สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

มาร์ค ลั่นสู้คดีถึงที่สุด ยอมแม้ถูกประหาร ไม่หนีไปต่างประเทศ

มาร์ค" ลั่นสู้คดีถึงที่สุด ยอมแม้ถูกประหาร ไม่หนีไปต่างประเทศ

จากประชาชาติธุรกิจ

เมื่อเวลา 12.45 น. วันที่ 13 ธันวาคม ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี อดีตผอ.ศูนย์อำนวยการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ได้ลงมาจากห้องทำงานชั้น 2 เพื่อพบปะกับกลุ่มผู้สนันสนุน โดยนายอภิสิทธิ์ ได้กล่าวขอบคุณประชาชนที่มาให้กำลังใจ  ว่า ในคดีของตนและนายสุเทพเชื่อว่าทุกคน ทราบดีอยู่แล้วว่าข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์การการชุมนุมในปี 2552-2553 ยืนยันว่าตนและนายสุเทพไม่เคยทำอะไรในการปฏิบัติหน้าที่ ที่มีเป้าหมายในการทำร้ายประชาชน แต่ความเป็นนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีที่ดูแลฝ่ายความมั่นคง เมื่อมีการกระทำที่ผิดกฎหมายของประชาชน โดยที่ศาลชี้ว่ามีการชุมนุมไม่ถูกต้องตามกฎหมายและปรากฎข้อเท็จจริงว่ามีการ นำเอาผู้ที่ติดอาวุธ มาก่อเหตุความวุ่นวายในบ้านเมือง จึงเป็นหน้าที่ของตนและนายสุเทพ ที่จะทำอย่างไรให้บ้านเมืองกลับสู่สภาวะปกติ ซึ่งเราได้ดำเนินการตามหน้าที่โดยการมอบหมายนโยบายอย่างชัดเจน ว่าการปฎิบัติการของเจ้าหน้าที่ จะต้องหลีกเลี่ยงความสุ่มเสียงต่อการสูญเสียของพี่น้องประชาชน ซึ่งเชื่อว่า คนที่ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด หรือคนที่ติดตามประวัติศาสตร์ทางการเมือง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทราบดีว่าการทำงานของพวกเราในขณะนั้น ใช้ความอดทนอดกลั้น เคารพในสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนอย่างไร แต่วันนี้ผู้มีอำนาจก็ตั้งธงมาแล้ว จะปฎิเสธอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้น เพราะคำให้สัมภาษณ์ตั้งแต่รองนายกรัฐมนตรี แกนนำเสื้อแดง หรือใครต่อใคร พูดมาตั้งแต่ต้นปี ว่าจะดำเนินการกล่าวหาตนกับนายสุเทพ ซึ่งตนและนายสุเทพยังเคารพในกระบวนการยุติธรรมของไทย ตนเรียกร้องมาตลอดว่าทุกคนต้องเคารพกระบวนการยุติธรรมของไทย ผู้ที่มีอำนาจหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม ก็ต้องทำหน้าที่ของตนเอง แต่ถ้าทำผิดกฎหมายก็ต้องรับผิดชอบ

"ผมกับ คุณสุเทพ จะต่อสู้ภายใต้กรอบของกฎหมาย ไม่คิดต่อสู้ด้วยวิธีอื่น และได้ยืนยันไปแล้ว ว่าเราจะเคารพกระบวนการยุติธรรม ดังนั้นไม่ต้องกังวลว่าผมหรือคุณสุเทพจะหลบหนีไปที่ไหน ผมไม่ใช่คนขี้ขลาด ขีโกง ที่จะไปอยู่เมืองนอก อาจจะมีบ้างที่ขี้เหนียว แต่ไม่ขี้ขลาดและขี้โกง จะไม่ยอมให้มีการนำเรื่องนี้มาต่อรองผลประโยชน์ใดทางการเมือง และโทษนี้ ไม่หนักหนาสาหัส เพราะโทษสูงสุดก็แค่ประหารชีวิต และถ้าศาลตัดสินว่าพวกผมผิดถึงขั้นตัดสินให้ประหารชีวิต พวกผมก็ยินดี เพราะผมต้องการรักษากฎหมายไทย หากถูกประหารชีวิต ผมก็ขอให้คนที่ต้องติดคุกกลับมาเสียดีดี บ้านเมืองจะได้เดินไปข้างหน้าได้ และผมอยู่ที่นี่ต่อสู้คดี และมั่นใจในความบริสุทธิ์ ของผมและคุณสุเทพ " นายอภิสิทธิ์ กล่าว

นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้ดีเอสไอทำอะไรหลบๆซ่อนๆ ตนทราบว่านอกจากไปรับข้อกล่าวหาในคดีชุมนุมแล้ว ดีเอสไอจะแจ้งอีก 1 ข้อหา เกี่ยวกับตนบริจาคน้ำท่วมผ่านพรรคประชาธิปัตย์ แต่ยังไม่ทราบรายละเอียดโดยตน ได้โทรศัพท์ไปตามกับดีเอสไอแล้ว ว่ามีกี่ข้อกล่าวหาให้แจ้งมาพร้อมกันเลย  ซึ่งตนได้ขอให้ส่งเอกสารมาก่อน แต่ทางดีเอสไอ กลับอ้างว่าจะยื่นให้กับมือตนเมื่อไปถึงดีเอสไอ ถ้าหากยื่นให้ตนจริง ตนก็จะให้การเลย  ดีเอสไออย่าหนีไปไหน เพราะตนไม่อยากเดินทางไปหลายรอบ   ขอให้ประชาชนมั่นใจในบ้านเมืองเรา เพราะเชื่อว่าความถูกต้องจะต้องชนะในที่สุด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่นายอภิสิทธิ์ กล่าวกับผู้สนับสนุนนั้นมีเสียงปรบมือให้กำลังใจเป็นระยะๆ และมีผู้ตะโกนว่าไม่ยอม ในช่วงที่นายอภิสิทธิ์ ระบุว่าจะยอมรับแม้หากถูกตัดสินประหารชีวิต ทั้งนี้หลังจากที่นายอภิสิทธิ์ กล่าวกับผูู้ชุมนุมเสร็จ ได้เดินไปรับดอกไม้จากผู้สนับสนุนพร้อมนายสุเทพ ก่อนขึ้นรถคันเดียวกันพร้อมทีมทนายความไปที่ดีเอสไอ นอกจากนั้นยังมีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรค ร่วมเดินทางไปให้กำลังใจด้วย


"อภิสิทธิ์-สุเทพ" ปฏิเสธตลอดข้อหา ไม่ลงลายมือชื่อในสำนวนสอบสวน ปัด 4 เงื่อนไขดีเอสไอ

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

วัน ที่ 13 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ เปิดเผยถึงการเตรียมความพร้อมแจ้งข้อหาร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดย เจตนาเล็งเห็นผล กับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ว่าจากการข่าวล่าสุดยังประเมินว่าจะมีกลุ่มผู้ชุมนุมทั้ง 2 ฝ่ายเดินทางมาที่ดีเอสไอ แต่เชื่อว่าแกนนำทั้ง 2 ฝ่ายจะควบคุมดูแลผู้ชุมนุมของตนเองโดยไม่มีเหตุการณ์กระทบกระทั่ง อีกทั้งมีเจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองบัญชาการตำรวจนครบาลส่งเจ้าหน้าที่จำนวนมาก มาประจำการดูแล

 

ต่อมาเวลา 13.25 น. นายอภิสิทธิ์ กับนายสุเทพ เดินทางมายังดีเอสไอ พร้อมทีมกฎหมายเเละ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เช่น นายชวน หลีกภัย นายถาวร เสนเนียม นางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู เเละ นายศิริโชค โสภา โดยมี นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ลงมารอรับนายอภิสิทธิ์เเละนายสุเทพด้วยตัวเอง ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ไม่ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน โดยรีบเดินขึ้นอาคารดีเอสไอ ท่ามกลางการดูเเลความปลอดภัยของตำรวจ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ส่วนขั้นตอนการรับทราบข้อกล่าวหานายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ เริ่มต้นโดย พ.ต.ท.ยุทธนา แพรดำ พนักงานสอบสวนอ่านละเอียดการแจ้งข้อกล่าวหา ว่ากระทำผิดกฎหมายอาญา มาตรา 59, 83, 84 และ 288 จากนั้นแจ้งรายละเอียดพฤติการณ์ที่ถูกกล่าวหา จำนวน 10 หน้า ระหว่างนี้พนักงานสอบสวนจะแจ้งสิทธิ์ที่ผู้ถูกกล่าวหาจะได้รับ จากนั้นเจ้าหน้าที่จะพิมพ์ประวัติ พร้อมพิมพ์ลายนิ้วมือและสอบปากคำเบื้องต้น

 

รายงานข่าวแจ้งว่า ทีมทนายความทั้งสองคนได้ขอคัดสำเนาคำสั่งแต่งตั้งพนักงานสอบสวนทั้งหมด

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าช่วงที่นายอภิสิทธิ์เเละคณะ มาถึงดีเอสไอนั้น กลุ่ม นปช.นำโดย นางพะเยาว์ อัคฮาด มารดา น.ส.กมลเกด อัคฮาด ได้โห่ร้องเเละชูภาพประชาชนที่เสียชีวิตช่วง ศอฉ.กระชับพื้นที่ เเละได้ตะโกนด่า สาปเเช่งเเละเปิดเพลงพญาโศก ที่ใช้ในงานศพใส่นายอภิสิทธิ์และคณะ

นายถาวร เสนเนียม ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์หลังร่วมฟังการสอบปากคำนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ว่า เบื้องต้นทั้ง 2 คนให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และไม่ยอมลงลายมือชื่อในสำนวนการสอบสวนเพราะถือว่าไม่ได้กระทำความผิด

นาย ถาวรระบุว่า ตนตั้งข้อสังเกตว่า หากมีการตั้งข้อกล่าวหาดังกล่าวในขณะที่ นายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ต้องมีการส่งเรื่องไปยัง ป.ป.ช. แต่คดีนี้ไม่มีการส่งเรื่องไปยัง ป.ป.ช. ดังนั้น ขั้นตอนจึงจบในชั้นพนักงานสอบสวนดีเอสไอ ตนถือว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการทำผิดกฎหมาย ใช้อำนาจโดยมิชอบ เพราะขณะนั้น นายอภิสิทธิ์ ในฐานะนายกฯ มีเหตุการณ์วุ่นวายในบ้านเมือง มีกลุ่มก่อการร้ายเผาบ้านเผาเมือง รัฐบาลจำเป็นต้องออก พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อควบคุมเหตุการณ์ และเมื่อมีกลุ่มชายชุดดำทำร้ายเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ต้องป้องกันตัว จึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.68 ส่วนจะฟ้องกลับทางดีเอสไอหรือไม่นั้น อยู่ระหว่างการพิจารณา แต่เชื่อว่า ใครทำอะไรไว้ เวรกรรมมีจริง

"ทั้งสองให้การปฎิเสธข้อกล่าวหา พร้อมปฏิเสธที่จะลงลายมือชื่อในข้อกำหนดเงื่อนไข 4 ข้อ ที่พนักงานสอบสวนระบุไว้หากได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวว่าการเดินทางออกนอก ประเทศต้องได้รับความเห็นของพนักงานสอบสวนก่อน และต้องไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพยานหลักฐาน รวมถึงไม่เป็นอุปสรรคต่อการสืบสวนสอบสวนคดี รวมถึงไม่กระทำการใด ๆ ที่ก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรง แต่นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพยืนยันว่าจะปฎิบัติตนตามหน้าที่พลเมืองที่ดี ไม่หลบหนีคดี ส่วนจะมีการฟ้องร้องพนักงานสอบสวนที่ดำเนินคดีนี้กลับหรือไม่ ต้องพิจารณาในรายละเอียดของพนักงานสอบสวนอีกที"นายถาวรกล่าว

ส่วนนาย กรณ์ จาติกวนิช อดีต รมว.คลัง โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ระบุว่า นายอภิสิทธิ์เปิดเผยว่า "ผมจะต่อสู้ภายใต้กรอบกฎหมาย ผมไม่ใช่คนขี้ขลาด ไม่ใช่คนขี้โกง ผมมั่นใจในความบริสุทธิ์ของผม"

 

ที่มา : มติชนออนไลน์


“ถวิล” ลั่น ศอฉ.ผิด คกก.พร้อมติดคุก ชี้มั่วข้อมูลส่งผลต่ออนาคต ขอ “ธาริต” หยุดเป็นหมาก

จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์

อดีตเลขาฯ สมช.รับไม่สบายใจ “มาร์ค-สุเทพ” โดนดีเอสไอยัดข้อหาฆ่าแดง เหตุมีส่วนรับผิดชอบใน ศอฉ.เช่นกัน เชื่อผิดจริง คกก.ศอฉ.รวมไปถึง “ธาริต” ร่วมรับผิดชอบ ชี้บิดเบือนข้อมูล ปชช.ทำบรรทัดฐานคดีเพี้ยนส่งผลต่ออนาคต ย้อนชุมนุมรุนแรงไม่ควรปกป้อง ปราบอยู่ในกรอบไม่ควรติดคุก อย่าดึงเรื่องรองมาเป็นหลัก รู้ “ธาริต” เข้าใจประสงค์ ศอฉ.ถึงตั้งข้อหาแค่เล็งเห็นผล ยันไร้คำสั่งสลายชุมนุม ทหารตอบโต้เพราะโดนป่วน ยกเหตุวิสามัญขอดูที่เจตนา เพื่อกำลังใจ จนท.ปฏิบัติหน้าที่ ย้ำไม่ควรมีใครติดคุก เตือน “ธาริต” ลาออก หน.ทีมสอบ 98 ศพ เชื่อเป็นหมากอำมหิตทำเสียคน

         คลิกที่นี่ แถลงการณ์ โดย "นายถวิล เปลี่ยนศรี"  
       
       วันนี้ (13 ธ.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายถวิล เปลี่ยนศรี ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ ในฐานะอดีตเลขานุการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) แถลงถึงกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แจ้งข้อกล่าวหาต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผอ.ศอฉ. ว่าร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผลว่า ตนไม่สบายใจที่มีการตั้งข้อกล่าวหา ไม่ใช่เพราะตั้งข้อกล่าวหานายอภิสิทธิ์กับนายสุเทพ แต่เป็นเพราะการตั้งข้อหาที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของ ศอฉ.ซึ่งตนมีส่วนในอดีต จึงออกมาพูดในฐานะเจ้าหน้าที่รัฐที่เคยเป็นคณะกรรมการ เช่นเดียวกับนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ และหัวหน้าส่วนราชการหน่วยอื่นๆ เพราะเมื่อตนเป็นเจ้าหน้าที่รัฐใน ศอฉ. ก็ไม่สบายใจว่าเจ้าหน้าที่ทำงานมีอำนาจหน้าที่ทางกฎหมาย ก็ต้องมีความรับผิดชอบ ฉะนั้นถ้าการดำเนินการอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับ ศอฉ.จะนำไปสู่การรับผิดชอบทางกฎหมาย ตนคิดว่าไม่มีกรรมการ ศอฉ.คนใดที่จะปฏิเสธ แม้แต่นายธาริตก็ตาม อยากบอกว่าปกติตนเป็นคนขี้ขลาดและขี้กลัวมาก แต่ถึงจะกลัวหรือขี้ขลาดก็ไม่เกินความรับผิดชอบที่เรามีอยู่ ตนปรึกษาแม่ ครอบครัวทั้งภรรยาและลูกสาวกรณีที่ตนจะต้องไปติดคุกกรณีอย่างนี้ ตนก็พร้อม และทุกคนไม่ต้องเสียใจ ถ้าให้คนสั่งการรับผิดชอบอย่างเดียวตนมองว่าไม่ยุติธรรม เพราะมันอยู่ในการแก้ไขปัญหาบ้านเมืองร่วมกัน ความจริงมันมีการรับผิดชอบเป็นขั้นตอนอยู่
       
       นายถวิลกล่าวว่า หากสาธารณชนได้ข้อมูลไม่ครบถ้วน หรือได้บางส่วนจะนำไปสู่การตัดสินใจของสาธารณชนที่เบี่ยงเบนออกไป และอาจสร้างบรรทัดฐานหรือรูปแบบผิดเพี้ยนจากความเป็นจริง จะก่อให้เกิดอันตรายต่อชาติบ้านเมืองสืบเนื่องไปชั่วลูกชั่วหลาน ทั้งนี้ เหตุการณ์สลายการชุมชุมเม.ย.-พ.ค. 53 เราต้องตั้งหลักในตรงกัน ถ้าการชุมนุมใช้สิทธิด้วยความรุนแรง ละเมิดกฎหมาย รัฐไม่ว่าในขณะใดขณะหนึ่งก็ตาม ไม่ควรส่งสัญญาณทั้งทางตรงและทางอ้อมที่ผิดว่าการชุมนุมควรได้รับการปกป้อง และไม่ควรส่งสัญญาณว่าการปฏิบัติหน้าที่นั้นบั่นทอนขวัญกำลังใจ ต้องพิจารณาดูว่ารัฐได้ทำอย่างนั้นหรือไม่ ถ้าทำอย่างนั้นก็จบ กรณีนี้โดยหลักแล้วไม่ควรมีใครต้องติดคุก เพราะเข้าไปรับระงับเหตุที่จะมีอันตรายต่อชาติบ้านเมือง ขอให้ตั้งหลักว่าเรื่องอะไรเป็นเรื่องหลัก อะไรเป็นเรื่องรอง ตนเห็นว่าขณะนี้เอาเรื่องรองมาเป็นหลัก ทำให้เกิดความเข้าใจไขว้เขว
       
       นายถวิลกล่าวต่อว่า การตั้งข้อหาต่อนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ว่าร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล ต้องขอบคุณที่ดีเอสไอไม่ตั้งข้อกล่าวว่าเจตนาโดยประสงค์ต่อผล นายธาริตในฐานะ ศอฉ.ตระหนักดีว่าทุกคนใน ศอฉ.ไม่มีผู้ใดประสงค์ต่อผลที่จะให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายเกิดขึ้น ขอบคุณที่ตั้งข้อหาตรง ไม่บิดเบือน เพราะ ศอฉ.เล็งเห็นผลข้อเท็จจริงสถานการณ์ว่าอาจนำไปสู่การเสียชีวิตหรือเหตุ รุนแรง ก็ต้องพยายามป้องกันเหตุ ยืนยันได้ว่า ศอฉ.ไม่มีคำสั่งสลายการชุมนุม แต่ให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารตั้งด่านที่สี่แยกราชประสงค์ เป็นด่านที่อยู่กับที่ห้ามเคลื่อนที่เข้าไปพื้นที่ชุมนุม มีการตัดสิ่งอำนวยความสะดวก น้ำ ไฟ โทรศัพท์ เพื่อให้การชุมนุมฝ่อลงและเลิกไปเอง แม้จะรอบคอบก็มีเหตุทำให้มีผู้เสียชีวิต แต่การตายไม่ได้เกิดจากเจ้าหน้าที่ลุแก่อำนาจ บุกลุยเข้าที่ชุมนุม แต่เป็นผู้ชุมนุมเข้ามาก่อกวนและขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ และโจมตีเจ้าหน้าที่
       
       อดีตเลขานุการ ศอฉ.กล่าวว่า การเล็งเห็นผลของ ศอฉ.จึงได้มีการกำชับให้มีความระมัดระวังตลอดเวลา ยกตัวอย่างกรณีที่ตำรวจวิสามัญฆาตกรรม ตำรวจถูกตั้งข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนา แต่ทำไปเพื่อจับโจรผู้ร้าย ช่วยผู้บริสุทธิ์ อันนี้ก็เช่นเดียวกัน เพราะการชุมนุมเต็มไปด้วยความรุนแรง เมื่อตั้งข้อกล่าวหาว่าเจตนาฆ่าคนโดยเล็งเห็นผล ต้องพูดให้จบว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย เรื่องนี้นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ ไม่ควรจะติดคุก ใครก็ไม่ควรติดคุก ส่วนเจ้าหน้าที่เมื่อออกไปทำงานเพื่อความสงบเรียบร้อย ถ้าออกไปทำงานแล้ว 80-90 เปอร์เซ็นต์ต้องติดคุกแล้วใครจะทำงาน การส่งสัญญาณผิดๆ แบบนี้ ถ้าเกิดขึ้นในยุคนี้มันจบก็ไม่ว่าอะไร
       
       อดีตเลขานุการ ศอฉ.ระบุว่า ตนอยากฝากไปถึงนายธาริตซึ่งมีความสนิทสนมกันมาก ตอนอยู่ใน ศอฉ.นั่งทำงานข้างกัน ช่วงการทำงานนอก ศอฉ.คับข้องใจในการทำงานหรือมีปัญหาก็ปรึกษาตน เช่นเดียวกันตนที่ซักถามข้อกฎหมายท่าน มาถึงเวลานี้ตนยังมั่นใจความแป็นมืออาชีพของท่าน ไม่คลางแคลง แต่ตนเป็นห่วงนายธาริตเพราะคำสั่งที่ตั้งให้นายธาริตเป็นหัวหน้าพนักงานสอบ สวนในคดีการเสียชีวิต 98 ศพ เป็นคำสั่งที่แปลกประหลาดที่สุดในโลก และทำให้ตนนึกถึงเจตนารมณ์และเบื้องหลังของการสั่งการแต่งตั้งครั้งนี้ว่า เป็นความปรารถนาดีต่อนายธาริตหรือไม่ เนื่องจากนายธาริตเป็นกรรมการอยู่ใน ศอฉ. หากทำคดีนี้ในทางที่เอนเอียงและเป็นประโยชน์ต่อ ศอฉ. ทุกคนก็จะมองว่านายธาริตเข้าข้างเจ้านายเก่าก็จะถูกค่อนแคะ ในทางกลับกัน หากนายธาริตทำงานเข้าข้างฝ่ายรัฐบาลในปัจจุบันก็อาจจะถูกโจมตีว่าเปลี่ยนสี เปลี่ยวขั้ว ฉะนั้นซ้ายหรือขวานายธาริตไม่มีออกกลาง เสียทั้งสิ้น
       
       “เมื่อเป็นเช่นนี้ หมากที่ตั้งนายธาริตมาเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนจึงเป็นหมากเหี้ยม หมากอำมหิต และหมากทารุณ ฉะนั้น นายธาริตจะเสียผู้เสียคนตรงนี้ และในฐานะที่ผมมีความคุ้นเคยกับนายธาริตเป็นอย่างดี จึงเห็นว่าควรจะลาออกจากการเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน คนที่ตั้งนายธาริตเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนเอง ผมก็คิดว่าไม่มีความเมตตาต่อท่านเท่าไหร่ เพราะนายธาริตอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่ว่าจะไปทางไหนก็ถูกด่าทั้งสิ้น จะมาเสียผู้เสียคนเพราะเหตุนี้ และเหตุใดไม่ตั้งคนอื่นมา” นายถวิลกล่าว
       
       ผู้สื่อข่าวถามว่า หากนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพติดคุก นายธาริตจะต้องติดคุกด้วยหรือไม่ เพราะเป็นกรรมการ ศอฉ.เหมือนกัน นายถวิลกล่าวว่า ตนไม่ทราบ แต่โดยหลักไม่ควรจะมีใครต้องติดคุก


"ถาวร" เตือน "ธาริต" ระวังเจอคุก ฐานแจ้งข้อหาทั้ง ๆ ที่ไม่มีความผิด

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม นายถาวร เสนเนียม รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แจ้งข้อหานายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรี และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี ปชป. ในฐานะอดีตผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ในคดีร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผลในกรณีการเสียชีวิตของ นายพัน คำกอง ว่าพฤติกรรมของนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอพร้อมพวกส่อกระทำผิดกฎหมาย เพราะกฎหมายรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริต ระบุว่า อำนาจการสอบสวนการใช้อำนาจของข้าราชการหรือนักการเมือง ดีเอสไอสามารถรับสำนวนไว้ 1 เดือน จากนั้น ต้องส่งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการสืบสวนสอบสวนเพื่อส่งเรื่องให้อัยการ แต่นายธาริตทำเป็นไม่รู้กฎหมายเพื่อดึงเกมการดำเนินคดีของทั้งสองคนให้อยู่ อำนาจของตัวเองให้นานที่สุดและให้คดีนี้อยู่ยาวที่สุด


นายถาวรกล่าวอีกว่า ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 ระบุไว้ว่า ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตนหรือผู้อื่นให้พ้นจากอันตราย ที่เกิดจากการประทุษร้ายและละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภัยอันตรายที่ใกล้จะถึง ผู้นั้นไม่มีความผิด ซึ่งปี 2553 เป็นการชุมนุมที่ผิดกฎหมาย เผาบ้านเผาเมือง ดังนั้น การกระทำของ ศอฉ.เป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีความผิด ซึ่งการที่นายธาริตแจ้งข้อหาต่อนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพเป็นการปฏิบัติ หน้าที่ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนโดยมิชอบ ซึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 200 มีโทษจำคุกตลอดชีวิต วันนี้ความผิดของนายธาริตสำเร็จเพราะแจ้งข้อหากับประชาชนที่ไม่มีความผิด และยิ่งสำเร็จมากขึ้นเมื่อรับตัวสองคนเป็นผู้ต้องหา หลังจากนี้ นายธาริตต้องเตรียมตัวเข้าคุก ขณะเดียวกันมาตรา 17 ของ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พนักงานเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจตาม พ.ร.ก.นี้ไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่งและทางอาญาหรือทางวินัย เนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ในการระงับหรือป้องกันการกระทำที่ผิดกฎหมาย หากเป็นการกระทำที่สุจริตไม่ต้องรับผิด ซึ่งหากไม่มีมาตรานี้จะระงับเหตุรุนแรงของผู้ชุมนุมได้อย่างไร

ที่มา : มติชนออนไลน์


สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : มาร์ค สู้คดีถึงที่สุด ยอม ถูกประหาร ไม่หนี ต่างประเทศ

view