สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

นโยบายยัดคอห่าน

จาก โพสต์ทูเดย์

"ผมขอปฏิเสธว่าเราต้องเป็นกลาง เราไม่เคยเป็นกลาง แต่เราเป็นพันธมิตร ซึ่งเราต้องสร้างความสมดุล ที่มีต่อสหรัฐแต่ไม่ใช่เป็นเครื่องมือให้กับสหรัฐเพื่อถมน้ำลายรดจีน

โดย...ชัยรัตน์ พัชรไตรรัตน์        

ทุกฝ่ายกำลังจับจ้องต่อท่าทีของ "บารัก โอบามา" ประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งมีกำหนดการเยือนประเทศไทย ในวันที่ 18 พ.ย. ซึ่งเป็นประเทศแรก หลังจาก "โอบามา" ชนะการเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ สมัยที่ 2
         
คำถาม ว่า ไทยจะได้ประโยชน์อะไรกับการมาเยือนครั้งนี้ "กษิต ภิรมย์" สส.พรรคประชาธิปัตย์อดีต รมว.ต่างประเทศ และอดีตทูตกรุงวอชิงตัน ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษโพสต์ทูเดย์เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าไทยเป็นพันธมิตร สมบูรณ์แบบกับสหรัฐตลอดจนกระทั่งวันนี้
         
"ผม ขอปฏิเสธว่าเราต้องเป็นกลาง เราไม่เคยเป็นกลาง แต่เราเป็นพันธมิตร ซึ่งเราต้องสร้างความสมดุลที่มีต่อสหรัฐ แต่ไม่ใช่เป็นเครื่องมือให้กับสหรัฐเพื่อถ่มน้ำลายรดจีนหรือคบกับอินเดีย เพื่อร่วมกับสหรัฐเพื่อปู้ยี่ปู้ยำจีนเพราะเรื่องแบบนี้มันหลอกกันไม่ได้"
         
สำหรับ การที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติสนับสนุนเรื่องความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (TPP) และความร่วมมือด้านความมั่นคงเกี่ยวกับการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลาย ล้างสูง (PSI) กับสหรัฐ เพื่อรีบนำเรื่องดังกล่าวไปประกาศที่ประเทศกัมพูชาระหว่างการประชุมอาเซียน ซัมมิตที่มีสหรัฐร่วมอยู่ด้วยนั้นกษิตมองว่าเป็นความล้มเหลวของรัฐบาลที่รีบ เร่งเกินไป
         
"อย่างอู่ตะเภากับนาซา ทำไมมาพูดวินาทีสุดท้าย เมื่อจะเข้าครม. หรือดังนั้นถามว่าคุณยิ่งลักษณ์ รัฐมนตรี และข้าราชการที่เกี่ยวข้อง ช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ทำอะไรกับสหรัฐ ทำไมเรื่องดังกล่าวโผล่ขึ้นมาเหมือนดอกเห็ด"
         
กษิต บอกว่า หากเป็นรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะบอกก่อน 6 เดือน เพราะเราเล่นตามกติกาและบอกประชาชนตลอดเวลา และก็บอกต่อสภาไม่ปิดบัง และไปทำอะไรก็ขอมติ ครม. จากนั้นให้โฆษกหรือกระทรวงต่างประเทศรายงาน แตกต่างจากปัจจุบันไม่มีเลย ถือเป็นความล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดิน
         
"เปรียบ เหมือนการเลี้ยงห่าน เมื่อถึงเวลาก็มายัดอาหารใส่คอ และคิดว่าวันนี้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็ยัดอาหารใส่คอคนไทย โดยไม่บอกถึงที่มาที่ไป การปรึกษาหารือ และที่จะต้องไปผ่านมาตรา 190 ส่วนตัวคิดว่าไม่ใช่ประเด็น รัฐบาลควรให้สภาทราบเป็นระยะ ไม่ต้องขอความเห็นชอบ เพราะสภาจะทำหน้าที่เป็นเสียงสะท้อนถึงประชาชนลงไปที่รากหญ้า และอะไรที่เกี่ยวกับสหรัฐและจีน มันเป็นความอ่อนไหวในตัวมันเอง และอยู่ในความสนใจของคนไทยและทั่วโลก"
         
สำหรับเหตุผลที่ ประชาชนตั้งตัวไม่ทัน เพราะรัฐบาลทำงานไม่เข้าท่า มุบมิบปิดบัง จึงออกมาเป็นแบบนั้น แต่สิ่งที่ควรจะทำ คือ ทูตสหรัฐที่นี่กับผู้แทนจากรัฐบาลไทย หากออกมาแถลงเมื่อ3 เดือนก่อน ว่ากำลังเตรียมการกระชับสัมพันธ์ไทยสหรัฐ และท่าทีเกี่ยวกับอาเซียน รวมถึงประเทศลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่างเป็นอย่างไร เล่าให้ประชาชนฟังแล้วมาชี้แจงที่สภา เช่น กรรมาธิการ (กมธ.) การต่างประเทศ กมธ.กลาโหม หรือจะมาหารือกันในครม. เสร็จแล้วก็ให้โฆษกรัฐบาลเล่าให้ฟัง
         
"การ ที่คุณยิ่งลักษณ์ และสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ ไปวอชิงตันมา เพื่อกราบขอให้ ทักษิณ (ชินวัตร) เข้าประเทศ ถือว่าเพียงพอและเป็นความสำเร็จของรัฐบาลหรือ อีกประเด็นหนึ่งข้าราชการประจำสามารถเอาข้อมูลมาให้ประชาชนรับทราบได้ แต่รู้สึกว่ามีความหวาดกลัวอำนาจการเมือง ตั้งแต่ระดับปลัดกระทรวง ทบวงกรม จนเป็นใบ้ ไม่ออกมาเล่าให้ประชาชนฟังเพราะไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องที่ต้องรอการตัดสินใจ จากรัฐบาล หรือความลับขั้นสุดยอด จนกระทั่งประชาชนรับรู้ไม่ได้"
         
กษิต อธิบายว่า เมื่อยุคสงครามเย็นเริ่มขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ไทยได้ตัดสินใจเป็นพันธมิตรกับสหรัฐ ด้วยเหตุผล คือ 1.ไทยเป็นภาคีขององค์การสนธิสัญญาป้องกันภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (สปอ.หรือซีโต) อีกทั้งที่ได้ส่งทหารไปร่วมรบในสงครามเกาหลี และต่อต้านคอมมิวนิสต์ในเวียดนาม 2.ข้อตกลงความร่วมมือด้านการทหารความมั่นคง และข่าวกรอง และ 3.ข้อตกลงว่าด้วยสนธิสัญญาว่าด้วยไมตรีระหว่างไทย-สหรัฐ ในเรื่องเศรษฐกิจการค้าและเรื่องอื่นๆอีกมากมาย
         
"ดังนั้น ไม่ว่าฝนจะตก ฟ้าจะร้องอย่างไร ทุกปีเราก็ยังมีการซ้อมรบที่ใหญ่ที่สุดของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือเอเชีย-แปซิฟิก คือ คอบราโกลด์ แล้วสหรัฐให้ความช่วยเหลือเรา ตั้งแต่การสร้างถนนมิตรภาพพัฒนาเศรษฐกิจด้วยการให้เงินให้เปล่า เงินกู้ผ่อนปรน ด้านวิชาการกระทั่งการต่อต้านคอมมิวนิสต์ โดยตั้งหมู่บ้านป้องกันตนเอง ตลอดพื้นที่แนวชายแดนไทย โดยเฉพาะภาคตะวันออกทั้งหมด เพื่อป้องกันภัยจากคอมมิวนิสต์ เราต้องไม่ลืมตรงนี้"
         
อดีต รมว.ต่างประเทศ เชื่อว่าสหรัฐไม่ได้ต้องการเข้ามาแผ่อิทธิพลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียง ใต้ เพื่อส่งสัญญาณไปยังจีนเพราะสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐไม่ได้ไปไหน ยังเป็นป้อมปราการสำคัญ คือ 1.ต่อต้านการแพร่ขยายของลัทธิคอมมิวนิสต์และ 2.ช่วยจรรโลงสันติภาพ ความมั่นคง และความมั่งคั่งในภูมิภาค
         
ทั้งนี้ หากสหรัฐไม่อยู่ในพื้นที่เอเชีย-แปซิฟิก อาจมีปัญหากันจนมั่วกันไปหมด เมื่อสหรัฐเข้ามานั่งตรงนี้ ทำให้ทุกฝ่ายเกรงอกเกรงใจถ้ามองในแง่ของจีนก็ต้องการให้สหรัฐคงอยู่ เพื่อสร้างเสถียรภาพแต่จีนก็ไม่ต้องการให้สหรัฐล้อมรั้วหรือปิดประตูตีแมว และแน่นอนเมื่อสหรัฐเป็นพันธมิตรกับเกาหลีใต้ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ฟิลิปปินส์ ไทย สิงคโปร์ ก็ต้องค้ำจุนความอยู่รอดของไต้หวัน มันก็ขึ้นอยู่ที่ว่าจะค้ำจุนอย่างไรให้ประเทศเหล่านี้อยู่ได้ โดยไม่ถูกคุกคามจากจีน ที่ได้แพร่ขยายแสนยานุภาพทางด้านอาวุธ
         
"การ กลับมาเพิ่มกำลังของสหรัฐในมหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิก กับการเพิ่มแสนยานุภาพของจีนนั้น มันก็เป็นเรื่องของการให้ความมั่นใจซึ่งกันและกัน ระหว่างจีน-สหรัฐ เป็นเรื่องที่ทั้งสองฝ่ายพูดจากัน ไม่ใช่เรื่องที่เราต้องไปเดาและก็ต้องหลีกเลี่ยงที่จะรบกัน แต่เรื่องแสนยานุภาพก็จะยันกันไว้มันเป็นเรื่องของมุมมองแง่ความมั่นคงของ เขา สิ่งที่เราพูดกันได้ คือ การเพิ่มแสนยานุภาพของทั้งสองฝ่ายให้พูดจาอยู่ตลอดเวลา เพราะรู้กันว่าเวลารบกันไม่มีใครชนะ"
         
 
ข้อตกลงทางทหารความสัมพันธ์ชีวิตชีวา        

สำหรับข้อตกลงของกลาโหม ด้านความมั่นคงระหว่างสหรัฐกับไทยนั้น กษิต มองว่า ความสัมพันธ์มีชีวิตชีวา และวิวัฒนาการอันนี้มีอยู่ตลอดเวลา ซึ่งสามารถเพิ่มพูนความสัมพันธ์ได้ทุกด้าน ฉันใดก็ฉันนั้นกับอินเดีย จีน ก็เช่นกัน แต่การเพิ่มสัมพันธ์กับประเทศใดประเทศหนึ่ง ไม่ได้หมายความว่าจะต้องไปเผชิญหน้าหรือเป็นศัตรูกับอีก 2 ประเทศ เช่นเดียวกับการที่ไทยเคยซื้ออาวุธจีน แต่ไม่เคยฝึกรบกัน ทั้งที่เป็นพันธมิตรกับสหรัฐ ก็ได้มีการฝึกรบร่วมกับจีน
         
ขณะ เดียวกันไทยก็สามารถพูดกับจีนและสหรัฐได้ว่า คุณขายอาวุธให้กับเวียดนาม ลาว เขมร พม่ามาเลเซีย ก็บอกไทยหน่อย ไม่ใช่ไปเสริมแสนยานุภาพที่มีนัยคุกคามความมั่นคงต่อไทย และเมื่อเป็นพันธมิตรร่วมรักร่วมรบกันมาแล้ว การซื้อขายหรือให้อะไร ไทยก็ต้องมากกว่าคนอื่นหน่อยจึงจะสมเหตุสมผลในเรื่องภาวะจิตใจซึ่งเป็นสิ่ง ที่พูดได้
         
สำหรับความร่วมมือด้านความมั่นคงเกี่ยวกับการ แพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง หรือพีเอสไอนั้น กษิต มองว่า ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรต่อไทยเพราะเป็นการป้องกันการแพร่ขยายชิ้นส่วนที่จะไป ใช้ผลิตอาวุธร้ายแรง อาทิ นิวเคลียร์ หรืออะไรต่างๆสหรัฐก็อยากให้ไทยเข้าร่วมในฐานะชาติพันธมิตรแต่ก็เกิดความ ลังเลในหน่วยงานของไทย โดยเฉพาะการอ้างเรื่องละเมิดอธิปไตยซึ่งเป็นการที่พูดกว้างมาก
         
ทั้ง นี้ เพราะการร่วมมือกันอาจมีบ้างที่ต้องสูญเสียเรื่องดังกล่าวดังนั้นต้องถามตัว เองก่อนว่า เมื่อไทยประกาศไม่เอาอาวุธนิวเคลียร์ และได้ลงนามตามอนุสนธิสัญญาสหประชาชาติในฐานะประเทศสมาชิกอาเซียนที่ประกาศ ให้ประเทศตะวันออกเฉียงใต้ปราศจากนิวเคลียร์ ตรรกะนี้ก็สามารถร่วมได้ในหลักการ แต่ต้องมาดูรายละเอียด เงื่อนไขความร่วมมือ มากกว่าบอกว่าละเมิดอธิปไตย เพราะไม่ได้ใช้เหตุและผล เป็นการพูดปฏิเสธ แต่สมควรออกมาจากปากรัฐบาล และต้องไปถกกันที่สภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน

สารภาพล่าแม้วไม่จนมุม

กษิตได้บอกเหตุผลสมัยดำรงตำแหน่งรมว.ต่างประเทศ ที่ไม่สามารถนำตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับมาลงโทษได้ โดยยอมรับว่าการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกยึดอำนาจก็มีความยากลำบากในการโน้มน้าวมิตรประเทศให้ส่งตัวมา เพราะเกรงว่าเราต้องการตัว พ.ต.ท.ทักษิณมาดำเนินคดีอาญาไม่เกี่ยวกับเรื่องการเมือง
         
"ทุก ประเทศบอกกลัวว่าขืนส่งมาเดี๋ยวจะมีประชาชนของเขาบางคนบอกว่า ทักษิณถูกปฏิวัติมา ถึงแม้มีคดีอาญา หมายความว่าในตัวทักษิณมี 2 บุคลิก คือลี้ภัยทางการเมืองกับหนีคดีเราก็เลยไม่ได้รับความร่วมมือ ซึ่งได้อ่านจากหลายๆ ประเทศ เขาไม่ต้องการที่จะมายุ่ง เพราะถ้าส่งกลับมาแล้วอาจถูกกล่าวหาได้ว่าทำไมถึงส่งคนลี้ภัยทางการเมือง"
        
 ทั้ง นี้ เพราะเป็นหลักสากลว่าอะไรที่ลี้ภัยทางการเมืองจะไม่มีการส่งกลับประเทศ เกรงว่าจะไม่ได้รับความยุติธรรม จึงเป็นความยากลำบากตอนที่เป็นรัฐบาลอยู่
         
อย่าง ไรก็ตาม ตลอดเวลาที่ผ่านมาได้พยายามชี้แจงว่าคดีทั้งหมดไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องการ เมือง เพราะทักษิณได้กลับเข้ามาช่วงรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และถูกตัดสินแพ้คดีก็หนีออกไป และจะให้ต่างประเทศมาเข้าใจเป็นเรื่องยาก ที่สำคัญความคึกคักของเอกอัครราชทูตของไทย เพราะเหยียบเรือสองแคม ซึ่งไม่อยากวิพากษ์วิจารณ์อะไรมาก เนื่องจากอดีตก็เป็นข้าราชการกระทรวงต่างประเทศ
         
นอกจากนี้ อินเตอร์โพลหรือตำรวจสากลเป็นเรื่องของตำรวจสันติบาลหรือสำนักงานตำรวจแห่ง ชาติ 100% คิดหรือว่า ช่วงที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นรัฐบาล เขาจะวิ่งเหมือนได้โอลิมปิก เขาก็ค่อยๆ เดินไป อันนี้ต้องถามตำรวจ และก็คงเห็นความสัมพันธ์ระหว่างเรากับตำรวจ มันก็เป็นจุดอ่อนของการบริหารราชการ
         
กษิต มองอีกว่า หลักกฎหมายไม่ใช่ว่าใช้ไม่ได้เลยกับบ้านเมืองนี้ แต่เพราะผู้มีอำนาจไม่ยอมใช้ และข้าราชการประจำหน่วยงานยุติธรรมไม่ทำงานให้เต็มที่ การเมืองเข้าไปบ่อนทำลายข้าราชการประจำไม่มีศักดิ์ศรี ไม่กล้าหาญเพียงพอ ยืนอยู่บนหลักความถูกต้อง ทำงานเพื่อประชาชน ณ วันนี้ ข้าราชการศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ ข้าราชการมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น อ้างว่าเพื่อความอยู่รอดเพราะการเมืองเข้ามาเป็นอย่างนั้น      

กลับมาที่หนังสือเดินทางมันไม่ใช่นโยบายแต่เป็นกฎเกณฑ์การออกหนังสือเดิน ทางที่ไม่ออกให้กับผู้ที่หนีกระบวนการยุติธรรมไปอยู่ต่างประเทศ และ 1.หน้าที่คือต้องเอากลับมา และขอความร่วมมือจากต่างประเทศ และองค์การระหว่างประเทศ 2.เมื่อได้ตัวมาต้องออกเอกสารเพื่อเดินทางขาเดียวกลับประเทศไทยใช้แทน หนังสือเดินทางได้ แต่การไปออกหนังสือเดินทางให้เป็นเรื่องผิดกฎเกณฑ์จรรยาบรรณ
         
แม้ รมว.ต่างประเทศ จะบอกว่าพิจารณาคืนพาสปอร์ตให้ เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้ทำความเสียหายต่อประเทศ แต่ส่วนตัวความน่าเชื่อถือของ รมว.ต่างประเทศ ค่อนข้างมีปัญหา ไม่อยากวิจารณ์คำพูดข้างๆ คูๆ และพูดอะไรที่ไม่มีความถูกต้อง
         
"เมื่อปวารณาตัวเป็นขี้ข้า ให้พ.ต.ท.ทักษิณขายได้กระทั่งวิญญาณตัว ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และบุคคลนี้กาลครั้งหนึ่งก็เคยด่าทักษิณแล้วมาอีกอย่างหนึ่ง ก็ขึ้นอยู่แต่บุญบาปของแต่ละคน จะมาหลอกประชาชนลำบากเรื่องนี้และเป็นเรื่องน่าเศร้าของสังคมการเมืองไทยที่ มีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมากมาย ทั้งจริยธรรม ศีลธรรมไม่มีแล้ว"
         
ทั้ง นี้ หากถามว่ามุมมองส่วนตัวคิดว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะได้กลับประเทศหรือไม่ แม้จะรู้จักพ.ต.ท.ทักษิณ และชื่นชมเคยทำงานร่วมกันมาและถือว่าตัวเองเป็นสหายคนแรกๆ ในทางการเมือง แต่ต้องมอง 2 อย่าง ตอนแรก พ.ต.ท.ทักษิณ มีอำนาจล้นฟ้าก็มีประชาชนออกมาประท้วง ทหารก็เข้ามาล้มกระดาน 1 ปี เริ่มกันใหม่
         
ช่วงที่ 2 พ.ต.ท.ทักษิณ หนีคดี แล้วยังเป็นคอนดักเตอร์ความเคลื่อนไหวในการเมืองไทยเมื่อทำมา5 ปี รวมทั้งการเผาบ้านเผาเมือง สูญเสียชีวิต มีการฆ่ากัน และพยายามโยนบาปให้อภิสิทธิ์ สุเทพ เทือกสุบรรณ และคิดไปฟ้องศาลอาญาระหว่างประเทศ ก็เป็นความเพียรพยายามอย่างไม่ลดละที่จะกวาดล้างกระดานทางการเมืองเพื่อให้ ตัวเองกลับมาสู่อำนาจอีกซึ่งทำมา 5 ปี ไม่สำเร็จ
         
"แม้ชนะเลือกตั้งด้วยการหลอกนโยบายประชานิยมทั้ง 3 รัฐบาล ตั้งแต่รัฐบาลสมัครรัฐบาลสมชาย รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ
         
ส่วน ช่วงที่ 3 ก็ต้องดูจะออกดำหรือแดง ในแง่ของพลังขณะนี้อาจดูดี เพราะเขาสั่งกระบวนการยุติธรรมให้หันซ้าย หันขวาได้ และอีกหลายๆ หน่วย รวบอำนาจในสภา อำนาจบริหาร เรียบร้อยแล้ว ควบคุมสื่อเข้าไป70-80% และกำลังไปที่ศาลซึ่งได้มาครึ่งหนึ่งแล้ว แต่ขณะเดียวกันการต่อต้านมวลชนก็มีจำนวนมากไปกว่าพันธมิตรและเสื้อเหลือง แล้วส่วนประชาธิปัตย์ก็ยังอยู่ได้แม้จะถูกเตะเป็นกระสอบทรายทุกวัน" กษิต ประเมินสถานการณ์ล่าสุดถึงทักษิณ


สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : นโยบายยัดคอห่าน

view