ASTVผู้จัดการรายวัน - ดับฝันโจรปล้นแบงก์ ศาลปกครองกลางสั่งเพิกถอนคำสั่งของกรมสรรพากรที่ให้แบงก์ไทยพาณิชย์ นำส่งเงินที่อายัดในบัญชีเงินฝาก “โอ๊ค-เอม” ไปจ่ายภาษี
วันนี้ (30 ก.ย.) ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาสั่งเพิกถอนคำสั่งของกรมสรรพากรที่ให้ธนาคารไทย พาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (SCB) นำส่งเงินอายัดในบัญชีเงินฝาก 1.2 หมื่นล้านบาท ของ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร และ นายพานทองแท้ ชินวัตร เพื่อชำระค่าภาษีอากรค้าง
“ตุลาการได้มีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งกรมสรรพากร ที่ให้ ธนาคารไทยพาณิชย์ อายัดเงินในบัญชี และให้ธนาคารนำส่งเงินในบัญชีเงินฝากของ นายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา ให้กรมสรรพากร เพื่อชำระค่าภาษีอากรค้างชำระ เนื่องจากศาลเห็นว่า ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้รักษาเงินในบัญชีเงินฝากบุคคลทั้งสอง ตามคำสั่งของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ซึ่งเป็นอำนาจที่ชอบด้วยกฎหมาย และคำสั่งของ คตส.ได้เกิดก่อนคำสั่งของกรมสรรพากร” นายจรวย หนูคง ตุลาการศาลปกครองเจ้าของสำนวนได้ออกนั่งบัลลังก์เพื่อพิจารณาคดีที่ธนาคาร ไทยพาณิชย์ยื่นฟ้องกรมสรรพากร กรณีมีคำสั่งอายัดเงินในบัญชีและให้ธนาคารนำส่งเงินในบัญชีเงินฝาก
รายงานข่าวระบุด้วยว่า แม้ คตส.ได้ยุติหน้าที่ลงแล้ว แต่ถือว่าคำสั่งยังคงมีต่อไป เนื่องจาก คตส.ได้มีการโอนอำนาจต่างๆ ให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และ ป.ป.ช.ไม่ได้มีคำสั่งใดๆ ให้มีการเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมของ คตส.นอกจากนี้ เห็นว่า ทั้ง คตส.และกรมสรรพากร มีวัตถุประสงค์เดียวกันที่จะอายัดทรัพย์จากบุคคลทั้งสอง เพื่อส่งคืนเป็นเงินแผ่นดิน ศาลจึงให้ธนาคารไทยพาณิชย์ ดำเนินการอายัดเงินในบัญชีเงินฝากของบุคคลทั้งสองต่อไปจนกว่าจะมีคำพิพากษา ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น
ด้าน ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้ออกหนังสือชี้แจงในคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง ว่า “ตามที่กรมสรรพากรได้มีหนังสือคำสั่งวันที่ 22 ส.ค.2551 ให้ธนาคารไทยพาณิชย์ นำส่งเงินอายัด น.ส.พิณทองทา และ นายพานทองแท้ ชินวัตร เพื่อการชำระหนี้ภาษีอากรแก่กรมสรรพากร คำสั่งดังกล่าวซ้ำซ้อน และมีความขัดแย้งกับคำสั่งอายัดของ คตส.หากธนาคารปฏิบัติตามคำสั่งใดคำสั่งหนึ่งก็จะเป็นการฝ่าฝืนอีกคำสั่ง หนึ่งซึ่งเป็นความผิดมีโทษทางอาญาได้ ธนาคารจึงได้นำเรื่องเสนอไปยังศาลปกครองกลาง เพื่อขอความกระจ่างในแนวทางปฏิบัติ ซึ่งต่อมาศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งยืนตามคำสั่งของ ศาลปกครองกลางกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวแก่ธนาคารก่อนมีคำพิพากษาตามทราบ แล้วนั้น
“ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาสั่งเพิกถอนคำสั่งของกรมสรรพากรที่ให้ ธนาคารนำส่งเงินอายัดในบัญชีเงินฝากของ นางสาวพิณทองทา และ นายพานทองแท้ ชินวัตร และธนาคารน้อมรับคำพิพากษาของศาลปกครองกลางที่ออกมานี้” หนังสือชี้แจงจากธนาคารไทยพาณิชย์ระบุ
อายัคเงินโอ๊ค-เอมต่อ
จาก โพสต์ทูเดย์ศาลปกครองเพิกถอนคำสั่งสรรพากรชี้ ไทยพาณิชย์ ไม่ต้องคืนเงินอายัดโอ๊ค-เอม12,000ล้าน
นาย จรวย หนูคง ตุลาการศาลปกครองเจ้าของสำนวน ได้ออกนั่งบัลลังก์เพื่อพิจารณาคดีที่ธนาคารไทยพาณิชย์ ยื่นฟ้องกรมสรรพากร กรณีมีคำสั่งอายัดเงินในบัญชี และให้ธนาคารนำส่งเงินในบัญชีเงินฝากของ นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร เพื่อชำระค่าภาษีอากรค้าง
โดยตุลาการได้มีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งกรมสรรพากรที่ให้ ธนาคารไทยพาณิชย์ อายัดเงินในบัญชี และให้ธนาคารนำส่งเงินในบัญชีเงินฝากของ นายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทาให้กรมสรรพากร เพื่อชำระค่าภาษีอากรค้างชำระ เนื่องจากศาลเห็นว่า ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้รักษาเงินในบัญชีเงินฝากบุคคลทั้งสอง ตามคำสั่งของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ซึ่งเป็นอำนาจที่ชอบด้วยกฎหมาย และคำสั่งของ คตส.ได้เกิดก่อนคำสั่งของกรมสรรพากร
ทั้งนี้แม้ว่า คตส.ได้ยุติหน้าที่ลงแล้ว แต่ถือว่าคำสั่งยังคงมีต่อไป เนื่องจาก คตส.ได้มีการโอนอำนาจต่างๆ ให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และ ป.ป.ช. ไม่ได้มีคำสั่งใดๆ ให้มีการเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมของ คตส.
นอกจากนี้ เห็นว่า ทั้ง คตส. และกรมสรรพากร มีวัตถุประสงค์เดียวกันที่จะอายัดทรัพย์จากบุคคลทั้งสองเพื่อส่งคืนเป็นเงินแผ่นดิน
ดังนั้น ศาลจึงให้ธนาคารไทยพาณิชย์ ดำเนินการอายัดเงินในบัญชีเงินฝากของบุคคลทั้งสองต่อไปจนกว่า จะมีคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือมคำสั่งเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น
ขณะเดียวกัน ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้ออกหนังสือ การชี้แจงในคำพิพากษาของศาลปกครองกลางกรณีกรมสรรพากรมีคำสั่งให้ธนาคารไทย พาณิชย์นำส่งเงินอายัดราย นายพานทองแท้ และ นางสาวพินทองทา ชินวัตร ว่า
ตามที่กรมสรรพากรได้มีหนังสือคำสั่งวันที่ 22 ส.ค.51 ให้ธนาคารไทยพาณิชย์ นำส่งเงินอายัดรายนางสาวพินทองทา และนายพานทองแท้ ชินวัตร เพื่อการชำระหนี้ภาษีอากรแก่ กรมสรรพากร คำสั่งดังกล่าวซ้ำซ้อนและมีความขัดแย้งกับคำสั่งอายัดของคณะกรรมการตรวจสอบ การ กระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) หากธนาคารปฏิบัติตามคำสั่งใดคำสั่งหนึ่งก็จะเป็นการ ฝ่าฝืนอีกคำสั่งหนึ่งซึ่งเป็นความผิดมีโทษทางอาญาได้ ดังนั้น ธนาคารจึงได้นำเรื่องเสนอไปยังศาลปกครอง กลางเพื่อขอความกระจ่างในแนวทางปฏิบัติ ซึ่งต่อมาศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งยืนตามคำสั่งของ ศาลปกครองกลางกำหนดมาตราการคุ้มครองชั่วคราวแก่ธนาคารก่อนมีคำพิพากษาตาม ทราบแล้วนั้น
วันนี้ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาสั่งเพิกถอนคำสั่งของกรมสรรพากรที่ให้ ธนาคารนำส่งเงินอายัดในบัญชีเงินฝากของ นางสาวพินทองทา และนายพานทองแท้ ชินวัตร และธนาคารน้อมรับคำพิพากษาของศาลปกครองกลางที่ออกมานี้
ศาลปกครองเพิกถอนคำสั่งสรรพกรให้ไทยพาณิชย์นำส่งเงินในบัญชีอายัดโอ๊ค-เอมชำระหนี้ภาษี
จากประชาชาติธุรกิจ
รายงานข่าวจากธนาคารไทยพาณิชย์แจ้งว่า วันนี้ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาสั่งเพิกถอนคำสั่งของกรมสรรพากรกรณีที่ ให้ธนาคารไทยพาณิชย์นำส่งเงินอายัดในบัญชีเงินฝากของ นางสาวพินทองทา ชินวัตร และนายพานทองแท้ ชินวัตร
โดยก่อนหน้านี้ กรมสรรพากรได้มีหนังสือคำสั่งวันที่ 22 สิงหาคม 2551 ให้ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) นำส่งเงินอายัดรายนางสาวพินทองทา ชินวัตร และนายพานทองแท้ ชินวัตร เพื่อการชำระหนี้ภาษีอากรแก่ กรมสรรพากร แต่คำสั่งดังกล่าวซ้ำซ้อนและมีความขัดแย้งกับคำสั่งอายัดของคณะกรรมการตรวจ สอบการ กระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ซึ่งหากธนาคารปฏิบัติตามคำสั่งใดคำสั่งหนึ่งก็จะเป็นการ ฝ่าฝืนอีกคำสั่งหนึ่งซึ่งเป็นความผิดมีโทษทางอาญาได้
ดังนั้น ธนาคารไทยจึงได้นำเรื่องเสนอไปยังศาลปกครอง กลางเพื่อขอความกระจ่างในแนวทางปฏิบัติ ซึ่งระหว่างนั้นศาลปกคอรงได้ได้มีการกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวแก่ ธนาคาร ซึ่งต่อมาศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งยืนตามคำสั่งมาตรการคุ้มครองดังกล่าว กระทั่งมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งของกรมสรรพกรในวันนี้
ผู้สื่อข่าว ประชาชาติธุรกิจ รายงานว่า คดีนี้ ธนาคารไทยพาณิชย์ ผู้ฟ้องคดี ฟ้องว่า การที่กรมสรรพากร มีคำสั่งอายัดและให้ผู้ฟ้องคดีนำส่งเงินในบัญชีเงินฝากรายนางสาวพิณทองทา ชินวัตร และของนายพานทองแท้ ชินวัตร เพื่อชำระค่าภาษีอากรค้างซึ่งเป็นการอายัดซ้อนกับคำสั่งอายัดของคณะกรรมการ ตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ซึ่งผู้ฟ้องคดีเห็นว่าคำสั่งดังกล่าวนั้นทำให้ผู้ฟ้องคดีเสียหาย เนื่องจากหากผู้ฟ้องคดีปฏิบัติตามคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีอาจทำให้ผู้ฟ้องคดี มีความผิดตามกฎหมาย