สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

อ่านคำต่อคำ!สมาคมแบงก์'ค้านและขัดขืน เก็บค่าต๋งล้างหนี้กองทุน

จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

สมาคมธนาคารไทยค้านกองทุนฟื้นฟูฯเก็บต๋งเพิ่ม อ้างวิกฤติปี"40 เกิดจากการบริหารศก.ที่ผิดพลาด แบงก์ที่เปิดในปัจจุบันไม่มีส่วนสร้างความเสียหาย
สมาคมธนาคารไทยได้ออกแถลงการณ์วานนี้ ประกาศชัดเจนค้านกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน เก็บค่าธรรมเนียม เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการชำระหนี้ตามพระราชกำหนด ที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี เมื่อ 9 วันที่แล้ว

เนื้อหาในแถลงการณ์ระบุว่า...

เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2555  สมาคมธนาคารไทยได้จัดการประชุมระหว่างธนาคารสมาชิก เพื่อพิจารณาผลกระทบจากร่าง พ.ร.ก. ปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ. 2555    ซึ่งจากข่าวที่ปรากฏในสื่อมวลชน และจากการหารือกับทางการสรุปสาระสำคัญได้ว่า  วัตถุประสงค์ของ พ.ร.ก.  ฉบับนี้ก็เพื่อแก้ไขหนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ จำนวน 1.14 ล้านล้านบาท  โดยกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์นำส่งเงินให้กองทุนฯ ตามอัตราที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด  โดยเมื่อรวมอัตราเพิ่มเติมดังกล่าวกับอัตราที่ธนาคารนำส่งสถาบันคุ้มครองเงินฝากในปัจจุบันร้อยละ 0.4 แล้ว ต้องไม่เกินร้อยละ 1 ต่อปีของยอดถัวเฉลี่ยของบัญชีที่ได้รับการคุ้มครอง

สมาคมธนาคารไทยมีความเห็นว่า การแก้ไขหนี้ซึ่งคั่งค้างมาเป็นเวลานานจำนวนนี้ ให้เกิดความชัดเจนเป็นสิ่งที่ดี และหนี้จำนวนนี้ควรถือเป็นภาระของประเทศที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะต้องให้ความร่วมมือในการแก้ไข จึงจะสำเร็จลุล่วงไปได้    ในส่วนของสมาคมธนาคารไทยนั้น  ธนาคารสมาชิกต่างก็มีความเต็มใจที่จะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี  ทั้งนี้จะต้องดำเนินการโดยคำนึงถึงเสถียรภาพของระบบการเงินของประเทศทั้งในระยะสั้นและระยะยาว และจะต้องดำเนินไปด้วยความเป็นธรรม

การที่ร่าง พ.ร.ก. กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์นำเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ รวมกับที่นำส่งสถาบันคุ้มครองเงินฝาก  ไม่เกินร้อยละ 1 ของยอดเงินฝาก  โดยมิได้ระบุว่าจะมีแหล่งเงินอื่นใดเข้ามาร่วมรับผิดชอบด้วย  แต่กำหนดให้ธนาคารต่างๆ รับภาระเพียงฝ่ายเดียว    สมาคมฯ เห็นว่าไม่ยุติธรรม และจะเป็นผลเสียกับประเทศในระยะยาว  ด้วยเหตุผลดังนี้

1. ความเสียหายที่เกิดขึ้นในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 จำนวน 1.4 ล้านล้านบาท กับกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน เป็นผลมาจากการดำเนินนโยบายของทางการในการบริหารจัดการเศรษฐกิจ   หากพิจารณาด้วยความเป็นธรรมจะเห็นว่า ธนาคารที่เปิดดำเนินการอยู่ในขณะนี้   มิได้มีส่วนในการสร้างความเสียหายดังกล่าว    แม้ว่าจะมีบางธนาคารได้รับความช่วยเหลือจากทางการในช่วงเวลานั้น  แต่ในที่สุดแล้ว ทางการก็ได้รับชำระคืนในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งจากมูลค่าหลักทรัพย์ที่ปรับเพิ่มสูงขึ้น  จากการนำเงินส่งกองทุนฟื้นฟูฯ และสถาบันคุ้มครองเงินฝากมาโดยตลอด รวมทั้งภาษีเงินได้   

นอกจากนี้ ธนาคารยังมีบทบาทสำคัญในการระดมเงินฝากและอำนวยสินเชื่อแก่ธุรกิจต่างๆ ซึ่งช่วยทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวกลับคืนมาได้   

สำหรับธนาคารส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดที่เปิดดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน  ต่างก็แก้ไขปัญหาของตนเองโดยมิได้ขอรับความช่วยเหลือจากทางการ  ทั้งโดยการเพิ่มทุนจากแหล่งเงินทุนต่างๆ  โดยการขายทรัพย์สินอื่นๆ เพื่อนำมาเพิ่มทุน  หรือโดยการขายหุ้นให้แก่ผู้ลงทุนจากต่างประเทศ  ธนาคารพาณิชย์มิได้มีส่วนร่วมในการสร้างความเสียหายดังกล่าวแต่อย่างใด

ดังนั้น การกำหนดให้มีการเรียกเก็บเงินนำส่งเพิ่มเติมจากธนาคารเพื่อนำไปชำระหนี้ด้วยเหตุผลที่ว่า  เนื่องจากธนาคารที่เปิดดำเนินการอยู่ในขณะนี้เป็นผู้ก่อหนี้ขึ้น หรือเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากหนี้ดังกล่าว จึงไม่เป็นความจริง และไม่ยุติธรรม

2. ในปัจจุบัน ธนาคารพาณิชย์ในไทยต้องนำส่งเงินเข้ากองทุนคุ้มครองเงินฝากในอัตราร้อยละ 0.4 อยู่แล้ว ซึ่งนับเป็นอัตราที่อยู่ในระดับสูงมากเมื่อเทียบกับประเทศต่างๆ ในระบบเศรษฐกิจโลก และสูงสุดในภูมิภาคอาเซียน   ผลของการเรียกเก็บเงินในอัตราที่สูงอยู่แล้วเช่นนี้ หากมีการเรียกเก็บเพิ่มเติมขึ้นอีกให้กับธนาคารแห่งประเทศไทย จะเป็นการซ้ำเติม และสร้างความอ่อนแอให้กับธนาคารพาณิชย์ของไทยในระยะยาว  ซึ่งจะทำให้ต้องเสียเปรียบสถาบันการเงินในต่างประเทศมากขึ้น

และยิ่งในช่วงต่อไป ระบบการเงินในอาเซียนจะมีการเปิดเสรีมากขึ้นภายใต้ AEC    เงินนำส่งดังกล่าว จะเป็นอุปสรรค เป็นภาระสำคัญที่ทำให้สถาบันการเงินของไทยไม่สามารถแข่งขันได้เต็มที่ทั้งในประเทศ ในเวทีภูมิภาค และในเวทีโลก

3. การเรียกเก็บเงินนำส่งจากธนาคารพาณิชย์เพิ่มเติมโดยธนาคารแห่งประเทศไทย จะทำให้สภาพการแข่งขันของระบบสถาบันการเงินในไทย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแข่งขันระหว่างธนาคารพาณิชย์เอกชนและสถาบันการเงิน (เฉพาะกิจ) ของรัฐ จะมีความเหลื่อมล้ำ  ได้เปรียบเสียเปรียบกันมากขึ้น  เพิ่มความบิดเบือนในระบบ  เนื่องจากในปัจจุบัน การที่สถาบันการเงิน (เฉพาะกิจ) ของรัฐ ไม่มีภาระต้องนำส่งเงินคุ้มครองเงินฝาก ทำให้มีความได้เปรียบ และสามารถเสนออัตราดอกเบี้ยเงินฝากแก่ประชาชนในอัตราที่มากกว่าธนาคารพาณิชย์เอกชน   ด้วยเหตุนี้ ฐานเงินฝากของสถาบัน (เฉพาะกิจ) ของรัฐ จึงสามารถเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา และมีการอำนวยสินเชื่อที่มิใช่ภารกิจหลักของตนแข่งขันกับธนาคารพาณิชย์อย่างไม่เป็นธรรม

ความเหลื่อมล้ำและความบิดเบือนที่จะเพิ่มขึ้นนี้ จะสร้างความไม่เป็นธรรม บั่นทอน ทำลายการแข่งขันในระบบ และทำให้ระบบสถาบันการเงินไทยไม่สามารถสนับสนุนการพัฒนาประเทศได้อย่างเต็มศักยภาพ ในระยะยาว

ด้วยเหตุผลดังกล่าว สมาคมธนาคารไทย จึงมีความเห็นว่า การทิ้งปัญหาหนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ  โดยมิได้มีการจัดการอย่างชัดเจน จะเป็นผลเสียต่อเสถียรภาพของระบบการเงินการคลังของประเทศ  ดังนั้น จึงสนับสนุนให้มีการแก้ไขโดยเร็ว    แต่การแก้ไขปัญหาหนี้เป็นจำนวนมากเช่นนี้ จะต้องพิจารณาด้วยความรอบคอบและเป็นธรรม ว่าจะมีแหล่งเงินใดบ้าง และจะแบ่งเบาภาระความรับผิดชอบระหว่างภาคส่วนต่างๆ อย่างเป็นธรรมอย่างไร จึงจะเกิดผลดีต่อระบบเศรษฐกิจในระยะยาว    ทั้งนี้ สมาคมธนาคารไทยมีความยินดีที่จะมีส่วนร่วมรับภาระกับภาคส่วนอื่นในการแก้ไขปัญหาหนี้ดังกล่าว

 ลงชื่อ... นายธวัชชัย ยงกิตติกุล เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย


สำนักงานบัญชีและธุรกิจ พี.เอ.แอล.,สำนักงานสอบบัญชี พีแอนด์อี
ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,จดทะเบียนธุรกิจ,วางระบบบัญชี

Tags : อ่านคำต่อคำ สมาคมแบงก์'ค้าน ขัดขืน เก็บค่าต๋ง ล้างหนี้กองทุน

view