สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

ขยี้แผลโกหกสีขาว เขย่าเสถียรภาพปู

จาก โพสต์ทูเดย์

โดย...ธนพล บางยี่ขัน

“ผมในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ เขาอนุญาตให้ผมพูดไม่จริงได้ในบางเรื่อง หากเรื่องนั้นเป็นเรื่องที่ดี เหมือนภาษาอังกฤษที่เรียกว่า White lie ที่แปลว่า โกหกสีขาว”

กิตติรัตน์ ณ ระนอง โพล่งออกมากลางงานสัมมนาหัวข้อ “1 ปี ยิ่งลักษณ์กับอนาคตเศรษฐกิจไทย” เพื่อแก้ต่างที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยไม่สามารถผลักดันการส่งออกของไทยให้เป็น ไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 15% ได้ โดยให้เหตุผลว่า เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน

คำพูดของ กิตติรัตน์ นอกจากจะทำลายความน่าเชื่อถือของตัวเองในฐานะรองนายกฯ รมว.คลัง และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจแล้ว ยังส่งผลกระทบไปถึงความน่าเชื่อถือหรือเครดิตของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เบื้องหลังการ โกหกสีขาว ไม่ว่าจะเป็นการจำนนต่อหลักฐานหรือไม่อาจฝืนกระแสต่อไปได้ ทำให้รัฐบาลต้องปรับเป้าการส่งออกเหลือแค่ 9% สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ที่ประเมินว่าส่งออกจะโต 7.3% หรือตัวเลขของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งปรับลดจากเดิม 9% เหลือเพียงแค่ 7%

ตรรกะลักษณะนี้ทำให้รัฐบาลถูกรุมถล่มอย่างหนัก ทั้งจากภายนอกและภายใน!!!

แว่วว่าความผิดพลาดครั้งนี้ “ทิงก์แทงก์รัฐบาล” ระดับ “พันศักดิ์ วิญญรัตน์” และ “พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช” เห็นพ้องกันว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นรุนแรงและส่งผลเสียหายต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาล จนเกิดขบวนการเขย่าเก้าอี้ “กิตติรัตน์”

ตัดตอนความผิดไม่ให้ถูกขยายผลต่อไปถึงการแถลงผลงาน 1 ปีรัฐบาล หรือการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านที่กำลังจะเกิดขึ้น เพราะต้องยอมรับว่าประเด็นข้อมูลเศรษฐกิจเหล่านี้มีผลต่อความเชื่อมั่นของ นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ

ที่สำคัญ ประเด็นนี้ “กิตติรัตน์” ลากเอานายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข้ามาเกี่ยวข้องแบบไม่ตั้งใจ เมื่ออ้างคำอนุญาตให้สามารถ “โกหกสีขาว” แม้จะไม่ได้ระบุว่าใครเป็นคนส่งสัญญาณไฟเขียวดังกล่าว แต่แน่นอนว่าคงต้องเป็นคนระดับใหญ่กว่าระดับรองนายกฯ

ไม่แปลกที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ จะไม่เอาตัวมาแบกรับแรงเสียดทานในเรื่องนี้ด้วยตัวเอง พร้อมตัดตอนโยนกลับไปยัง “กิตติรัตน์” ด้วยการให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นนี้ “คำสั่งอะไรคะ ไม่มีหรอกค่ะ ใครจะสั่งได้คะ ตัวเลขนี้ก็เป็นตัวเลขจริงหมด”

แต่ประเด็นที่เสียหายหนักเวลานี้อยู่ที่ “ความน่าเชื่อถือ” ของรัฐบาลและของประเทศในทุกๆ ด้าน เมื่อเกิดคำถามตามมามากมายว่า มีข้อมูลอะไรบ้างในอดีต มีคำพูดอะไรในปัจจุบัน และรัฐบาลชุดนี้จะพูดอะไรในอนาคตอีกบ้าง ที่เข้าข่าย “โกหกสีขาว”

กระทรวงพาณิชย์ก่อนหน้านี้เคยชี้แจงตัวเลขการส่งออกเดือน มิ.ย. ติดลบ 2.5% ทั้งที่ต่อมามีการแก้ไขข้อมูลที่ถูกต้องเป็นติดลบ 4.2% ซึ่งทำให้ฉุกคิดขึ้นมาอีกครั้งว่า ผิดพลาดที่การคำนวณอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อเงินเหรียญสหรัฐจริงตามที่มี การกล่าวอ้าง หรือจะเป็นโกหกสีขาวหรือไม่

ย้อนไปไกลกว่านั้น ประเด็นที่เป็นวลีฮิตของนายกฯ คือ “เอาอยู่” ที่ยังก้องอยู่ในหูคนไทยมาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นเหมือนคำมั่นจากผู้นำประเทศว่า จะปกป้องพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมหลายแห่ง พื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ชั้นใน แม้แต่ที่ตั้งศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ว่าน้ำจะไม่ท่วม

แต่สุดท้ายก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าคำพูดดังกล่าวไม่ได้เป็นความจริง ส่วนจะสีดำ ขาว เทา นั้น คงเป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้ยาก

ทว่าผลจากคำพูดดังกล่าว ทำให้มูลค่าความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินสูงขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น เพราะหากประชาชนได้รับรู้ข้อเท็จจริง ก็จะสามารถประเมินสถานการณ์และเตรียมการรับมือได้อย่างถูกต้อง

ถัดมาเรื่อง พ.ร.ก.กู้เงิน 3.5 แสนล้านบาท เพื่อบริหารจัดการน้ำ ซึ่งเวลานั้นเลี่ยงการตรวจสอบในระบบสภา ไม่ออกเป็น พ.ร.บ. โดยอ้างเหตุผลเรื่องความเร่งด่วน แต่สุดท้ายปรากฏว่าจนจะครบปีแล้ว แต่กลับมีการเบิกจ่ายงบประมาณไปเพียงแค่ 700 ล้านบาทเท่านั้น

ยังไม่นับรวมกับอีกสารพัดนโยบายหรือเรื่องที่คนในรัฐบาลเคยรับปาก แต่เมื่อไม่สามารถทำได้อย่างที่ระบุ ก็จะออกอาการเบี่ยงประเด็นว่าเป็นแค่เรื่องนโยบายหาเสียง เช่น นโยบายค่าจ้าง 300 บาททั่วประเทศ ทันทีที่พรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล นโยบายกระชากค่าครองชีพของประชาชนลง

ทั้งหมดทั้งปวงยังไม่น่ากลัวเท่ากับข้อมูลของรัฐบาลต่อจากนี้เป็นต้นไป น้ำหนักความน่าเชื่อถือจะลดน้อยถอยลงไป เมื่อไม่มีหลักประกันใดๆ ว่าจะเป็น “โกหกสีขาว” อีกหรือไม่

จากนี้ต่อไป วลี โกหกสีขาว จะกลายเป็นบาดแผลทางการเมืองที่เรื้อรังและยากที่จะเยียวยา โดยเฉพาะ “กิตติรัตน์” และ “รัฐบาล” ต้องเผชิญหน้ากับการรุมถล่มจากฝ่ายตรงข้าม และกลายเป็นจุดอ่อนที่ง่ายต่อการ “ดิสเครดิตรัฐบาล” ซึ่งตลอด 1 ปีที่ผ่านมา ยิ่งลักษณ์ พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อปิดจุดอ่อนทุกด้านของรัฐบาลมาโดยตลอด

แต่เมื่อแผลถูกเปิดออกมาโดยคนในรัฐบาลเอง ประเด็นนี้จึงกลายเป็น “ตำบลกระสุนตก”

ประเดิมด้วยการขยับของ สว.กลุ่มหนึ่ง ได้ออกมาเรียกร้องให้ผู้ตรวจการแผ่นดินดำเนินการด้านจริยธรรมของผู้ดำรง ตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐ กับกิตติรัตน์ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 244 (2) และ 279 วรรค 3 เพราะการไม่ปฏิบัติตามจริยธรรมถือว่าเป็นการกระทำผิดทางวินัย โดยรายงานต่อรัฐสภาและคณะรัฐมนตรี หรือหากเป็นการกระทำผิดร้ายแรง ให้ส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการถอดถอนตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 270

ขณะที่ “ประชาธิปัตย์” เริ่มจากกระทู้ถามสด รุมถล่มความน่าเชื่อถือของทีมเศรษฐกิจและรัฐบาล ตั้งป้อมถล่มไปที่ประเด็นขัดต่อระเบียบสำนักนายกฯ ในจริยธรรม ข้อ 6 (7) ที่ข้าราชการการเมือง เจ้าหน้าที่ ต้องให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ไม่บิดเบือนต่อประชาชน และข้อที่ 15 ต้องให้ข้อมูลที่ไม่เกิดความเข้าใจผิดของตนเองและผู้รับ

ก่อนจะทยอยเปิดซีรีส์ “โกหกสีขาว” ซึ่งเวลานี้พรรคฝ่ายค้านรวบรวมได้แล้ว 19 เรื่อง พร้อมเก็บข้อมูลเพื่อเตรียมยื่นถอดถอนต่อไป

ยังไม่รวมกับเสียงสะท้อนจากฝั่งภาคเอกชน นักลงทุน ที่ออกมารุมถล่มรัฐบาล ที่กำลังพาเศรษฐกิจประเทศไปสู่จุดสุ่มเสี่ยง เมื่อ “ความน่าเชื่อถือ” ของรัฐบาลกำลังจะหมดไป


สำนักงานบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : ขยี้แผล โกหกสีขาว เขย่าเสถียรภาพปู

view