สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

หมอกควันภาคเหนือ ระวังเอาไม่อยู่เหมือนน้ำท่วม

จาก โพสต์ทูเดย์

โดย...สุภชาติ เล็บนาค

สถานการณ์หมอกควันพิษและไฟป่ายังคงรุนแรงขึ้น และไม่มีทีท่าจะสงบลง โดยตัวเลขล่าสุดในหลายจังหวัด ปริมาณหมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็กในอากาศอยู่เกินระดับมาตรฐานที่ 120 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรหลายจุด หนักที่สุดอยู่ที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย ที่วัดได้สูงถึง 300ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ทั้งที่กรมควบคุมมลพิษ ระบุว่า หากค่ามลพิษเกิน 120 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร จะมีผลกระทบกับเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคหัวใจ และผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ หากเกิน 200 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร จะเป็นอันตรายกับคนธรรมดาด้วย หรือหากเกิน 300 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ต้องเคลื่อนย้ายอพยพออกจากพื้นที่

แน่นอน ทุกคนรู้ว่าสาเหตุสำคัญย่อมหนีไม่พ้นการเผาพื้นที่การเกษตรเพื่อเพาะปลูก ซึ่งกระทำกันต่อเนื่องมาช้านาน ตลอดจนการเผาป่าเพื่อเก็บเห็ดเผาะของชาวบ้านในละแวกนั้น เมื่อรวมเข้ากับสภาพอากาศที่แห้งแล้ง ทำให้พื้นที่ป่าติดไฟได้ง่ายและเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี แน่นอนว่า ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ย่อมรู้ปัญหา เพราะมีบ้านเกิดอยู่ที่ จ.เชียงใหม่ ศูนย์กลางของปัญหาหมอกควันพิษ แต่ดูเหมือนว่า ตั้งแต่หมอกควันเริ่มหนามากขึ้นช่วงกลางเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา รัฐบาลชุดนี้ยังเมาหมัด ไม่ได้เริ่มแก้ปัญหาอะไรที่เป็นรูปธรรม มีแต่คำพร่ำบอกว่าได้กำชับให้เจ้าหน้าที่เข้าไปจัดการกับผู้ที่เผาป่าและเผา พื้นที่การเกษตรแล้วเท่านั้น

แม้แต่ผู้ที่รับผิดชอบโดยตรงอย่าง ยงยุทธ วิชัยดิษฐ รมว.มหาดไทย ที่คุมพ่อเมืองทั้ง 9 จังหวัดที่ประสบเหตุ ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง พะเยา แพร่ น่าน แม่ฮ่องสอน และตาก ก็ไม่ได้กระตือรือร้น จนกระทั่งปัญหาเริ่มทวีความรุนแรงขึ้นตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลให้ท่าอากาศยานทั้งที่ จ.เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน และ อ.แม่สอด จ.ตาก ต้องสับเปลี่ยนเที่ยวบินกันพัลวัน ลามมาถึงนักท่องเที่ยวที่ต้องยกเลิกเที่ยวบินตามไปด้วย

ทั้งนี้ พื้นที่ จ.เชียงราย ได้รับผลกระทบกับปัญหาหมอกควันอย่างหนัก เนื่องจากนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติต่างยกเลิกการเดินทางเข้า จ.เชียงราย ทำให้ธุรกิจท่องเที่ยว สินค้า และบริการ ขาดรายได้ไปมากกว่า 50% ไม่ต่างกับที่ จ.เชียงใหม่ ที่กำลังจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติ ก็ได้รับผลกระทบจากปัญหาหมอกควัน ทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาน้อยลง

ขณะที่สุขภาพของประชาชน สุรวิทย์คนสมบูรณ์ รมช.สาธารณสุข ระบุตัวเลขชัดๆ ว่า ถึงตอนนี้มีผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นถึง 5 เท่า แบ่งเป็นผู้ป่วยหอบหืดที่เพิ่มมากกว่า 1.4 หมื่นราย ผู้ป่วยเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจอีกกว่า 1.3 หมื่นคน และที่มีผลกระทบที่ตาและการมองเห็นราว 1,400 ราย

หันไปดูมาตรการที่รัฐบาลหวังพึ่งอย่างการทำฝนหลวง ก็ต้องอาศัยปัจจัยทางสภาพอากาศหลายอย่าง ทำให้ยังไม่เห็นผลเท่าที่ควรสุดท้ายก็ถึงเวลา ยิ่งลักษณ์ ต้องเล่นบทขึงขัง โดยเริ่มต้นจากการโพสต์เฟซบุ๊ก ว่าจะเอาผิดกับข้าราชการทุกคนที่ปล่อยปละละเลย และเล่นบทโหดกับผู้ว่าราชการจังหวัด (ผวจ.)ทุกจังหวัดให้ประเมินศักยภาพการแก้ปัญหาหมอกควันของตัวเองนับแต่นี้ หากไม่อยากหลุดเก้าอี้

เท่านั้นยังไม่พอยัง ส่ง 2 รัฐมนตรีคู่ใจอย่าง ปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ลงไปบัญชาการที่ จ.เชียงใหม่ เพื่อถกด่วน ผวจ.ทั้ง 9 จังหวัดด้วยตนเอง พร้อมกับย้ำอาญาสิทธิ์ของนายกฯ อีกครั้งว่า หากแก้ปัญหาไม่ได้ จะต้องพิจารณาตัวเอง

ทว่า จากคำสัมภาษณ์ของ ยิ่งลักษณ์ เอง ก็ยังคงวนเวียนอยู่กับการให้ทุกฝ่ายร่วมมือกันเพื่อแก้ปัญหาอย่างจริงจัง พร้อมให้ทุกหน่วยงานขึ้นตรงกับตัวเอง ซึ่งก็ไม่ได้มีสาระอะไรแตกต่างกับที่เคยให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนเลย

หากเอาภาพการแก้ปัญหาหมอกควันครั้งนี้มาวางซ้อนกับการแก้ปัญหาน้ำท่วม ก็จะพบว่ามาตรการแก้ปัญหาทั้งสองเหตุการณ์คือภาพเดียวกัน เริ่มตั้งแต่บอกว่ากำชับให้เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายไปดูแล ตั้งศูนย์เฉพาะกิจเพื่อแก้ไข ไปจนถึงท่าทีขึงขังของผู้นำประเทศ แต่ในที่สุดก็หนีไม่พ้นปัญหาที่ลุกลามออกไปเรื่อยๆ กระทบทั้งเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว ไปจนถึงสุขภาพของประชาชน หรืออาจเรียกได้เต็มปากเต็มคำว่า “ล้มเหลว”

หากจะอ้างว่าเป็นรัฐบาลมือใหม่ เหมือนตอนมหาอุทกภัยก็ไม่ได้แล้ว เพราะเวลาการเป็นรัฐบาลที่ผ่านมาร่วม 8 เดือน ย่อมมีขุมกำลังข้าราชการในสังกัด ส่วนคณะรัฐมนตรีก็เป็นชุดที่ 2 แล้ว จึงไม่สามารถอ้างว่าเป็นรัฐบาลมือใหม่ได้อีกต่อไป

คำถามสำคัญก็คือว่า รัฐบาลนี้ได้เรียนรู้ที่จะปรับปรุงประสิทธิภาพการจัดการภัยพิบัติหรือไม่ เพราะเพราะปัญหานี้ไม่ใช่ปัญหาใหม่ แต่เป็นปัญหาที่ต้องอาศัยการสังการ การจัดการ และลงมือทำอย่างเป็นระบบ ทั้งภายในรัฐบาลเอง และร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ก่อนหน้านี้พร่ำบอกและสั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมาตลอด 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา

เหลืออีกไม่กี่สัปดาห์จะเข้าสู่เทศกาลสงกรานต์ที่ จ.เชียงใหม่ และอีกหลายจังหวัดภาคเหนือ ที่ใช้เป็นจุดขายเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและเป็นตัวกระตุ้นให้เงินสะพัด หากยังไม่สามารถจัดการกับปัญหาหมอกควันได้ทันท่วงที รัฐบาลคงสูญเสียความเชื่อมั่นลงไปอีก

ขณะเดียวกันอีกไม่กี่เดือนก็จะเข้าสู่ฤดูน้ำหลาก หากปัญหาหมอกควันยังเอาไม่อยู่ รัฐบาลจะสร้างความมั่นใจได้อย่างไรว่าน้ำท่วมรอบนี้จะเอาอยู่

ฉะนั้น รัฐบาลต้องเร่งตัดไฟแต่ต้นลม หากยังมะงุมมะงาหรา ปัญหาหมอกควันจะลุกลาม ทำให้นาวารัฐบาลยิ่งลักษณ์ให้อับปางก่อนน้ำท่วมก็เป็นได้


สำนักงานบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : การเมือง หมอกควันภาคเหนือ ระวังเอาไม่อยู่ เหมือนน้ำท่วม

view