สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

จับประเด็นชัดๆ คดียึดทรัพย์ ทักษิณ 7.6 หมื่นล้าน อะไรคือแก่น อะไรคือกระพี้ และใครกดดันศาลฎีกา ?

จากประชาชาติธุรกิจ


13 .00 น. วันที่ 26 ก.พ. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะตัดสินคดียึดทรัพย์พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ จำนวน 7.6 หมื่นล้าน "ประชาชาติธุรกิจ" สัมภาษณ์พิเศษ ศ.ดร.นันทวัฒน์ บรมานันท์ นักกฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ ในประเด็นสำคัญ ๆ ที่ถูกมองข้ามโดยสื่อกระแสหลัก เราเชื่อว่า บทสัมภาษณ์นี้ จะทำให้คนไทยคิดได้มากขึ้น ฉลาดมากขึ้น และมีสติมากขึ้น

@  มองปรากฎการณ์ คดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้าน  ตอนนี้ อย่างไร
        ผมจะไม่ตอบแบบชี้นำ  เพราะวันนี้  สภาพของสังคม วันนี้ ชี้นำอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน  สมัยก่อนเวลาศาลจะตัดสินคดีอะไร  แม้กระทั่งเรื่องยุบพรรค ก็ยังไม่แรงขนาดนี้  แต่วันนี้มีการพูด มีการคาดเดา  ไม่ว่าจะเป็นพรรคเดียวกับคุณทักษิณ หรือพรรคตรงข้ามกับคุณทักษิณ ทุกคนออกมาคาดเดาหมด ซึ่งผมคิดว่าเป็นสิ่งที่ไม่สมควรและไม่เหมาะสม
       เป็นไปได้อย่างไรที่สื่อของรัฐ ออกมาสร้างภาพให้เราเห็นความผิดของคุณทักษิณ  ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องของศาลมากกว่า  ถ้าสื่อของรัฐจะทำ ควรทำหลังจากมีคำพิพากษา  ว่าทำไมศาลถึงยึดทั้งหมด   แต่ก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษา  ใครต่อใคร ออกมาคาดเดาต่างๆ นานา ผมว่าไม่เป็นธรรม   และไม่เกิดภาพดีกับสื่อเลย 
       สิ่งที่ผมคิดก็คือ  ระบบศาลยุติธรรม อย่างน้อยก็อยู่คู่กับประเทศไทยมากกว่าร้อยปีแล้ว   แล้วศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ก็เป็นส่วนหนึ่งของศาลยุติธรรม  เป็นส่วนหนึ่งของศาลฎีกา  ฉะนั้น ต้องไว้ใจศาล   @ ชั่วโมงนี้ ความกดดัน ทั้งหมด ไปตกอยู่ที่ศาลฎีกา
       ต้องโยงไปถึง คตส. เองด้วย เพราะเวลาทำสำนวนส่งมา  คตส. เองก็ให้ข่าวตลอด    โดยไม่ได้ชี้ให้ชัดเจนใน  2 ประเด็น 
      ประเด็นแรก     ทรัพย์สินของคุณทักษิณ เป็นของเขาหรือของคนอื่น เพราะอยู่ในชื่อคนอื่น แต่คตส. บอกว่าคุณทักษิณเอาไปซุกไว้ในชื่อคนอื่น  ฉะนั้น ต้องยึด ซึ่งผมคิดว่าไม่ชัดเจน   แต่ทุกคนพยายามออกมาให้ข่าว   ทุกคนพยายามจะพูดว่าคุณทักษิณต้องถูกยึด  เพียงแต่ว่าจะ ยึดบางส่วน ยึดทั้งหมด หรือไม่ยึด  
     ฉะนั้น คำพิพากษาต้องมีตรรกะและมีเหตุผล
     แต่ผมไม่แน่ใจว่าจะเกิดอาการของการไม่ยอมรับคำพิพากษาหรือเปล่า  ซึ่งจริงๆ แล้ว อาการของการไม่ยอมรับคำพิพากษา เกิดขึ้นมาเนื่องจากการให้ข้อมูล ในช่วงเวลาที่ผ่านมามากกว่า เพราะว่าคุณไปให้ข้อมูลว่าคุณทักษิณผิด ...มันไม่ถูกต้องหรอก
     ประเด็นที่ 2 คือ ประเด็นเรื่องทุจริตเชิงนโยบาย  ทุกคนไม่เข้าใจในเรื่องทุจริตเชิงนโยบาย  พูดกันง่ายๆ ก็คือ คดีที่ขึ้นสู่ศาลฎีกาวันนี้  เป็นคดีที่ไม่มีใบเสร็จ ไม่สามารถจับได้ไล่ทัน    แม้แต่การออกพระราชกำหนดแปลงสัมปทานมือถือ   ผมถามว่าพระราชกำหนด เวลาออก กระบวนการขั้นตอน  มีเยอะแยะไปหมด ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบด้วยซ้ำไป   อย่างนี้ เราเองยังไม่รู้เลยว่าเอื้อประโยชน์แปลว่าอะไร  !!!
       คือ ไม่มีคำจำกัดความที่แน่นอน   ทุจริตเชิงนโยบายหรือเอื้อประโยชน์  
      แต่โดยส่วนตัวผมเอง รอดู 2 เหตุผล จากศาล เหตุผลที่ 1 ก็คือ ถ้า จะยึดทรัพย์ของคุณทักษิณ ซึ่งเป็นชื่อของคนอื่น  จะโยงไปถึงได้อย่างไร   เพราะเขาโอนให้ไปหมดเรียบร้อยแล้ว  ฉะนั้น เมื่อโอนไปแล้ว อยู่ในชื่อคนอื่นแล้วจะยึดมาให้เป็นของแผ่นดินได้อย่างไร
       ประการที่ 2 คือเรื่อง ทุจริตเชิงนโยบาย  จะทำให้กลายเป็นทุจริตชัดๆ โดยไม่มีคำว่าเชิงนโยบายได้อย่างไร  เพราะทุจริตเชิงนโยบาย มันไม่ใช่การทุจริตโดยตรง  แต่ว่าเป็นการทำอะไรบางอย่างที่ก่อให้เกิดผลดีกับตัวเอง ซึ่งก็เป็นไปได้ตั้งหลายอย่าง
         ผมยกตัวอย่างง่ายๆ  เอาของขวัญมาให้   กราบอวยพรสวัสดีปีใหม่ บางคนเราเห็นก็เมตตา ก้มตัวลงไปกราบ แสดงความเคารพนบนอบ ตรงนี้ เราอาจจะจิตใจโอนเอียงไปทางเขา  เหมือนกับเป็นทุจริตเชิงนโยบายหรือเปล่า ...ผมก็ไม่แน่ใจ
          ฉะนั้น ผมจะดูเหตุผล 2 ส่วนนี้  ว่าศาลเขียนอธิบายอย่างไร   ถ้าศาลบอกว่าทุจริตเชิงนโยบาย เอาผิดได้   เราต้องมาวางมาตรฐานกันใหม่แล้วว่า  อะไรก็ตาม ที่เป็นเรื่องลักษณะนี้ ต้องเอาผิดให้หมด  เอาผิดกับทุกคน เพราะมันทำกันทั้งนั้น   @ อาจารย์เชื่อเรื่องสินบนคดียึดทรัพย์ตามที่พรรคการเมืองใหม่ปล่อยข่าวออกมา
           ผมไม่เชื่อ ...เพราะถ้าเอาตัวเองเป็นหลัก  แล้วเราอยู่ในกรณีดังกล่าว ถ้าจะรับจริงๆ ต้องลงลับไปใต้ดินลึกมากๆ  ที่ไม่มีใครมองเห็นแล้ว  เพราะเป็นเรื่องที่คนจับตาดู  แต่ผมเข้าใจว่า ข่าวการให้สินบนเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างภาพลบให้กับคุณทักษิณ  ซึ่งมันก็ทำให้คนมองคุณทักษิณในภาพลบเข้าไปอีก
   
@  เห็นด้วยกับทฤษฎีวัวกินหญ้าของอาจารย์แก้วสรร อติโพธิ หรือไม่ 
          คือ ถ้าผมขโมยเงินเขามา แล้วผมเอาเงินไปซื้อยาเสพติด เอายาเสพติดไปขาย ทฤษฎีนี้มันก็ใช้ได้    แต่ถ้าเป็นส่วนที่ได้มาโดยสุจริต ผมว่า  ความยุติธรรมมันควรจะมีบ้าง ความเป็นธรรมในสังคมควรจะมีบ้าง   
        เราจะไปใช้แนวคิดเงินต่อเงิน ถ้าไม่มีเงิน ก้อนนี้ก็ทำอันนั้นไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้หรอก  เพราะมนุษย์เราทุกคนเกิดมาก็มี พลัง ติดตัวมาอยู่แล้ว มีกล้ามเนื้อ  จากนั้นก็ไปทำอะไรต่ออะไรได้  ถ้าไม่อย่างนั้น เวลาเราไปทำผิด เราจะทำยังไงกับร่างกายของเรา  ที่เป็นส่วนประกอบที่นำไปใช้ในการทำผิด  มันไม่ถูก ผมคิดว่ามันต้องแยกกัน
      @  ความแตกต่างของคดีซุกหุ้นเมื่อ 3 สิงหาคม 2544 กับคดียึดทรัพย์ 26 กุมภาพันธ์ 2553  แตกต่างกันหรือไม่อย่างไร
         แตกต่างกันในแง่ข่าว  ตอนซุกหุ้น คุณทักษิณเป็นนายกฯ   ตอนนั้น   ผมเข้าใจว่า  ส่วนหนึ่งก็คือ เกรงใจนายกฯ  กับอีกส่วนคือ พลังของประชาชนที่อยู่ข้างนอกยังไม่ค่อยเข้มแข็งเท่าไหร่  แล้วสื่อเองก็ไม่กล้า พูดตรงๆ ก็มีแค่มติชน ประชาชาติธุรกิจที่กล้า ตรวจสอบ คุณทักษิณ   สื่ออื่นๆ ก็มีบ้าง แต่ไม่หนักเท่า 
          แต่ในตอนนี้ คุณทักษิณไม่ได้เป็นนายกฯแล้ว  แล้วภาพของคุณทักษิณคือ คนผิด อย่างคดียึดทรัพย์รัชดาฯ  ผมถามเด็กในห้องเรียน  เด็กในห้องก็บอกว่าคุณทักษิณไปโกงเขา  ผมก็ถามว่าโกงยังไง  ก็บอกว่าไปโกงที่เขามา แต่ยังไม่รู้เรื่องรายละเอียดอะไร ฉะนั้นวันนี้ภาพคุณทักษิณ ผิดไปแล้ว
          ฉะนั้น  ผมว่ามันต่างกันลิบลับเลย ไม่มีความเกรงใจ ไม่มีความกลัวอะไรทั้งนั้นแล้ว ทุกคนมีแต่คิดที่จะประหัตประหารกัน  คือ คุณทักษิณต้องจบ วันนี้ทุกคนพูดกันแบบสนุกปาก เพลินกันไปหมด ก็เลยกลายเป็นสังคมแปลก ๆ อะไรก็ไม่รู้    @ ย้อนกลับไปดูคดียึดทรัพย์ในอดีตหลัง 2475  อาจารย์คิดว่าศาลมีแนวที่ชัดเจนหรือไม่
       คดียึดทรัพย์ที่ผ่านมา เพิ่งมีครั้งเดียวที่ชัดเจน คือ กรณีคุณรักเกียรติ สุขธนะ  โดยศาลฎีกาแผนกคดีอาญา(นี่แหละ)  นอกเหนือจากนั้นเป็นการยึดทรัพย์โดยศาลเตี้ย  คือ ตั้งคณะกรรมการขึ้นมา แต่ไปส่งให้ศาลพิจารณาเป็นรอบสุดท้าย  แล้วก็เป็นข้อขัดข้องทางเทคนิก
        แต่ในกรณีคตส. เขาไม่ได้ให้ยึดทรัพย์ แต่ให้อายัด ฉะนั้นก็ไม่น่าจะมีปัญหา  ผมคิดว่าศาลฎีกาแผนกคดีอาญาทบทวนแล้ว    @  อาจารย์คิดว่า ปว.ฉบับ 30 ไม่น่าจะเป็นประเด็น
             ผมคิดว่าไม่น่าจะเป็นประเด็น  เพราะคตส.ไม่ได้มีอำนาจยึดแต่แค่อายัด  หลังจากนั้นก็ส่งต่อกระบวนการตามปกติ เพียงแต่ว่า เหตุผลของศาลฎีกา ฯ แค่นั้นเองที่จะเป็นประเด็นว่า ศาลฎีกาเขาทำอย่างไรบ้าง ในการให้เหตุผล
      
@  คุณทักษิณ ประกาศว่า ถ้าไม่ได้รับความยุติธรรม จะต่อสู้ทุกวิถีทาง นั่นหมายความว่า สังคมไทยไม่มีวันสงบสุข อีกยาวนาน 
         ต่อสู้ถึงที่สุด ผมไม่แน่ใจว่า ต่อสู้ในเชิงไหน  ถ้าต่อสู้ถึงที่สุดธรรมดาก็คือ มีสิทธิ์อุทรณ์ศาลภายใน 30 วัน  แต่ต้องมีพยานหลักฐานใหม่ แล้วทำให้ข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไป  ซึ่งคุณทักษิณจะมีหรือเปล่า ผมไม่ทราบ
        แต่ถ้ามีแล้วศาลฎีการับพิจารณา  ถึงที่สุดก็คือ จบแล้วตรงนั้น  ทรัพย์สินก็ต้องตกเป็นของแผ่นดิน   แต่ผมไม่แน่ใจว่าจะสู้ได้อย่างไรบ้าง  เพราะว่าในทางกฏหมายถือว่าจบแล้ว  คุณจะออกมาประท้วงอยู่ข้างนอก ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะมีคำพิพากษาแล้ว  เราจะไปขอให้ศาลยกเลิกคำพิพากษาได้อย่างไร   เพราะตอนปฏิวัติยังไม่มีการยกเลิกคำพิพากษา ยกเลิกรัฐธรรมนูญ ยังดูง่ายกว่ายกเลิกคำพิพากษาอีก
       ฉะนั้น เป็นไปได้ก็คือ ต้องมีเหตุการณ์ทางการเมืองขึ้น หรือไม่อย่างนั้นพรรคของคุณทักษิณ  เข้ามาเป็นรัฐบาลแล้วก็ออกกฏหมาย ให้คืนทรัพย์ ซึ่งทางกฏหมายก็ทำได้   เพียงแต่ว่า มันไม่ใช่เรื่องง่าย(หรอก)    คือ ถ้าถูกยึดแล้วก็คือ ...จบแล้ว   @  เป็นไปได้หรือไม่ว่า คุณทักษิณอาจจะต้องติดคุก  แล้วค่อยมาพูดเรื่องการอภัยโทษกันภายหลัง  
        เรื่องนี้ ผมคิดว่า ปิดประตูคิดไปได้แล้ว  เพราะถ้าผมเป็นคุณทักษิณ ผมก็คงไม่อยากกลับมาเมืองไทย เพราะว่าจากที่เราดูข่าว คุณทักษิณไปเดินที่ไหนในประเทศไทย ก็คงเดินอย่างไม่สบายใจ  แล้วคนที่ยังรักคุณทักษิณ มีจำนวนเท่าไหร่  ก็ไม่รู้ แต่คนไม่ชอบมีแน่ๆ 
          นอกจากนี้ คนที่บริโภคข้อมูลในแง่ลบตลอดเวลา ซึ่งลบโดยตัวของคุณทักษิณเองด้วย  ลบโดยการแต่งเติมให้มันหนักมากขึ้นด้วย  ฉะนั้น ความเป็นลบต่อคุณทักษิณ มันมีเยอะมาก เดินก็ไม่สะดวกใจ
         ผมคิดว่าคุณทักษิณน่าจะหยุด แล้วมีชีวิตอยู่อย่างสงบดีกว่า  เรามีผู้นำประเทศในโลกตั้งหลายคนที่เจอปัญหาลักษณะนี้ ก็ต้องถือว่าเป็นโชคร้ายของเขา ก็ต้องอยู่ที่อื่น  เพราะกลับมา ผมก็ยังไม่แน่ใจว่าจะทำยังไง
         แล้วอย่างที่บอก คุณทักษิณ บริหารประเทศได้  แต่กลับมาวันนี้ จะบริหารประเทศได้แบบเดิมหรือเปล่าก็ไม่รู้ คุณทักษิณอายุมากขึ้น   ทีมงานที่เคยทำงานกับคุณทักษิณ ก็แยกย้ายไปทำงานกับคนอื่น  บางคนก็เลิกเล่นการเมืองไปแล้ว ถอดใจไปแล้ว  ถามว่าคนเหล่านั้น จะกลับมารวมตัวกันใหม่หรือเปล่า  แล้วก็จะช่วยประเทศชาติอะไรได้บ้าง ผมยังมองไม่เห็นทาง
        @  อาจารย์เชื่อหรือไม่ว่า หลัง 26 กุมภาพันธ์ บ้านเมืองจะเข้าสู่จลาจล เกิดวิกฤต จนเกิดเหตุความรุนแรง 
          จะรุนแรงเรื่องอะไร ผมยังไม่เข้าใจเลย  ผมดูทีวีรายงานว่ามีทหาร คอยรักษาความปลอดภัย 4,000-5,000 คน   มันคืออะไร ผมยังไม่เข้าใจเลย   ถ้าเราดูตรรกกะแบบง่ายที่สุดนะ  ศาลตัดสินคดี  แค่นั้นเอง แล้วจะวุ่นวายเพื่ออะไร  วุ่นวายเพื่อไม่ยอมรับคำพิพากษา   กฏหมายก็เขียนไว้ชัดว่าคำพิพากษา อ่านแล้วมีผล  แค่นั้นเอง แล้วคุณทักษิณก็มีกระบวนการอีก 30 วัน  ฉะนั้น ผมมองไม่เห็นประเด็นเลย ว่าคุณจะวุ่นวายไปเพื่ออะไร     ผมมองไม่เห็นว่า การเดินขบวน จะเปลี่ยนผลคำพิพากษาได้อย่างไร  ผมว่าปฏิวัติ ฉีกรัฐธรรมนูญง่ายกว่าซะอีก   @  หลังคดียึดทรัพย์ คุณทักษิณ อาจโดนเล่นงานคดีทุจริตอีกหลายคดี โทษอาญาอาจหลายสิบปี  
      อย่างที่ผมบอก คุณทักษิณ ไม่ควรกลับ    วันนี้ยังไงก็ไม่ควรกลับ เพราะคุณทักษิณคือความขัดแย้ง  วันนี้พันธมิตรฯเงียบเลย แทบไม่มีการพูด เพราะพันธมิตรฯคือความขัดแย้งเหมือนกัน วันนี้เป็นสงครามหรือข้อพิพาทระหว่างเสื้อแดงกับรัฐบาล  เสื้อแดงกับอำมาตย์ เสื้อแดงกับศาล ไม่มีเสื้อแดงกับเสื้อเหลือง  เพราะเสื้อเหลืองรู้ตัวว่า
ตัว เองก็คือความขัดแย้ง ออกมาเมื่อไหร่ก็เกิดความขัดแย้งในสังคม
      ฉะนั้น ถ้าทุกคนรู้ตัว ไม่ใช่ว่า ผมชมเสื้อเหลืองว่า หยุดแล้วดี(นะ)  แต่วันนี้บ้านเมืองมีปัญหาเยอะแล้ว  เมื่อเขาหยุด  มันก็เหมือนกับคู่กรณีหายไปหนึ่ง  ถ้าเสื้อแดงหยุดด้วยมันก็จะจบ  คุณทักษิณเองก็เหมือนกัน คุณทักษิณ ควรจะยอมรับคำพิพากษา  เพราะผมไม่ชอบคาดเดา แต่ผมไม่คิดว่ายึดหมดอยู่แล้ว  เพราะผมคิดว่านักกฏหมายเองก็ต้องมองกฏหมายด้วยลักษณะที่ค่อนข้างไม่แตกต่าง กันหรอก  คือเป็นกลาง และไม่มีอคติ แค่นั้นเอง
        ถึงยึดหมด วันนี้ 7.6 หมื่นล้าน ถูกอายัด คุณทักษิณก็ยังไปทำอะไรต่อมิอะไร ไปทำล็อตเตอรี่ในอูกันดา แสดงว่าคุณทักษิณก็ยังมีที่อื่นอีก  ฉะนั้นก็ใช้ที่อื่นเท่าที่มีไปตลอดชีวิตดีกว่า  อยู่อย่างสบายดีกว่า  วันหนึ่ง เมื่อทุกอย่างสบายๆ แล้ว ก็ค่อยกลับมา   ดูอย่าง จอมพลถนอม กิตติขจร ถูกกล่าวหาร้ายแรงกว่าคุณทักษิณตั้งเยอะ ผมก็ยังเห็นกลับมาใช้ชีวิตเหมือนเดิม กันทุกคน  เขารอเวลาให้คลื่นลมสงบ แล้วก็ค่อยกลับมา  สุดท้ายก็กลับมาตายที่เมืองไทย   @ อาจารย์ประเมินรัฐบาลอภิสิทธิ์อย่างไรบ้าง ในการยุติความขัดแย้งในบ้านเมืองในช่วงปีเศษที่ผ่านมา
           1 ปี เศษที่ผ่านมา รัฐบาลเป็นส่วนที่เสริมสร้างความขัดแย้งด้วยซ้ำไป  สถานีโทรทัศน์บางช่อง ผมไม่แน่ใจว่าคนที่ทำรายการ  คิดว่าคนไทยเป็นอะไรก็ไม่รู้   เอาใครมาสัมภาษณ์ในลักษณะเชิงลบตลอดเวลา  เหมือนกับดูทีวีอะไรก็ไม่รู้ ซึ่งผมว่าไม่ใช่   ไม่ใช่บทบาทของรัฐบาล
            จริงๆ แล้ว อย่างคดียึดทรัพย์ ถ้าผมเป็นรัฐบาล ผมจะเฉยเลย  เพราะการเอาข่าวออกมาว่าคุณทักษิณไม่ดียังไง ไปกดดันศาล  เพราะทำให้เกิดความรู้สึกร่วมของในสังคมว่าคุณทักษิณไม่ดี  สมมุติถ้าศาลดูข้อมูลแล้วออกมาว่าท่านต้องคืนทรัพย์ทั้งหมด ศาลจะกล้าเหรอ ในเมื่อทีวีออกทุกวัน  ช่องรัฐบาลด้วย หนังสือพิมพ์เองก็ลงทุกวัน
           แต่ถ้าเกิดศาลมองด้วยสายตาของศาลเอง แล้วเห็นว่า ไม่ควรยึด สมมุตินะ  อันนี้คือความกดดันแล้ว  ความกดดันไปอยู่ที่ศาล
      ฉะนั้น ถ้าผมเป็นรัฐบาล ผมจะไม่พูดเรื่องนี้เลย   ไม่ให้ข้อมูล การให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ควรเกิดหลังคำพิพากษามากกว่า  เพื่อที่จะสนับสนุนคำพิพากษา  ถ้ายึดทั้งหมด รัฐบาลก็ให้ข้อมูลเกี่ยวกับความผิดว่าทำไม  ยึดครึ่งหนึ่งก็ควรจะให้ข้อมูลว่า ทำไมถึงยึดครึ่งหนึ่ง ไม่ยึดเลยก็ต้องให้ข้อมูล  ฉะนั้น รัฐบาลต้องเป็นกลาง   @   หมายความว่า  รัฐบาลไม่เป็นผู้ใหญ่  เพียงพอ 
            ผมคิดว่า มันเป็นเรื่องที่ไม่รู้จักบทบาทและหน้าที่  รัฐบาลมีหน้าที่ในการบริหารประเทศ  ศาลฎีกาแผนกคดีอาญามีหน้าที่ตัดสินคดีคุณทักษิณ  วันนี้คุณทักษิณไม่ได้เป็นศัตรูของรัฐบาลโดยตรงนะครับ  ในกรณีถูกยึดทรัพย์ คือศัตรูของประชาชน  ศัตรูของรัฐ แล้วแต่จะคิด  ไม่เกี่ยวกับรัฐบาล รัฐบาลต้องบริหารประเทศ  ศาลต่างหากที่จะเป็นคนชี้ว่าที่เขาโกงรัฐ เขาทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับประชาชน     ปฏิปักษ์กับรัฐ ถึงได้โกงรัฐ ซึ่งเป็นเรื่องของศาล รัฐบาลไม่เกี่ยว   รัฐบาลไม่ควรออกมายุ่งแม้แต่นิดเดียวด้วยซ้ำไป  เรื่องอยู่ในมือศาล ทุกฝ่าย ทุกคนต้องหยุด   @  หลังคำพิพากษา อาจารย์วิพากษ์ คำตัดสินศาลฎีกา หรือไม่ 
           ผมต้องดูก่อน เพราะต้องใช้เวลาอ่าน  อย่างที่ผมบอกว่าไม่รู้มีประเด็นอะไรบ้าง แต่ผมอยากดู 2 ประเด็น อย่างที่กล่าวไปแล้ว ก็คือ การโอนทรัพย์ของคุณทักษิณให้คนอื่นก่อน ก่อนเล่นการเมือง แล้วไปยึดเขาทั้งหมด ได้หรือไม่ กับ 2 เรื่องทุจริตเชิงนโยบายนั่นแหละ   @ ดูเหมือนการเมืองเมืองไทยคงจะขัดแย้งไปอีกนาน
           มันไม่มีทางแก้  วันนี้ถ้าจะเริ่มแก้จริงๆ มันต้องเริ่มจากสิ่งที่สูงหน่อยก็คือรัฐบาล คือ  ถ้ารัฐบาลหยุดต่อล้อต่อเถียง หยุดให้ข่าว ความขัดแย้งก็จะหายไปมาก ถ้าเราทำให้เห็นว่า การให้ข่าวของอีกฝ่ายหนึ่ง เป็นเรื่องที่เราไม่สนใจ มันก็จะจบไป  เพราะถ้าฝ่ายหนึ่งให้ข่าว ฝ่ายหนึ่งโต้ข่าว มันไม่จบหรอก
          สมัยก่อน ตอนที่ท่านอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ ไปอยู่ต่างประเทศ  เราก็จะเห็นว่า เวลามีใครพูดพาดพิงถึงท่านหรือหมิ่นประมาทท่าน ท่านก็ไม่ต่อล้อต่อเถียง  ท่านก็ให้ทนายของท่านยื่นฟ้องศาล แล้วท่านก็ใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบ
          เราพูดถึงวิธีการวางตัวว่าในเมื่อคุณอยู่นอกประเทศแล้ว แล้วเขากล่าวไม่ดีกับคุณ เห็นไม่ดี ก็ฟ้องเอา แค่นั้นเอง  แต่ไม่ใช่ให้สัมภาษณ์ข้ามประเทศ ทะเลาะกันข้ามประเทศ คุณทักษิณเองก็ไม่เคารพสิทธิของคนอื่น  รัฐบาลแทนที่จะบริหารประเทศให้เต็มที่ก็มาพะวงกับศัตรูคู่แข่ง มันก็ประหลาดนะ ผมว่า   @ บทบาทของ สื่อของรัฐ  ในคดียึดทรัพย์ เป็นอย่างไร   
           ผมไม่ดูสื่อของรัฐ เลย เพราะผมมีความรู้สึกว่า คงมีคนจำนวนหนึ่ง  ที่ไม่พร้อมจะถูกจูงไปกับความคิดเหล่านั้น การยัดเยียดความคิด การเลือกคน การเลือกประเด็น  เพื่อมายัดใส่หัวสมองของคน ผมว่าไม่ถูกต้อง  โทรทัศน์น่าจะสร้างความรู้ให้กับคน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้เชิงบวก   ถ้ารัฐบาล ให้ข้อมูลในแง่ลบที่สุดกับคนในลักษณะแบบที่เราเห็นกันอยู่นี้  แล้วศาลเกิดบอกไม่ผิดขึ้นมา ถามว่ารัฐบาลจะทำยังไง    @ ควรมีการจัดระเบียบสื่อหรือไม่ อย่างไร
         ถามว่าใครจะเป็นคนจัดระเบียบสื่อ เพราะโทรทัศน์ของรัฐที่ใช้เงินภาษีอากรของประชาชน ก็ยังออกมาในลักษณะที่แบบผมว่ามันไม่ใช่  ผมก็ดูทีวีมาหลายประเทศ แต่ยังไม่เคยเห็นทีวีไหนออกมาตั้งหน้าตั้งตาโจมตีอีกฝ่ายหนึ่งอย่างนี้   มันไม่ใช่ทีวีส่วนตัว  ถ้าพรรคการเมืองต้องการมีทีวี ก็ต้องทำส่วนตัว
     แต่นี่คืองบประมาณแผ่นดิน  เมื่อทีวีของรัฐเป็นเสียเอง แล้วจะไปจัดคนอื่นได้อย่างไร   ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน

view