สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

ปรากฏการณ์ เหนือเมฆ แค่พลังสังคมบนหน้าคอม?

ปรากฏการณ์"เหนือเมฆ" แค่พลังสังคมบนหน้าคอม?

จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

อดิศักดิ์ ลิมปรุงพัฒนกิจ



ลองตั้งสติมองเข้าไปในปรากฏการณ์"เหนือเมฆ2" แล้วลองตั้งคำถามว่าพวกเราจะใช้"พลังทางสังคม"ช่วยกันป้องกัน

ไม่ให้ปรากฏการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นอีกได้อย่างไร

ผมเชื่อว่าในที่สุดผู้บริหารช่อง3 ก็จะไม่พูดไม่ชี้แจงเพิ่มเติม เพราะถือว่าได้ชี้แจงผ่านหน้าจอโทรทัศน์ไปแล้วและเป็นบริษัทเอกชนที่ไม่จำเป็นจะต้องไปตอบชี้แจงสาธารณะหรือคนดูทุกครั้ง ท้าพิสูจน์กันได้เลยว่าเรทติ้งของสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ก็จะไม่ลดลง มิหนำซ้ำกลับจะเพิ่มขึ้นรักษาแชมป์ได้มั่นคงยิ่งขึ้น งบการเงินของช่อง 3 จะยิ่งมีตัวเลขกำไรสุทธิมากยิ่งขึ้น

ผู้บริหารช่อง 3 ตระกูลมาลีนนท์เป็น"ผู้รับสัมปทาน"คลื่นโทรทัศน์ช่อง 3 มาตั้งแต่ปี 2513 ระหกระเหินในช่วงแรกๆและผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายยุคของการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง จนถึงวันนี้ยาวนานกว่า 43 ปีแล้วและยังเหลืออายุสัมปทานอีก 7 ปีจะหมดอายุในปี 2563

ผู้บริหารระดับสูงของช่อง 3 ล้วนแต่เป็นนักธุรกิจที่ฉลาดเป็นกรดทำธุรกิจประสบความสำเร็จมาโดยตลอด เรียนรู้การรักษาตัวรอดเป็นยอดดีเมื่อได้กลิ่นอาการผิดปกติในช่วงเวลาเดียวกันกับกรมสอบสวนคดีพิเศษได้ไปหยิบการต่ออายุสัญญาสัมปทานช่อง 3 อัตโนมัติอีก 10 ปีที่เกิดขึ้นในสมัยคณะกรรมการอสมท.ชุดที่แล้วในช่วงรอยต่อรัฐบาล"อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ"มาสู่รัฐบาล"ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร"มาตรวจสอบ

การตัดสินใจ"ยุติการออกอากาศ"ละครเรื่อง"เหนือเมฆ 2 มือปราบจอมขมังเวทย์"ให้เป็น"ละครที่ไม่มีตอนจบ" ย่อมประเมินผลได้ผลเสียแล้วจะสูญเสียเงินไปครั้งเดียวประมาณ 10 ล้านบาท เทียบกับอายุสัมปทานยังเหลืออีก 7 ปีที่ทำรายได้ปีละร่วมหมื่นล้านบาทและกำไรสุทธิประมาณ 3 พันล้านบาทต่อปี

พวกเขาอยู่ในสังคมทุนนิยมที่เงินเป็นใหญ่ย่อมหลีกเลี่ยงไม่พ้นจะต้องกดเครื่องคิดเลขบวกลบคูณหารออกมาเป็นตัวเงินแล้วค่อยตัดสินใจ นักสื่อสารมวลชนแบบอุดมคติอย่าเพิ่งตีโพยตีพายมากเกินความจำเป็น เอาเป็นว่าวิพากษ์วิจารณ์อย่างพอท้วมๆ อย่าถึงขั้นเอาเป็นเอาตายกันเลย

"ละครที่ไม่มีตอนจบ"คือการตัดสินใจแบบสุดยอดของการบริหารในยามวิกฤติแบบ"เหนือเมฆ"ที่ตระกูลมาลีนนท์มีความเชี่ยวชาญที่ไม่ได้แตกต่างจาก"นักธุรกิจสัมปทาน"ในประเทศไทยสักเท่าไหร่
การไม่มีคำอธิบายใดๆเพิ่มเติม นอกเหนือจากคำชี้แจงว่า"เนื้อหาไม่เหมาะสม"คือคำตอบที่"ปลอดภัยที่สุด"ในสังคมแบบไทยๆที่นักธุรกิจสัมปทานยังต้องอยู่ภายใต้อำนาจของนักการเมืองที่ชี้เป็นชี้ตายได้
ผู้บริหารช่อง 3 ไม่ได้โกหกสังคมและไม่ได้ White Lie อีกด้วย ก็เพียงแค่ไม่สามารถอธิบาย"ความจริง"ทั้งหมดได้เท่านั้นเอง ซึ่งถ้าหากเป็น"นักการเมือง"พฤติกรรมแบบนี้ ถือเป็น"การโกหก"ต่อประชาชนเพราะพวกเขาอาสาเข้ามารับใช้ประชาชน

แต่สำหรับ"นักธุรกิจ"ก็คือการรักษาผลประโยชน์ของธุรกิจไม่ให้ถูกกระทบกระเทือน ซึ่งใครๆก็ทำกันในสังคมไทยที่อย่าไปปฏิเสธเลยว่ายังมีอำนาจเถื่อนๆของนักการเมืองครองเมืองอยู่ยากที่นักธุรกิจจะต่อกรได้

ในขณะที่ผมไม่คิดว่า"รัฐมนตรี"หรือ"คนในรัฐบาล"คนไหนจะไร้สติปัญญาไปออก"คำสั่ง"เป็นลายลักษณ์อักษรให้ช่อง 3 เลิกออกอากาศละครเหนือเมฆ และไม่คิดว่า"คนเหนือรัฐบาล"คนไหนที่ทำตัวเหมือนจะเป็น"จอมขมังเวทย์"มีอำนาจเหนือเมฆเหนือ"นายกรัฐมนตรีหญิงของเรา"จะไปทำอะไรโง่เง่าเช่นนั้น อาจจะเพียงแค่ใครสักคนรอบๆคุณทักษิณกระแอมออกมาเท่านั้นก็ทำให้ผู้บริหารช่อง 3 ตื่นตกใจจนต้องรีบเซนเซอร์ตัวเองสั่งเลิกออกอากาศละครเหนือเมฆ

ผมจึงคิดว่าไม่ควรประณามผู้บริหารช่อง 3 อย่างสุดลิ่มทิ่มประตู แต่ออกจะ"เห็นใจ"ว่าอย่างน้อยที่สุดช่อง 3 ยังมีความพยายามผลิตละครน้ำดีที่ไม่ใช่ละครตบตีแย่งผัวแย่งเมียกันที่ทำเมื่อไหร่ก็เรทติ้งกระฉูดขายโฆษณาได้เต็มล้น เมื่อเทียบกับละครของช่อง 7 ที่ว่ากันตามความเป็นจริง ยังแทบไม่เห็นความพยายามผลิตละครน้ำดีออกมาให้เป็นข้อคิดดีๆกับสังคมไทย เนื้อหายังซ้ำซากแย่งผัวแย่งเมียอิจฉาริษยาหรือไม่ก็พาฝันออกจากโลกความเป็นจริงไปเสียเป็นส่วนใหญ่

เพราะฉะนั้น จงอย่าเพิ่งไปตื่นเต้นเป็นกระต่ายตื่นตูมจนเกินเหตุ แล้วรุมด่าด้วยภาษาหยาบคายถึงใครบางคนแบบไทยมุงรุมกระทืบผู้ต้องหา โดยไม่ดูข้อเท็จจริงให้ครบถ้วนว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
อย่าเพิ่งไปฟูมฟายว่าละครโทรทัศน์เรื่องเดียวไม่ได้ถูกออกอากาศแล้วจะทำให้เสรีภาพสูญสิ้นจากแผ่นดินไทย ถ้ายังรุมด่ารุมประณามกันได้ขนาดนี้แสดงให้เห็นว่าเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นยังมีอยู่ในสังคมไทย

อย่าเพิ่งไปชี้หน้าด่านายทุนช่อง 3 ว่าเป็นนายทุนขี้ขลาดตาขาว เพียงแค่ยังไม่พร้อมจะอธิบายชี้แจงเพิ่มเติมถึงเหตุผลจริงๆ อยากให้ลองทำตัวเป็นเจ้าของช่อง 3 บ้างในภาวะเช่นนี้
แล้วก็อย่าเพิ่งไปโพนทะนาว่ารัฐบาล"ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร"เป็นเผด็จการปิดกั้นสื่อด้วยละครเรื่องเดียวไม่ได้ออกอากาศ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้มีภาพยนตร์ที่ถูกแบนหลายเรื่องแล้วด้วยเหตุผลแบบไร้เหตุผล
แล้วก็อย่าเพิ่งไปโยงอาการโหมกระแสในโซเชี่ยลมีเดียของบรรดาคนไม่ชอบรัฐบาลยิ่งลักษณ์ จนกลายเป็นเรื่องของพวกสลิ่มไร้สมองถึงเวลาได้จังหวะรุมตีกินด่าทักษิณ ฯลฯ

สังคมไทยเข้าสู่ยุคแบ่งฝ่ายแบ่งสีที่ไม่ยอมรับฟังไม่คุยกัน จึงเกิดความพยายามของแต่ละฝ่ายแย่งชิงพื้นที่สื่อในทุกๆแพลทฟอร์ม ปรากฏการณ์แบบ"ดราม่า"ขยายเรื่องจนเยอะเกินความเป็นจริงย่อมเกิดขึ้นได้บ่อยๆและเกิดขึ้นได้ง่ายมากในโลกสื่อสารสมัยใหม่ อยากให้มองว่าเป็นเพียงปรากฏการณ์ทางสังคมของการแบ่งสีแบ่งฝ่ายที่ไม่มีใครยอมใคร หาใช่เป็นความเลวร้ายของพวกสลิ่มเลอะเทอะแต่อย่างใด

ในขณะที่อีกฝ่ายที่มักเรียกตัวเองว่าเป็นพวก"ก้าวหน้า-เสรีนิยม"ก็อย่าเพิ่ง"สวมแว่นบังตา"หรือ"ปิดตาข้างเดียว"แล้วรีบสรุปแบบเดาทางได้ทุกครั้งอีกเหมือนกัน เอาแต่ปกป้องรัฐบาลยิ่งลักษณ์แบบสุดลิ่มทำถูกทุกเรื่องไม่ว่าจะเห็นตำตาว่าผลาญงบประมาณจากโครงการจำนำข้าว,รถยนต์คันแรกไปมากแค่ไหนว่าการเลิกออกอากาศละครเหนือเมฆไม่เกี่ยวกับการเมืองหรือทักษิณ ซึ่งไม่ต่างจากคนอีกสีที่มักถูกเย้ยหยันว่าเป็นพวกสลิ่มที่ไม่มีสมองเชียร์พรรคฝ่ายค้านอย่างประชาธิปัตย์ไม่สนว่าเป็นรัฐบาลฆาตกร 100 ศพ

อยากให้ลองประมวลเรื่องราวปรากฏการณ์"เหนือเมฆ2"จะเห็นเบาะแสหรือร่องรอยว่าน่าจะมีประเด็นหลายอย่างให้คิดได้ว่าเนื้อหาและชื่อตัวละครพ้องจองกับเหตุการณ์การเมืองไทยในยุคนี้จริงๆ ทำให้มีมูลเหตุโยงไปถึง"การเมือง"ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาจจะทำให้"คนเหนือเมฆ"หรือคนรอบข้างเดือดร้อนแทนนายใหญ่ได้

ละครเหนือเมฆมีตัวละครชื่อ"แพร"นำหน้าเหมือนกับลูกสาวคนหนึ่งของคุณทักษิณ , บทพูดถึงการขอสัมปทานดาวเทียมของนักธุรกิจสาวใหญ่ , การตั้งชื่อหน่วยงานสอบสวนพิเศษที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองใกล้เคียง DSI , บทพูดด้วยภาษาแรงๆจงใจด่านักการเมืองที่น่าจะเป็นบทละครเวทีมากกว่าละครโทรทัศน์ , บทบาทของจอมขมังเวทย์ที่มีอำนาจเหนือนายกรัฐมนตรี ฯลฯ
แต่ปรากฏการณ์"เหนือเมฆ"ทำนองนี้เคยเกิดขึ้นครั้งแล้วเล่าในสังคมไทย แล้วสักพักก็จะกลายเป็นคลื่นกระทบฝั่งหายไปในไม่กี่วัน พวกเราล้วนกำลังเป็นเหยื่อปรากฏการณ์จากอำนาจ"เหนือเมฆ"ที่ยังไม่เห็นว่าพลังสังคมจะทำให้เรื่องแย่ๆแบบนี้หมดไปจากสังคมไทยได้เมื่อไหร่

เหมือนๆกับ"ปรากฏการณ์เหนือเมฆ"อีกหลายเรื่องในสังคมไทยที่คนไทยพวกเรากันเองนั่นแหละที่มีนิสัยไม่ได้เอาจริงเอาจังหาทางแก้ไข ไม่ได้เกาะติดแบบไม่ปล่อยให้นักการเมืองที่ใช้อำนาจแบบเหนือเมฆ"ลอยนวล"ได้อีก ไม่ได้อุ้มชูสนับสนุนศิลปินคนสร้างงานศิลปะอย่างจริงจังให้พวกเขาหลุดพ้นจากวงจร"เหนือเมฆ"ที่ดิ้นไม่พ้นสักคน

เอาเข้าจริงแล้ว พวกเราก็แค่ช่วยกันกระพือ แต่ก็ไม่ได้"ลงมือ"ทำอะไรกันจริงจังสักครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปรากฏการณ์เหนือเมฆของการใช้อำนาจเถื่อนๆของนักการเมืองหรือข้าราชการอนุรักษ์นิยมมาปิดกั้นเสรีภาพการแสดงออกของสื่อ-ศิลปินได้อีกต่อไป เพียงแต่ครั้งนี้เป็นปรากฏการณ์ที่รุกล้ำเข้ามาสู่"ละครโทรทัศน์"เป็นครั้งแรกทำให้เกิดกระแสโหมแรงจัด

ผู้กำกับภาพยนตร์หลายคนที่ตกเป็นเหยื่อแบบ"เหนือเมฆ"คนแล้วคนเล่าที่แรกก็ครึกโครม แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็ไม่มีใครไปแยแสพวกเขาที่บางคนยังต่อสู้,บางคนท้อถอยเลิกต่อสู้ ฯลฯ ส่วนใหญ่หนังถูก"แบน"ด้วยคำอธิบายแปลกๆทั้งๆที่พวกเขาตั้งอกตั้งใจผลิตด้วยความเชื่อในงานศิลปะแขนงภาพยนตร์ที่สามารถสะท้อนภาพสังคมได้ออกฉาย เช่น เจ้ย-อภิชาติพงษ์ วีระเศรษฐกุลที่ไม่ยอมตัดบางฉากของ"แสงศตวรรษ", อิ๋ง-สมานรัชฎ์ กาญจนะวนิชย์ จากหนังเรื่อง"เชคสเปียร์ต้องตาย", ธัญญ์วาริน สุระพิศิษฐ์จาก Insect in The Backyard

แม้กระทั่งเสียงเรียกร้องให้ใช้กระแสสังคม"บอยคอตเลิกช่อง 3-เลิกลงโฆษณาช่อง 3 "ที่เกิดขึ้นมาหลายกรณีตั้งแต่ปีที่แล้ว เช่น กรณีรายการไทยแลนด์ก็อตทาเล้นท์ที่ให้ผู้หญิงใช้"เต้านม"ละเลงสีมาทาถูเป็นภาพศิลปะ, กรณีบริษัทไร่ส้มของคุณสรยุทธ สุทัศนะจินดาที่ถูกกล่าวหาทุจริตเงินโฆษณาของช่อง 9 จากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ฯลฯ ทั้งหมดไม่ได้เกิดผลกระทบจากคนดูลดลงหรือผู้ลงโฆษณาหายไปจนทำให้ช่อง 3 ต้องกลับมาฟังพลังทางสังคมมากกว่ายอมรับสภาพจำนนภายใต้ระบบสัมปทานที่นักการเมืองยังมีอำนาจเหนือ

พวกเราลองตั้งสติกลับมาถามตัวเอง ก่อนจะออกไปชี้หน้าด่าใครว่าเลว,ขี้ขลาดตาขาว,เผด็จการปิดกั้นสื่อ ฯลฯ พวกเรายังทำได้แค่ส่งเสียงด้วยการเขียนสนุกๆด้วยคำพูดสะใจบน Facebook แม้ว่าได้ตั้งกลุ่มรณณรงค์ไม่เอาช่อง 3 ผ่านหน้าคอมพิวเตอร์,แท็ปเล้ตหรือโทรศัพท์ไอโฟน ฯลฯ หากยังทำได้แค่นี้ก็เสียเวลาเปล่าๆ ไม่ได้ป้องกันไม่ให้เกิดปรากฏการณ์"เหนือเมฆ2"ได้อีกต่อไป
พลังของสังคมในพ.ศ.นี้ที่มีเครื่องมือสื่อสารผ่าน Social Media และโอกาสการทำกิจกรรม Offline มากมายน่าจะลงมือทำจริงจัง,ต่อเนื่องให้เป็นรูปธรรมเพื่อให้มีพลังมากกว่านี้ เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสังคมไม่ให้นักการเมืองชั่วครองเมืองอีกต่อไปแม้ว่าจะต้องใช้เวลานาน


คนอุบลฯ ชี้ สั่งแบนละครเหนือเมฆ สะท้อนนักการเมืองรับความจริงไม่ได้

จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์

อุบลราชธานี
- แม่ค้า-ชาวบ้านรุมด่าคนสั่งแบนละครเหนือเมฆภาค 2 ทั้งที่ชาวบ้านไม่ได้คิดไปไกลถึงเรื่องการเมือง แต่เมื่อละครถูกงดออกอากาศจึงรู้ว่าคนในแวดวงการเมืองไทยทำใจยอมรับความจริง ไม่ได้ จึงสะท้อนถึงภาพลักษณ์ของคนสั่งแบนละครเอง

       
       ที่ตลาดสดเทศบาลเมืองวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี กลุ่มแม่ค้าพ่อค้า และประชาชนที่มาซื้อสินค้า จับกลุ่มพูดคุยกรณีละครเรื่องเหนือเมฆ ภาค 2 ซึ่งถูกสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 สั่งแบนหลังออกอากาศตอนแรกเมื่อกลางเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เพราะมีเนื้อหาล้อเลียนการเมืองไทย ทำให้ไม่สามารถรับชมได้ตามปกติเมื่อค่ำวันศุกร์ที่ผ่านมา จึงเสียความรู้สึกอย่างมาก เพราะละครกำลังดำเนินเรื่องไปด้วยดี
       
       นางภัทรี สมศรี ข้าราชการบำนาญ กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ติดตามดูละครเรื่องนี้ตลอด เพราะชอบเนื้อหา และดาราที่แสดงเป็นผู้มีความสามารถ มีชื่อเสียงโด่งดังในวงการ
       
       พร้อมมองว่าการนำเสนอเป็นเรื่องของละครที่นำเรื่องจริงมาสะท้อน ซึ่งคนดูก็รู้จักแยกแยะออกว่านี่เป็นเรื่องของละคร หรืออันนี้เป็นเรื่องจริง ถ้าทำดีแล้วไม่ควรมาเดือดร้อนกับการแสดงของดารา และมองว่าไม่ได้เป็นการเสียดสีใคร เพราะถ้าทำดีถูกต้องอยู่แล้ว ไม่ต้องกลัวใครว่า ดาราแสดงออกมาอย่างไรก็เป็นเรื่องของนักแสดง
       
       แต่การมาทำอย่างนี้ทำให้คนดูเสียความรู้สึก เพราะปัจจุบันคนดูไม่ได้โง่ และฝากถึงคนสั่งแบนละครเรื่องนี้ การสั่งอย่างนี้มันสะท้อนถึงตัวคนสั่งว่ารู้สึกเดือดร้อนใช่หรือไม่
       
       ด้านนางนิภาพร ขันเงิน อาชีพแม่บ้าน กล่าวถึงการติดตามดูละครเหนือเมฆเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ลูกสาวโทรศัพท์มาถามว่ ละครเรื่องนี้จบตอนไปแล้วหรือ เพราะเห็นนำเรื่องอื่นมาออกอากาศแทน ซึ่งตนก็รู้สึกงงเพราะละครหายไปจากหน้าจออย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย และเพิ่งทราบจากข่าวเมื่อเช้าวันนี้ว่าละครถูกแบนแล้ว
       
       นางนิภาพรบอกต่อไปว่า ตั้งแต่ติดตามดูก็มองเป็นเรื่องของความบันเทิง ไม่ได้คิดเป็นเรื่องเสียดสีใคร กระทั่งเพื่อนบ้านบอกสาเหตุที่ถูกห้ามออกอากาศเพราะไปกระทบกระทั่งคนใน รัฐบาล ทั้งที่ตลอดเวลาการติดตามดูไม่ได้คิดเลยไปไกลขนาดนั้น และรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ดูอีกเพราะอยากรู้ตอนจบจะเป็นอย่างไร


“ยะใส” ชี้ช่อง 3 ถอดเหนือเมฆ 2 เลี่ยงงัดข้อ “นายใหญ่-ดีเอสไอ” บี้ กสทช.แจง ปชช.

จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์

ผู้ประสานกลุ่มกรีนยันข้ออ้างช่อง 3 แบนละครเหนือเมฆ 2 เหตุล้มล้างการปกครอง ฟังไม่ขึ้น ชี้คำสอนละครบอกจุดจบนักการเมืองโกง ทำคนที่คุณก็รู้ว่าใครรับไม่ได้ จึงยอมการเมืองแทรก แบบยุค “นช.แม้ว” ครองเมือง แถมมีประเด็นกระทบดีเอสไอ ถึงยอมแบนเอาตัวรอด ปลุก กสทช.หาคำตอบให้ ปชช.

       
       วันนี้ (6 ม.ค.) นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน กล่าวถึงกรณีที่ผู้บริหารช่อง 3 แจ้งต่อกรรมการ กสทช.เบื้องต้นว่าเหตุที่มีคำสั่งแบนละครเหนือเมฆ 2 นั้นเพราะเข้าข่ายขัด พ.ร.บ.ประกอบกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 มาตรา 37 ที่ระบุว่าห้ามไม่ให้ออกอากาศเนื้อหารายการที่มีลักษณะล้มล้างการปกครองใน ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของ ประชาชน หรือกระทำซึ่งเข้าลักษณะลามกอนาจารหรือมีผลกระทบต่อการให้เกิดความเสื่อม ทรามทางจิตใจหรือสุขภาพของประชาชนอย่างร้ายแรง ซึ่งถ้าดูบทละครนี้คร่าวๆ นอกจากไม่เข้าข่ายผิดมาตรา 37 แล้ว ละครเรื่องนี้ยังส่งเสริมศีลธรรมอันดีในสังคมที่เน้นให้คนทำดี และจุดจบของคนไม่ดีหรือนักการเมือง คนมีอำนาจที่ใช้อำนาจคดโกง หาประโยชน์เพื่อตัวเองและครอบครัว เนื้อหาของละครเรื่องนี้ถือเป็นการตีแผ่การเมืองไทยในรอบทศวรรษได้อย่างลึก ซึ่ง
       
       “ซึ่งตอนจบของละครที่พูดถึงธรณีสูบชายชุดดำที่มีเวทมนต์คอยช่วยเหลือ อยู่เบื้องหลังและคอยชักใยนักการเมืองโกง อาจเป็นบทที่สะเทือนใจบางคน ทำให้ละครเรื่องเหนือเมฆเป็นละครที่ไม่มีตอนจบ เพราะคนบางคนไม่อยากเห็นจุดจบของตัวเอง” นายสุริยะใสระบุ
       
       ผู้ประสานกลุ่มกรีนกล่าวต่อว่า ผู้บริหารช่อง 3 อาจเลือกเซ็นเซอร์ตัวเอง เพื่อความสบายใจของผู้มีอำนาจ จะมาอ้างว่าเป็นการควบคุมกำกับตัวเองคงอ้างไม่ขึ้น เพราะเป็นคนละความหมายกัน การเลือกเซ็นเซอร์ตัวเองสะท้อนวงการสื่อสารมวลชนไทยที่กำลังกลับไปสู่ยุค อาณาจักรแห่งความหวาดกลัว ในยุครัฐบาลทักษิณสมัยแรกที่มีทั้งการแทรกซึม แทรกแซงและแทรกซื้อสื่อมวลชนสารพัดรูปแบบ
       
       นายสุริยะใสยังกล่าวว่า ในบทละครนี้ยังมีจุดที่น่าสงสัยอีกประเด็น คือ บทบาทของอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษในละครเหนือเมฆ 2 จะเรียกชื่อว่า ผู้บัญชาการ TSI ที่มีพฤติกรรมไม่ซื่อ พยายามตกแต่งหลักฐานเท็จเพื่อเล่นงานคนอื่น ประเด็นนี้อาจจะกระทบต่อทางช่อง 3 ที่กำลังถูก DSI สอบสวนกรณีต่ออายุสัมปทานช่อง 3 ที่อาจเข้าข่ายผิดกฎหมายอยู่ด้วยหรือไม่
       
       “ฉะนั้น ข้ออ้างของผู้บริหารช่อง 3 จึงไม่เป็นความจริง เป็นเพียงการโกหกเพื่อเอาตัวรอด และเอาเรื่องการล้มล้างการปกครองฯ มาอ้างเพื่อแบนละครเรื่องนี้ ถือว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม คณะกรรมการกำกับกิจการกระจายเสียง วิทยุ โทรทัศน์และโทรคมนาม หรือ กสทช. จะต้องมีคำตอบให้ประชาชน และถือเอาเป็นกรณีศึกษาเพื่อวางมาตรการไม่ให้เกิดกรณีนี้อีก” นายสุริยะใสระบุ


"สุภิญญา"ชี้อ้างม.37แบนละครทำเสรีภาพสื่อติดลบ

จาก โพสต์ทูเดย์

"สุภิญญา"ระบุไม่เห็นด้วย ช่อง3ระงับเหนือเมฆ2เพราะขัดม.37 ชี้ทำเสรีภาพสื่อถอยหลัง ย้ำเซ็นเซอร์ตัวเองต้องอยู่บนฐานจรรยาบรรณไม่ใช่ความกลัว

น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ หนึ่งในคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และ กิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้โพสต์ทวิตเตอร์ข้อความผ่าน ทวิตเตอร์ส่วนตัว "@supinya" ระบุว่า ในฐานะคณะกรรมการกสทช.ไม่เห็นด้วยกับข่าวที่ช่อง3ระงับการออกอากาศละคร เรื่องเหนือเมฆ2 เนื่องจากผิดมาตรา37 ตามพ.ร.บ.ประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ.2551

ทั้งนี้เนื่องจาก มาตรา37 นั้นครอบจักรวาลและละเอียดอ่อนต่อเสรีภาพสื่อมาก ที่ผ่านมา กสทช.ไม่เคยใช้มาตรานี้ในการสั่งแบนสื่อใดเลย แม้แต่กรณีช่อง11 หรือ ละครเรื่องแรงเงา ซึ่งการอ้างมาตรา 37 พร่ำพรื่อจะทำให้สิทธิเสรีภาพสื่อ (โดยเฉพาะฟรีทีวี) จะถอยหลังกลับไปที่ ศูนย์หรือติดลบ โดยเฉพาะในละครที่จริงๆ

"ถ้าใช้มาตรา 37 กับกรณีช่อง3 เป็นมาตราฐาน ต่อไปรายการในทีวีกว่าครึ่งคงออกอากาศไม่ได้เลย เราจะกลับไปสู่ยุคที่ยังมี กบว. คือก่อนปี พ.ศ.2535 ทั้งนี้การกำกับดูแลกันเองตามกรอบจรรยาบรรณสื่อ (self-regulation) กับการเซ็นเซอร์ตัวเอง (self-censorship) ไม่เหมือนกัน กสทช.ต้องส่งเสริมการเซ็นเซอร์ตัวเองบนฐานจรรยาบรรณวิชาชีพ ไม่ใช่เซนเซอร์ตัวเองบนฐานการสร้างอาณาจักรแห่งความกลัว (climate of fear)"น.ส.สุภิญญาระบุ

น.ส.สุภิญญาโพสต์ข้อความอีกว่า การปลดกลางอากาศ ทั้งที่ละครเรื่องนี้ไม่มีการร้องเรียนจากประชาชนมาก (ถ้าเทียบกับละครแรงเงา) สะท้อนความผิดปรกติในการใช้ดุลยพินิจของช่อง ละครไทยส่วนใหญ่ไม่เด่นเรื่องคุณภาพและเข้าข่ายนำเน่าอย่างที่เห็น จึงต้องช่วยกันยกระดับ ให้ผู้ผลิตกล้าที่จะสร้างสรรค์ ไม่ใช่ทำให้กลัว

ส่วนตัวอยากเห็นซีรีย์ละครการเมืองไทยไปได้ไกลระดับ West Wing, 24, The Wired ที่สะท้อนมุมสังคมแบบลึกซึ้ง ให้คนดูคิดเอง เท่าที่เคยดูเหนือเมฆ2 เห็นความพยายามจะมีฉากแบบซีรีย์ "24" แต่บทและการผลิตยังไม่เทียบขั้น แต่เนื้อหายังไม่เข้าข่ายผิดมาตรา37แน่ๆ เราควรสนับลนุนให้มีการลงทุนทำช่องละครเข้มข้นหลากหลายเหมือน เอชบีโอ เป็นเพย์ทีวีผ่านดาวเทียม

"เมื่อฟรีทีวีภายใต้ระบบเดิมๆทำตัวเองให้เกิดวิฤตศรัทธาทีละช่องทีละช่อง ทำให้สื่อใหม่ๆเช่นทีวีดาวเทียม อินเทอร์เน็ตมีความหมายมากขึ้นอีก"น.ส.สุภิญญาระบุ


อดีตอนุกสทช.จี้ลากตัวมือมืดแบนเหนือเมฆ

อดีตอนุกรรมการ กสทช. จี้ลากตัวมือมืดแบนเหนือเมฆ 2 ระบุเป็นการลิดรอนสิทธิประชาชน

น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ให้สัมภาษณ์"สำนักข่าวเนชั่น"ถึงกรณีการแบนละคร"เหนือเมฆ 2 มือปราบจอมขมังเวทย์"ทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ว่า "ตลกนิดหน่อย เกิดขึ้นได้อย่างไร ไม่เห็นเป็นประเด็นเลย เรื่องนี้ต้องให้คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการ โทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เข้ามาทำงาน ให้มาตรวจสอบและดำเนินการได้ทันที"

นายชัยรัตน์ แสงอรุณ อดีตคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคด้านกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ กสทช. กล่าวว่า ควรจะเรียกร้องให้ผู้ผลิต ผู้ออกอากาศ หรือผู้ชมได้มีอิสระเสรีในการรับชมหรือใช้ดุลพินิจเองว่าเนื้อหาละครจะถูกผิดอย่างไร เพราะกรณีนี้เป็นริดรอนสิทธิประชาชนในระบอบประชาธิปไตยโดยตรง แต่กลับมีอำนาจการเมืองหรือการค้ามาอยู่เหนือการตลาด ที่ต้องการจำกัดเสรีภาพของประชาชนว่าต้องดูละครประเภทไหนเท่านั้น ซึ่งตนเชื่อว่าผู้บริโภคกว่าครึ่งประเทศต้องการให้ละครแสดงให้จบ เพราะละครลักษณะที่มีเนื้อหาประเภทนี้ ประชาชนมีสิทธิรับรู้ถึงเบื้องหน้าเบื้องหลัง และรู้เท่าทันการเมืองถึงจะเป็นเพียงละครก็ตาม

นายชัยรัตน์ กล่าวด้วยว่า ตามกฎหมายผู้ที่ผลิตสื่อ หรือสื่อเองได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ ในสิทธิการนำเสนอ หากใครอยู่เบื้องหลังการสั่งแบนละครต้องมีการสอบสวน และนำตัวมาเปิดเผยกับสาธารณะให้ได้ เพื่อนำข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นมาเปิดเผยว่ามาจากสาเหตุอะไร หรือใช้อำนาจอะไรในการสั่งแบน เพื่อให้สังคมเป็นผู้กำหนด หรือใช้บทลงโทษทางกฎหมาย

ทั้งนี้ อยากเสนอกับมือมืดที่สั่งแบนละครว่า จะถูกมือที่มืดกว่าโดยเฉพาะมือจากผู้บริโภคเข้าไปตรวจสอบ เสียงนี้จะเป็นกระแสสำคัญของสังคม เพราะตอนนี้ผู้บริโภครู้เท่าทันผู้ประกอบการมากขึ้น ไม่ให้คิดว่าใครจะมาทำอะไรก็ได้

"อย่ามายัดเยียดผู้บริโภค หรือเห็นผู้บริโภคเป็นอะไร เหมือนเป็นการไม่ให้เกียรติคนดู อย่างละครที่มีเนื้อหาเรื่องเซ็ก เลือดท่วมจอ ช่อง 3 กลับให้มีการฉายได้ ถึงแม้กรณีนี้คาบลูกคาบดอกในการตีความได้หลายเรื่อง แต่ผู้บริโภคสามารถร้องเรียนมาที่กสทช.ได้ ซึ่งกสทช.ก็ต้องวินิจฉัยเรื่องนี้โดยเร็ว"


ดีเอสไอปัดกดดันช่อง3ปลดเหนือเมฆ2

"ธาริต"ยันดีเอสไอไม่เกี่ยว! กดดันช่อง 3 ปลดเหนือเมฆ2

ส่วนที่มีการโยงกรณีชมรมนักกฎหมายพิทักษ์ผลประโยชน์รัฐที่เข้ายื่นเรื่องร้องเรียนให้ดีเอสไอตรวจสอบการต่อสัญญาร่วมดำเนินกิจการส่งโทรทัศน์สีระหว่างบริษัทอสมท. จำกัด (มหาชน) กับบริษัทบางกอกเอ็นเตอร์เทนเมนท์ จำกัด หรือช่อง 3 ออกไปอีก 10 ปีนั้น ก็ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกัน เพราะกรณีดังกล่าวดีเอสไอยังไม่ได้เริ่มต้นสอบสวน มีเพียงการสอบปากคำฝ่ายผู้ร้องไว้เท่านั้น โดยมอบหมายให้นายธานินทร์ เปรมปรีดิ์ ผอ.ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการทุจริต ตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้น ล่าสุดเพิ่งได้ออกหนังสือเชิญนายสุรพล นิติไกรพจน์ อดีตประธานบอร์ด อสมท. และผู้บริหารช่อง 3 เข้าชี้แจงข้อมูล จึงถือว่าดีเอสไอยังไม่ได้ดำเนินการใดๆ กับกรณีดังกล่าวเลย

ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 28 ธ.ค. 55 นายธนเดช พ่วงพูล ประธานชมรมนักกฎหมายพิทักษ์ผลประโยชน์รัฐ เข้ายื่นเรื่องร้องเรียนต่อดีเอสไอ ให้ตรวจสอบกรณีการต่อสัญญาระหว่างบริษัทอสมท.ฯ กับช่อง 3 เป็นผลให้ได้รับการขยายอายุสัมปทานออกไปเป็นระยะเวลา 10 ปี ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่มีอำนาจและเป็นการละเว้นการกระทำตามหน้าที่ เป็นเหตุให้ไม่เกิดการแข่งขันราคาอย่างเสรี หลีกเลี่ยงการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม และยังเอื้อประโยชน์ให้ผู้อื่นได้ไปซึ่งผลประโยชน์ของรัฐ เนื่องจากเป็นกิจการที่มีมูลค่าสัญญาสูงกว่า 1,000 ล้านบาท การต่อสัญญาต้องดำเนินการตามพรบ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ หรือพ.ร.บ.ร่วมทุนฯ พฤติการณ์ของบอร์ดอสมท.น่าจะเป็นการดำเนินการไม่โปร่งใส หากมีการเปิดประมูลให้มีการแข่งขันเสรี รัฐบาลอาจมีรายได้เพิ่มไม่ต่ำกว่า 7,000 ล้าน ซึ่งตัวเลขดังกล่าวพิจารณาจากผลประกอบการของช่อง 3 ตั้งแต่ปี 51-53 มีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณปีละ 1,000 ล้านบาท คำนวนระยะเวลา 10 ปีจะมีรายได้ 150,000 ล้านบาท เมื่อมีการต่อสัญญาเดิมในระยะเวลา 10 ปีรัฐจะมีรายได้เพียง 2,002,610,000 บาท และเงินนอกสัญญาอีก 405 ล้านบาท รวมเป็นเงินเพียง 2,407 ล้านบาทเศษ คิดเป็นเงินเพียง 1% ของรายได้ที่ช่อง 3 ได้รับ การกระทำของบอร์ดอสมท.จึงมีความน่าสงสัยว่าเป็นการกระทำผิดร่วมกับช่อง 3 หรือไม่ จึงจำเป็นต้องร้องขอให้ดีเอสไอตรวจสอบข้อเท็จจริง


"ยิ่งลักษณ์"เหนือเมฆ

ฑิฆัมพร ศรีจันทร์

พลันที่สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีช่อง 3 ถอดละคร"เหนือเมฆ 2 ตอนมือปราบจอมขมังเวทย์"หลังจากออนแอร์ไปไม่กี่ตอน ก็เป็นที่โจษจันกันไปทั่ว

โดยเฉพาะในสังคมออนไลน์ ที่วิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆนานา

บ้างก็ว่าเนื้อหาละครอาจไปกระทบกล่องดวงใจของผู้มีอำนาจ เนื้อหาเสียดสีนักการเมืองและการทุจริตคอร์รัปชั่น มีการสั่งแทรกแซงจากรัฐบาลให้แบนละคร "เหนือเมฆ"

ขณะที่รัฐบาลโดย วราเทพ รัตนากร รมว.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกำกับดูแลอสมท. ได้ออกมาปฎิเสธความเกี่ยวข้องไปแล้ว แต่กระแสสังคมต้องการเห็นความกระจ่างจากกรณีนี้

สุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้ทวิตข้อความผ่านทวิตเตอร์ แสดงความเห็นส่วนตัว"ว่า"ทางกฎหมาย กสทช.คงไม่อาจไปสั่งให้สถานีฉายหรือไม่ฉายละครเรื่องอะไร เพราะเป็นการตัดสินใจของสถานี แต่ถ้าถูกแทรกแซงทางการเมืองจริง ก็กระทบเสรีภาพ จะเสนอเรื่องนี้เข้าบอร์ด กสทช.

"ส่วนตัวคิดว่าเป็นปัญหาสิทธิเสรีภาพสื่อ ถ้าช่อง 3 ถูกแทรกแซง แล้วร้องเรียนมาที่ กสทช. เราพิจารณาได้ แต่ถ้าช่อง 3 เซ็นเซอร์ตัวเองก็คงไม่ร้องเรียนมา ดังนั้นผู้เสียหายจะเป็นคนดู เมื่อคนดูร้องเรียน กสท.ต้องดูว่าขัดกฎหมายข้อไหน ถ้าไม่ขัดกฎหมายแต่เป็นเรื่องจรรยบรรณ ก็ต้องส่งเรื่องให้วิชาชีพสื่อตัดสิน แต่จะรับเรื่องนี้ไปเสนอบอร์ด กสท.และจะตามเรื่องให้"

สุภิญญายังทวิตอีก ว่า "รัฐธรรมนูญกำหนดให้มี กสทช.มากำกับดูแลสื่อ เพื่อให้สื่อเป็นอิสระจากรัฐบาล ดังนั้นถ้า กสทช.ไม่ได้สั่งแบน สื่อก็ไม่จำเป็นต้องกลัว แต่ยังกลัว ส่วนตัวคิดว่า แบนตัวเองเพราะความกลัวมือที่มองไม่เห็น"

ขณะที่ผู้บริหารช่อง 3 แจงไปยังกสทช.ว่าเนื้อหาละครเรื่องนี้เกรงงว่าจะขัดต่อมาตรา 37 ของพ.ร.บ.ประกอบกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 ซึ่งเนื้อหาของมาตรานี้ระบุข้อห้ามใน 3-4 ประเด็นหลัก เรื่องแรกคือเนื้อหาที่มีลักษณะล้มล้างการปกครองในระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เรื่องที่สองที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐและความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของ ประชาชน เรื่องที่สามที่เข้าลักษณะลามกอนาจารหรือมีผลกระทบต่อการให้เกิดความเสื่อม ทรามทางจิตใจหรือสุขภาพของประชาชนอย่างร้ายแรง

ถ้าใครไปอ่านเรื่องย่อของละครเหนือเมฆ 2 ก็จะชัดเจนขึ้นว่าแทบไม่มีเนื้อหาส่วนใดที่ไปขัดกับมาตรา 37 ดังที่ว่า ส่วนใหญ่เป็นการต่อสู้ระหว่างความดีความชั่ว การต่อสู้กับอำนาจมืดในบ้านเมือง การคอรัปชั่น

ความจริงละครที่มีเนื้อหาลักษณะนี้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี น่าจะฉวยโอกาสส่งเสริม หรือ แสดงนำเป็นตัวเอก หรือเป็นพรีเซนเตอร์เสียเองในการต่อสู้กับอิทธิพล อำนาจมืด ต่อต้านคอรัปชัน ที่เนื้อร้ายกัดกินสังคมไทยรุนแรงขึ้นทุกขณะ

เพื่อแสดงให้เห็นความจริงจังของรัฐบาล ในการปราบคอรัปชัน ต่อต้านทุกรูปแบบ ควรสนับสนุนให้สื่อผลิตเนื้อหาประเภทนี้มากขึ้น เพื่อให้ทุกฝ่ายได้ตระหนักเหมือนที่เครือข่ายต้านคอรัปชัน ออกมาระบุว่า"ถ้าปล่อยให้คอรัปชันกันมากมายเช่นนี้ประเทศไปไม่รอด"

ต้องเชื่อ ต้องทำเหมือนกับบางตอนของบทละครเรื่องนี้

ฤทธานุภาพแห่งความดีงาม ไม่มีวันหลอมรวมเพื่อความชั่วร้าย !
ความดีงามจะคงสถิตย์อยู่ ณ จุดที่ถูกต้องตลอดไป !


หมอกัมปนาทสุดทนช่อง3เลิกเป็นวิทยากรชูรักชูรส

จาก โพสต์ทูเดย์

นพ.กัมปนาท สุดทนโพสต์เฟซบุ๊ก ยกเลิกเป็นวิทยากรรายการชูรักชูรส อัด ช่อง 3ไร้ศักดิ์ศรีสื่อ

นพ.กัมปนาท ตันสิถบุตรกุล จิตแพทย์ชื่อดัง และเป็นวิทยากรรายการ "ชูรักชูรส" ทางไทยทีวีสีช่อง 3 ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว "นพ.กัมปนาท ตันสิถบุตรกุล (Kampanart Tansithabudhkun, M.D.)" ขอยกเลิกการเป็นวิทยากรของรายการชูรักชูรสตลอดไป ตราบใดที่รายการยังออกอากาศทางไทยทีวีสีช่อง 3 อยู่ ซึ่งเป็นสถานีที่ตนไม่สามารถยอมรับได้ เนื่องจากมีผู้บริหารที่ไร้ศักดิ์ศรีของความเป็นสื่อมวลชน โดยมีข้อความว่า

"ผม...นพ.กัมปนาท ตันสิถบุตรกุล วิทยากรรายการชูรักชูรส ซึ่งออกอากาศทางไทยทีวีสีช่อง 3 มายาวนานเป็นสิบปี บัดนี้ถึงเวลาที่ผมขอประกาศตัวเอง ต่อสาธารณชน ว่า ผมขอยกเลิกการเป็นวิทยากรของรายการชูรักชูรสตลอดไป ตราบใดที่รายการยังออกอากาศทางไทยทีวีสีช่อง 3 อยู่ ด้วยความเคารพในตัวอ.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง และทีมงานทุกท่าน ที่มีความตั้งใจในการผลิตรายการที่ดีเพื่อสังคมมาตลอดระยะเวลาที่ยาวนาน ซึ่งผมชื่นชมในอุดมการณ์ที่ดีและกล้าหาญของอ.เจิมศักดิ์ มาตลอดเวลาที่รู้จักท่าน แต่เนื่องจากรายการชูรักชูรสยังคงต้องอาศัยช่อง 3 ในการออกอากาศอยู่ ซึ่งเป็นสถานีที่ผมไม่สามารถยอมรับได้ ณ ปัจจุบัน ในความคิดเห็นของผม ไทยทีวีสีช่อง 3 มีผู้บริหารที่ไร้ศักดิ์ศรีของความเป็นสื่อมวลชนอย่างสิ้นเชิงแล้ว

ดังที่เห็นในตัวอย่างที่ไม่ดีเกิดขึ้นมากมาย แต่ทางสถานีก็มีข้ออ้างทุกประการเพียงเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนเองเท่านั้น ในฐานะที่ผมเป็นจิตแพทย์ที่ได้รับการอบรมสั่งสอนจากครูบาอาจารย์ทางด้าน จิตเวชศาสตร์ เพื่อให้พวกเราดำรงตนเพื่อคุณงามความดีของบ้านเมืองเรา ดังนั้น ผมจึงถือว่า ไม่ควรเอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องกับสถานีไทยทีวีสีช่อง 3 อีกต่อไป

เนื่องจากผมได้แสดงความไม่พอใจทางสถานีผ่านสื่อสังคมออนไลน์บ่อยครั้ง ดังนั้นเพื่อมิให้เกิดข้อครหานินทาว่า "ด่าแต่เขา แต่อิเหนาก็ยังมีรายการมาออกช่องดังกล่าวอยู่" และผมก็มิใช่คนตอแหลและหน้าด้านเหมือนใครบางคนในสังคมและในสถานีดังกล่าว อีกอย่างหน้าที่ผมก็คือจิตแพทย์ที่ออกตรวจคนไข้ในโรงพยาบาล การทำงานออกสื่อถือเป็นการตอบแทนสังคม เพื่อความสุขใจของตนเองและผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิตที่น่าสงสารอีกมาย ที่รอการบำบัดรักษาเยียวยาจิตใจอยู่ มิใช่การทำงานเพื่อรายได้จากการออกสื่อ เหมือนดาราหรือนักข่าวอีกหลายๆคนที่หาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ด้วยการทนยอมๆไป ซึ่งขัดต่ออุดมการณ์ของตัวผมเองในการที่อยากจะทำงานร่วมกับหน่วยงานที่มี ศักดิ์ศรีในวิชาชีพ

ในที่สุดนี้ ขออภัยที่จะต้องทยอยลบภาพทั้งหมดรวมถึงคลิปวิดีทัศน์ที่เกี่ยวข้องกับสถานี ไทยทีวีสีช่อง 3 ออกทั้งหมดนะครับ แต่ยังมีคลิปดีๆที่ออกอากาศในสถานีอื่นๆอีกมากมายที่ผมได้ลงไว้ใน youtube เพื่อประโยชน์ต่อสังคมอยู่ครับ"


สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : ปรากฏการณ์ เหนือเมฆ พลังสังคม หน้าคอม

view