 

เหมือนเดิมคะ ทำงานเหมือนเดิม เพียงแต่จะเปลี่ยนประเทศเท่านั้นเอง พี่ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย คนชอบมาถามพี่ว่า อยากจะรู้อนาคตไหม หรือว่าจะดูหมอดูไหม อย่างนี้ไม่ดูอยู่แล้ว ชาตินี้ก็ไม่ดูอยู่แล้ว แต่ก็ยังมีคนมานั่งดูโหงวเฮ้งเราแล้วเอาไปลงหนังสือพิมพ์ เป็นเรื่องเป็นราวมากมาย ครึ่งหน้าหนังสือพิมพ์ เราก็ได้รับเกียรตินั้นทั้งๆที่เราไม่เคยคิดจะดูเอง

พี่คิดว่าพี่ไม่ต้องดูอนาคตหรอกคะ เพราะพี่รู้ว่าอนาคตพี่เป็นอย่างไร อนาคตพี่ก็คือปัจจุบันนี้ พี่ทำอะไรไปอนาคตพี่ก็ต้องได้อย่างนั้น เราทำสิ่งนี้แล้วเราจะไปได้อย่างอื่นได้อย่างไร ปลูกมะม่วงก็ต้องได้มะม่วงออกมา เพราะฉะนั้นอนาคตเหมือนเดิมคะ เหมือนงานปัจจุบันที่ทำอยู่

view