สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

เมื่อ หมา ดีกว่า จีที 200 ถูกกว่า ชัวร์ กว่า ?

จากประชาชาติธุรกิจ


ผลทดสอบ เครื่องมือตรวจจับวัตถุระเบิด จีที 200 ออกมาแล้ว  ทดสอบ 20 ครั้ง ถูกแค่ 4 ครั้ง
ถ้าเป็นในสนามสอบ.. ก็สอบตก
ถ้าเป็นสนามรบ ทหารก็เสี่ยงตาย ราษฎรก็เสี่ยงถูกรวบตัว โดยไม้ล้างป่าช้า
จีที 200 สร้างความร่ำรวยให้แก่ บริษัทนำเข้าแบบผูกขาดรายเดียวตั้งแต่ปี 2547  และใครบางคนที่หนุนให้ใช้ จีที 200 ราวกับ พรีเซนเตอร์ชั้นดี
...ถามว่า ถ้าไม่ใช้ จีที 200 จะใช้อะไร ?
คำตอบคือ  เรายังเคยมี “อุปกรณ์มีชีวิต” ที่ใช้กันมาแต่ดั้งเดิม คือเจ้าชุดตรวจระเบิด 4 ขา หรือ “สุนัขทหาร” ที่มีความแม่นยำในการตรวจหาวัตถุต้องสงสัยไม่แพ้เทคโนโลยีล้ำสมัยใดๆ 
         “ชุดตรวจระเบิด 4 ขา” ที่ปฏิบัติการอยู่ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น เริ่มจัดตั้งหน่วยอย่างเป็นทางการตั้งแต่หลังเหตุการณ์ปล้นปืนเมื่อต้นปี 2547 และยังคงสถานะหน่วยมาจนถึงปัจจุบัน
       โดยมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “หมวดสุนัขทหารอโณทัย หน่วยเฉพาะกิจอโณทัย” มี ร.อ.พัฒนศักดิ์ ประสมศรี ผู้บังคับหมวดสุนัขทหารฯ เป็นผู้บังคับบัญชา
       หมวดสุนัขทหารฯ ยังมีชื่อที่เรียกขานกันติดปากอีกชื่อหนึ่งว่า “หน่วยย่าเหล” ตามนามของสุนัขทรงเลี้ยงในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นสุนัขที่ฉลาด แสนรู้ เป็นที่ทรงโปรดของล้นเกล้าฯรัชกาลที่ 6
      ปัจจุบันหมวดสุนัขทหารอโณทัยฯ มีกำลังพลทั้งสิ้น 54 นาย และสุนัขทหาร 34 ตัว
      สุนัขทหารที่ประจำการอยู่ในหมวดสุนัขทหารอโณทัยจำนวน 34 ตัวนั้น แยกเป็น สุนัขตรวจค้นทุ่นระเบิด 8 ตัว สุนัขลาดตระเวน 8 ตัว สุนัขสะกดรอย 8 ตัว สุนัขตรวจค้นพัสดุภัณฑ์ระเบิด 8 ตัว และสุนัขตรวจค้นยาเสพติด 2 ตัว โดยสุนัขทหารทุกตัวจะมีผู้บังคับสุนัขประจำ 1 นาย
    ส่วนใหญ่สุนัขทหารที่นำมาใช้งานมีอยู่ 2 พันธุ์ คือ พันธุ์เยอรมันเชฟเฟิร์ด (German Shepherd) และพันธุ์ลาบราดอร์ (Labrador)
   เมื่อสุนัขที่ได้รับการคัดเลือกมามีอายุได้ 10-12 เดือน จะต้องเข้ารับการฝึกคู่กับผู้ควบคุมสุนัขทหาร หลักสูตรขั้นต้น 4 เดือน จึงจะออกปฏิบัติภารกิจได้ และแม้ว่าจะออกมาปฏิบัติภารกิจแล้ว ก็จะมีการฝึกทบทวนสุนัขทหารอยู่เสมอ
      แต่อย่างไรก็ดี "ชุดตรวจระเบิด 4 ขา" ก็ประสบปัญหาในบางภารกิจเช่นกัน โดยเฉพาะในพื้นที่อ่อนไหวอย่างสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
     เพราะ ชุมชนมุสลิมส่วนใหญ่ไม่ยอมให้นำสุนัขทหารเข้าไปในหมู่บ้าน ด้วยเหตุผลทางศาสนา จึงทำให้ภารกิจปิดล้อมตรวจค้นเพื่อหาตัวคนร้ายและอาวุธไม่สามารถใช้สุนัข ทหารได้ทุกครั้ง จนต้องถือว่าภารกิจล้มเหลว
    ประเด็นนี้อยู่ระหว่างทำความเข้าใจ เพราะสุนัขทหารทุกตัวได้รับการเสี้ยงดูและฝึกฝนมาเป็นอย่างดี หากประชาชนเข้าใจ ก็จะสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก
  ต้นทุน สุนัข กับ จีที 200 อะไร แพงกว่ากัน ?    จีที 200 เครื่องละ 1.2 ล้านบาท 
   สุนัขทหารตัวหนึ่ง มีต้นทุนประมาณแสนกว่าบาท แต่ใช้งานได้ถึง 10 ปี โดยปีแรกจะแพงที่สุด
   เพราะคือต้นทุนราคาสุนัขพันธุ์ดีที่ซื้อมาตัวละ 30,000 บาท หลังจากนั้นก็จะเป็นค่าใช้จ่ายระยะยาว พวกค่าอาหาร 1 ตัวต่อปีใช้ประมาณ 182.5 กิโลกรัม และค่ายารักษาโรคต่างๆ อีก 1,890 บาทต่อปี
    แต่ที่น่าปลื้มใจก็คือ ยังไม่เคยมีสุนัขทหารต้องสังเวยชีวิตจากการปฏิบัติทางยุทธการเลย นั่นสะท้อนให้เห็นถึงความ “ชัวร์” ของชุดตรวจระเบิด 4 ขา
   วันนี้ .. จีที 200  ไม่มีการจัดซื้อเพิ่มอีกแล้ว   ได้เวลา  "ชุดตรวจระเบิด 4 ขา" ออกยืดเส้นยืดสายกันอีกครั้ง!
   (ข้อมูล ศูนย์ข่าวอิศรา โต๊ะข่าวภาคใต้ สมาคมนักข่าวฯ )


เลิกใช้จีที 200 แล้วต้องคุ้ยหา “ไอ้โม่ง” งาบหัวคิวด้วย!!

จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์

ผ่าประเด็นร้อน
       
       สิ่งที่สังคมมักสงสัยอีกประเด็นหนึ่งก็คือ กระบวนการจัดซื้อ อาจ “มิ ชอบ” เนื่องจากเห็นว่ามีราคาแพงเกินจริง เมื่อเทียบกับประสิทธิภาพ และกลไกการทำงานภายในตัวเครื่อง อีกทั้งที่ผ่านมายังมีการสั่งซื้อเพิ่มอยู่อยู่ตลอดเวลาจนถึงปัจจุบัน แม้กระทั่งทางหน่วยงานความมั่นคงในประเทศอังกฤษซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตและ สหรัฐฯ สั่งระงับการใช้ แต่ทำไมกองทัพและหน่วยงานของไทยยังปล่อยให้ใช้อยู่ต่อไปโดยไม่ยอมให้มีการ ตรวจสอบ มิหนำซ้ำยังยืนยันและเชื่อมั่นในประสิทธิภาพอย่างปิดปกติ
       
       ในที่สุดจากคำแถลงอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ระบุว่าจะสั่งระงับใช้และเลิกสั่งซื้อเพิ่มเติมเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด และสารเสพติด จีที 200 ตามผลการทดสอบของคณะกรรมการตรวจสอบที่มี คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่สรุปออกมาว่าไม่มี ประสิทธิภาพ หรือถ้าเรียกแบบภาษาชาวบ้านก็คือ “ห่วยแตก” นั่นแหละ เพราะผลการทดสอบจำนวน 20 ครั้ง แต่เข้าเป้าเพียงแค่ 4 ครั้งเท่านั้น
       
       ขณะเดียวกันยังสั่งให้มีการตรวจสอบถึงกระบวนการจัดซื้อก่อนหน้านี้ ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร ให้ไล่ย้อนกลับไปไปจนถึงต้นตอ ก็ถือว่าโอเค มีความตรงไปตรงมาสูงและยึดถือความจริงเป็นหลัก
       
       ที่น่าสังเกตก็คือ ก่อนที่จะมีการแถลงของนายกรัฐมนตรี ได้มีการเชิญ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก เข้าไปรับทราบถึงผลสรุปของการตรวจสอบประสิทธิภาพของเครื่องดังกล่าวในที่ ประชุมคณะรัฐมนตรี พร้อมๆกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอีกด้วย
       
       เครื่องจีที 200 ดังกล่าวหากจะอธิบายคร่าวๆเพื่อให้ได้เห็นภาพก็คือ เป็นเครื่องมือที่ผลิตในประเทศอังกฤษ ใช้ในการตรวจหาสารประกอบระเบิด ดินปืน ยาเสพติด โดยใช้หลักการสนามแม่เหล็กเป็นตัวค้นหาและชี้เป้า ขณะเดียวกันอุปกรณ์ภายในเครื่องก็จะใช้การ์ดหรือชิฟซึ่งแยกประเภทชนิดในการ ค้นหา เช่น หากต้องการค้นหาสารซีโฟร์ก็จะใส่ชิฟสำหรับค้นหาสารดังกล่าว เป็นต้น โดยในแต่ละเครื่องสามารถบรรจุชิฟได้สูงสุด 18 ชนิด
       
       ที่ผ่านมาเคยมีการทดสอบประสิทธิภาพกันมาแล้ว โดยเฉพาะในกองทัพของอังกฤษผลออกมาไม่มีประสิทธิภาพเต็มร้อยจึงสั่งระงับการ ใช้ และก่อนหน้านี้ทางสำนักนักข่าวบีบีซีก็เคยรายงานผลการพิสูจน์ให้ทราบมาแล้ว ขณะเดียวกันยังมีรายงานอีกว่า กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ เคยแจ้งเตือนไปยังหน่วยงานความมั่นคงให้ทราบว่าเครื่อง จีที 200 ไม่มีประสิทธิภาพ
       
       สำหรับประเทศไทย เริ่มสั่งซื้อเข้ามาใช้ในประเทศไทยเมื่อปี 2547 ในยุคที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เป็นผู้บัญชาการทหารบก โดยมีการกระจายใช้ไปตามกองทัพภาคต่างๆทั้งกองทัพภาคที่ 1-4 แต่กองทัพภาคที่ 4 จะมีการนำเครื่องดังกล่าวไปใช้มากที่สุด นอกเหนือจากนี้ยังมีรายงานว่ายังมีอีกหลายหน่วยงานที่สั่งซื้อเครื่องมือ จีที 200 มาใช้ เช่น ป.ป.ส.เพื่อตรวจหาสารเสพติด สำนักงานนิติวิทยาศาสตร์ รวมไปถึงกระทรวงมหาดไทย เป็นต้น
       
       ทั้งนี้ แต่ละหน่วยงานมีการจัดซื้อในราคาในราคาที่ไม่เท่ากัน มีทั้งราคาตั้งแต่ 5-6 แสนบาทไปจนถึง 1.1-1.6 ล้านบาท
       
       ก่อนหน้านี้เคยมีการเรียกร้องให้มีการทดสอบประสิทธิภาพกันหลายครั้ง เนื่องจากเกิดความสงสัยจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ เนื่องจากเห็นว่าผลจากการทำงานของเครื่องก่อให้เกิดความผิดพลาดหลายครั้ง เกิดความสูญเสีย ทั้งชีวิต ทรัพย์สิน และทำให้สูญเสียอิสรภาพอีกด้วย
       
       จากการสัมมนาของสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ร่วมกับสถาบันอิศรา เมื่อวันที่ 15 พ.ย.2552 ก็เคยมีการพูดถึงเรื่องดังกล่าว โดยเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องหรือเคยใช้เครื่องจีที 200 รวมไปถึงชาวบ้านและนักสิทธิมนุษยชนมาให้ข้อมูล ขณะที่ตัวแทนฝ่ายทหารยืนยันว่ามีประสิทธิภาพเชื่อถือได้ แต่ฝ่ายชาวบ้านหรือผู้ได้รับผลกระทบกลับเห็นไปในทางตรงกันข้าม ยืนยันว่าเครื่องทำงานผิดพลาด หรือทำให้เกิดผลกระทบทำให้สูญเสียอิสรภาพ เช่น บางครั้งเครื่องชี้ไปที่บุคคลที่ถูกระบุว่ามีสารเสพติด มีการจับกุมไปสอบสวนโดยยึดถือเพียงแค่เครื่องชี้ไปตรงตัวเท่านั้น
       
       ก่อนหน้านี้เมื่อบ่ายวันที่ 6 ต.ค.2552 ได้เกิดเหตุระเบิดตรงข้ามโรงแรมเมอร์ลิน กลางเมืองโก-ลก จังหวัดนราธิวาส มีผู้เสียชีวิต 1 รายและบาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง ทั้งที่ก่อนเกิดเหตุมีการแจ้งให้เจ้าหน้าที่มาตรวจสอบหาวัตถุระเบิด ซึ่งผลของการใช้เครื่อง จีที 200 ไม่พบระเบิด หรือหลายครั้งที่เครื่องชี้ว่า มีระเบิด แต่พอไปเก็บกู้กลับกลายเป็นว่าไม่มีระเบิด เป็นต้น
       
       ดังนั้น เป็นเรื่องถูกต้องแล้วที่มีการสั่งระงับการใช้เครื่องตรวจสอบวัตถุระเบิดและ สารเสพติด จีที 200 เนื่องจากเป็นเครื่องมือที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายสำหรับคนที่ใช้ และประชาชนที่จะได้รับความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินและยังสูญเสีย อิสรภาพถูกจับกุมคุมขัง ซึ่งอีกด้านหนึ่งอาจสร้างเงื่อนไขให้เกิดความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดน ภาคใต้เพิ่มขึ้นอีก จากความไร้ประสิทธิภาพของเครื่อง แต่ผู้ใช้หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกลับมีความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยม
       
       ขณะเดียวกันจะต้องมีการตรวจสอบถึงที่มาที่ไปและการสั่งซื้อเครื่องมา ใช้ ว่าที่ผ่านมาก่อนนำมาใช้มีการทดสอบประสิทธิภาพของเครื่องมากน้อยแค่ไหน
       
       สิ่งที่สังคมมักสงสัยอีกประเด็นหนึ่งก็คือ กระบวนการจัดซื้ออาจ “มิ ชอบ” เนื่องจากเห็นว่ามีราคาแพงเกินจริง เมื่อเทียบกับประสิทธิภาพ และกลไกการทำงานภายในตัวเครื่อง อีกทั้งที่ผ่านมายังมีการสั่งซื้อเพิ่มอยู่อยู่ตลอดเวลาจนถึงปัจจุบัน แม้กระทั่งทางหน่วยงานความมั่นคงในประเทศอังกฤษซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตและ สหรัฐสั่งระงับการใช้ แต่ทำไมกองทัพและหน่วยงานของไทยยังปล่อยให้ใช้อยู่ต่อไปโดยไม่ยอมให้มีการ ตรวจสอบ มิหนำซ้ำยังยืนยันและเชื่อมั่นในประสิทธิภาพอย่างปิดปกติ
       
       สิ่งที่เกิดขึ้นถือว่าสร้างความสงสัยกับประชาชนไม่น้อย อย่างไรก็ดี เพื่อความโปร่งใสจะต้องมีการตรวจสอบกันต่อไปเพื่อให้สาวไปถึงต้นตอและอธิบาย ได้ว่าทำไมต้องจัดซื้อ ซื้อทำไม ซื้อจากบริษัทไหนและที่สำคัญได้ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพก่อนนำไปใช้จริงแล้ว หรือยัง
       
       เชื่อว่าหากตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาอาจจะต้องพบความไม่ชอบมาพากล โดยเฉพาะ “ค่าหัวคิว” ที่มี “บิ๊กโม่ง” งาบจนพุงกางจึงพยายามปกปิดใช่หรือไม่!!


view