สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

สัมภาษณ์พิเศษ: ผมของจริงใช้ได้ทันที

จาก โพสต์ทูเดย์

หากอีก10ปีข้างหน้ารัฐบาลกับผู้ ว่าฯ กทม.เป็นเนื้อเดียวกัน หากน้ำเหนือมาอีกแล้วรัฐบาลนั้นบอกว่าต้องใช้ กทม.เป็นฟลัดเวย์ถามว่าไร้รอยต่อจะทำยังไง กทม.ต้องเป็นฟลัดเวย์ใช่ไหม แล้วสีลม สุขุมวิท จะทำอย่างไร ท้องถิ่นก็ไม่มีสิทธิพูดอะไร เพราะมาจากรัฐบาล มาจากพรรคเดียวกัน"

โดย...ทีมข่าวการเมือง
         

ถือเป็นเต็ง หนึ่ง สำหรับการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 3มี.ค. สำหรับ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตรผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. ของพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตผู้ว่าฯ กทม.1สมัย
         
แม้ จะมีข้อครหาว่าผลงานตลอด4ปีของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ไม่น่าประทับใจเท่าที่ควร แต่เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ประกาศแล้วว่าจะส่งคุณชายลง เขาก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่สปอตไลต์โฟกัสลงมาที่เขามากที่สุด ด้วยฐานเสียงคนกรุงที่นิยมพรรคประชาธิปัตย์ผ่านการเลือกตั้ง สส.ครั้งล่าสุดเมื่อปี2554
         
วันนี้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ เดินทางมาเยี่ยมเครือโพสต์ พับลิชชิง เปิดอกตอบคำถามหมดเปลือกชี้แจงผลงาน4ปีที่ผ่านมา ว่าเคยทำอะไรไปแล้วบ้าง และ4ปีต่อไปของเขาจะเป็นอย่างไรต่อไปหากประชาชนไว้วางใจ เลือกเป็นพ่อเมือง กทม.อีกหนึ่งสมัย
         
ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ เริ่มต้นด้วยการชี้แจงว่านโยบายทุกอย่างที่หาเสียงเมื่อปี2552ได้ทำหมดเรียบ ร้อย แต่ทั้งหมดไม่ใช่นโยบายที่ถูกคิดด้วยตัวเอง หากแต่เป็นของ อภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าฯ กทม. ซึ่งถูกอุบัติเหตุทางการเมือง จากการชี้มูลของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และของพรรคประชาธิปัตย์หน้าที่ของเขาจึงมีเพียงเข้ามาสานต่อนโยบายของ อภิรักษ์เท่านั้น
         
"คราวที่แล้วผมมีหน้าที่แค่เข้ามาสานต่อ แต่ครั้งนี้คือนโยบายของผม ที่สำคัญ4ปีที่ผ่านมากทม.เกิดวิกฤตการณ์ต่อเนื่อง3ปีซ้อนทั้งความรุนแรงทาง การเมืองใน2ปีแรก และปีถัดมาก็เกิดมหาอุทกภัย หากมองจากภายนอก อาจไม่เข้าใจว่ากทม.บอบช้ำแค่ไหน และก็เป็นเหตุผลว่าทำไมมีคนคิดแบบนั้น ซึ่งวิกฤตการณ์ 3 ปี ทำให้เราเสียใจและเสียดายเวลามาก ซึ่งในประวัติศาสตร์ไม่เคยมีผู้ว่าฯ คนไหนต้องเจอะอย่างนี้ 3 ปีซ้อน คนเลยลืมหมด แล้วบอกแต่ว่าผลงานไม่ประทับใจแต่ยืนยันว่าผมได้ทำตามที่ผมพูดไว้หมดแล้ว"
         
ทว่า ที่ผ่านมาภาพหนึ่งที่ถูกมองก็คือ หม่อมสุขุมพันธุ์ไม่ค่อยติดดินเท่าที่ควร แต่เขายืนยันว่าติดดินมากกว่าคนอื่นแล้วกันและอาจเป็นภาพที่ตัวเขามีคำว่า "หม่อมราชวงศ์" นำหน้า เลยถูกมองว่าไม่ติดดิน        

"อีกประการหนึ่งก็คือ ผมไม่ขับรถเมล์ ผมไม่กล้าทำ มีคนบอกให้ไปให้ขับรถบรรทุก ผมก็บอกว่าไม่ทำหรอก มันลำบาก เดือดร้อนคนอื่นอาจจะทำผิดกฎหมายอีกด้วย ไม่ได้เลยนะครับ"ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ หัวเราะ
         
ส่วนจุดอ่อนของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ นั้น เขาตอบกลับมาทันทีว่า น่าจะอยู่ที่พูดไม่เป็น ไม่ชอบพูดและการดำรงตำแหน่ง4ปีที่ผ่านมาอาจทำให้มีคนไม่ชอบผลงานที่แล้วมา ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งที่สด ใหม่นั้นไม่มีอะไรที่บกพร่อง และไม่มีอะไรที่ต้องอธิบายมากมาย แต่กระนั้นเอง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ก็ย้ำว่า ความสดไม่ได้หมายความว่ามีประสบการณ์เสมอไป เมื่อถามว่าคิดอย่างไรกับสโลแกน "ไร้รอยต่อ"ประโยชน์ของท้องถิ่นไม่ตรงกับส่วนกลาง
         
"ยก ตัวอย่างเช่น หากอีก10ปีข้างหน้ารัฐบาลกับผู้ว่าฯ กทม.เป็นเนื้อเดียวกัน หากน้ำเหนือมาอีกแล้วรัฐบาลนั้นบอกว่าต้องใช้ กทม.เป็นฟลัดเวย์ถามว่าไร้รอยต่อจะทำยังไง กทม.ต้องเป็นฟลัดเวย์ใช่ไหม แล้วสีลม สุขุมวิท จะทำอย่างไร ท้องถิ่นก็ไม่มีสิทธิพูดอะไร เพราะมาจากรัฐบาล มาจากพรรคเดียวกัน"
         
คุณชายหมู บอกอีกว่า การมี "รอยต่อ" ไม่จำเป็นต้องมีปัญหา เพราะทั้งสองส่วนต้องทำงานร่วมกัน ซึ่งอาจจะมีปีนเกลียวกันบ้าง แต่เรื่องแบบนี้ไม่ได้เกิดในประเทศไทยเพียงแห่งเดียว เพราะรูปแบบการปกครองส่วนท้องถิ่น และรัฐบาลกลางทุกประเทศทั่วโลกก็ต้องปีนเกลียวกัน แต่สุดท้ายก็ต้องพูดกันให้รู้เรื่องแล้วทำงานต่อซึ่งเป็นเสน่ห์ของการกระจาย อำนาจให้กับท้องถิ่น
         
"ที่ผ่านมาเคยมีครั้งเดียว ที่รัฐบาลกับผู้ว่าฯกทม. มาจากพรรคเดียวกัน คือตอนผมเป็นผู้ว่าฯและคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งที่สุดก็ไม่ได้ไร้รอยต่อ เพราะรัฐบาลตัดงบผมไปตั้ง 3,000กว่าล้าน (หัวเราะ) คือถ้าจะให้ไร้รอยต่อจริงๆ ก็ควรกลับไประบบเดิมให้ผู้ว่าฯ กทม.มาจากการแต่งตั้ง ถ้าไม่พอใจก็ปรับเปลี่ยนได้" ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ชี้แจง
         
ศึกเลือกตั้งครั้งนี้ คุณชายหมูประเมินไว้ว่า ต้องชนะด้วยคะแนน1 ล้านเสียงขึ้นไป หรือในระดับเดียวกับที่ สมัคร สุนทรเวช เคยได้รับเมื่อปี2543 จากเดิมที่ได้ประมาณ9แสนเศษ เมื่อปี2552 และในวันนั้นเขาชนะรวด46เขต จาก50เขต แต่กระนั้นก็ถือว่าเหนื่อยพอสมควรเพราะเมื่อวัดกัน
         
ตรงไป ตรงมาแล้วฐานเสียงใน กทม.ของพรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้ต่างกัน อยู่ที่ราวๆ4-4.5แสนเสียง ซึ่งไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องหาคะแนนเสียงให้เพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย1เท่าตัว
         
จน ถึงขณะนี้มีหลายคนประเมินว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ อาจถูกผู้สมัครอิสระหลายคน ไม่ว่าจะเป็นพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส หรือ สุหฤท สยามวาลา แย่งคะแนนไป แต่ตัวคุณชายหมูบอกว่า ไม่อยากจะมองอย่างนั้น หากแต่อยากมองว่าจะเพิ่มคะแนนให้ตัวเอง จากคนที่ยังไม่ได้ตัดสินใจ ซึ่งเอแบคโพลล์ระบุว่ามีมากกว่า52%รวมถึงคนซึ่งไม่เคยออกไปใช้สิทธิเลย มากกว่า
         
"ขนาดขนมเค้กไม่จำเป็นต้องเหมือนเดิม ขนมเค้กเหมือนเดิม แต่ละฝ่ายก็ต้องแย่งเป็นเค้กก้อนใหญ่ ถูกไหม ถ้าคนนั้นได้ ผมเสีย แต่ถ้าเราขยายขนาดขนมเค้ก ให้คราวนี้ผู้ใช้สิทธิสูงกว่าคราวที่แล้ว คราวก่อนคนไปเลือกตั้ง51%ถ้าคราวนี้ไปเลือกตั้ง55-56%ทุกคนก็มีสิทธิได้ คะแนนมากขึ้น เป้าหมายเรามาจากคนที่ยังไม่ได้ตัดสินใจ" ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ วิเคราะห์

         
เมื่อถามว่าปัจจัยที่ทำให้เลือกคุณชาย หมูมาจากแฟนคลับพรรคประชาธิปัตย์ มาจากคนที่เกลียดพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หรือมาจากผลงานของตัวเขาเองนั้น ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บอกว่า หลังจากเลือกตั้งผู้ว่าฯ หนก่อน ได้เคยทำโพลสำรวจคะแนนนิยมของตัวเอง ก็พบว่าครึ่งหนึ่งเลือกเพราะมาจากพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนครึ่งหนึ่งมาจากตัวคุณชายเอง และครั้งนี้ก็น่าจะเป็นไปในรูปแบบที่คล้ายคลึงกัน
         
เขาขยาย ความว่า หลังจากนี้ยังจะมีนโยบายใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มเติมเพื่อดึงดูดคนที่ยังไม่ได้ตัดสินใจให้ตัดสินใจเลือกเขามาก ขึ้น ส่วนเหตุที่ยังไม่เปิดตัวทีมงานรองผู้ว่าฯ นั้น คุณชายพูดติดตลกว่า หากรีบเปิดในวันนี้ คนที่เดินตามเวลาหาเสียงเลือกตั้ง อาจจะหนีหมด จนไม่เหลือใครเดินตามก็เป็นได้ แต่ก็ยังยืนยันว่าอำนาจในการแต่งตั้งทีมรองผู้ว่าฯ ของตัวเองมีเต็มเปี่ยม
         
"ถึง วันนั้นพี่น้องประชาชนจะมีความรู้สึกเองว่าต้องการใคร จะรู้เอง ไม่ว่าใครจะหล่อกว่าใคร ไม่ว่าใครจะพูดเก่งกว่าใคร ไม่ว่าใครจะมีกระบวนทัพที่แข็งแกร่งกว่าใคร ถึงวันนั้นเขาจะรู้เอง ผมเชื่อว่าเขาต้องการได้ของจริง ของที่ใช้ได้ทันที"ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ กล่าว
         
ไม่หวั่นดีเอสไอชี้มูล
         
4ปี ที่ผ่านมาของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ นั้น ไม่ได้จบอย่างสวยหรูนักเพราะในปีสุดท้ายคุณชายสุขุมพันธุ์ รวมถึงข้าราชการระดับสูงของกทม.ถูกชะนักติดหลัง เนื่องจากโดนกรมสอบสวนคดีพิเศษชี้มูลความผิด กรณีต่อสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าบีทีเอสให้กับบริษัทออกไปอีก30ปี อย่างไรก็ตาม คุณชายหมูชี้แจงว่า หากเขาได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯ สมัยที่2คดีนี้จะไม่กระทบจนเป็นเหตุให้ต้องลาออกเหมือนอดีตผู้ว่าฯ อภิรักษ์ แน่นอน
         
"ไม่เหมือนกันเลย กรณีรถดับเพลิงนั้นองค์กรที่ตรวจสอบคือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)
มี อำนาจเต็ม และใช้เวลาถึง4ปีในการตรวจสอบ จึงถือว่าได้ทำอย่างรอบคอบแล้ว และ ป.ป.ช.ก็ชี้มูลว่าไม่ทุจริตส่วนกรณีบีทีเอสนั้น องค์กรที่ตรวจสอบคือดีเอสไอ ก็ไม่มีอำนาจและทำคดีรวบรัดมาก ไม่เคยนำข้อโต้แย้งที่ส่งไปมาพิจารณา และไม่มีการสืบพยานบุคคล และไม่มีการชี้มูลทุจริต เป็นการทำเกินอำนาจหน้าที่ชัดเจน"
         
ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ บอกอีกว่า การทำสัญญาว่าจ้างระยะยาว30ปีนั้น ถือเป็นประโยชน์ เพราะสามารถประหยัดค่าว่าจ้างได้ประมาณ6,000ล้านบาท นอกจากนี้ยังทำให้ทุกฝ่ายสามารถวางแผนได้ เช่นบีทีเอส สามารถวางแผนเรื่องการลงทุนซื้อรถมาเพิ่มรวมถึงลงทุนด้านความปลอดภัย และ กทม.เองก็สามารถวางแผนระยะยาวได้เพราะรู้ล่วงหน้าว่ารายได้ที่เข้ามาเป็น เท่าไรนอกจากนี้ เมื่อสัมปทานสิ้นสุดลงอีก30ปีข้างหน้า ผู้ว่าฯ กทม.เองก็สามารถกำหนดราคาหรือให้ฟรีได้
         
ไม่เจ็บ1ปี....ได้ทันที1พันบาท
        

 แม้ "สุขุมพันธุ์" จะยอมรับว่าไม่ถนัดที่จะออกนโยบายประชานิยม "แบบฮาร์ดเซล-ขายตรง"และรู้สึกหนักใจหากต้องใช้นโยบาย ลด แลก แจกแถม อย่างที่ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.รายอื่นใช้เนื่องจากถ้าไม่สามารถทำได้จริงและกลับยิ่งสร้างความเสียหาย ขึ้นในอนาคต
         
อย่างไรก็ตาม หากพิเคราะห์นโยบายของผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. พรรคประชาธิปัตย์ แล้วสรุปความว่ามีความเป็น "ประชานิยม" อยู่ ก็ดูไม่เกินความจริงเท่าใดนัก
         
นโยบาย ที่น่าจะถูกใจประชาชน ม.ร.ว.สุขุมพันธ์บอกว่า เป็น "โครงการไม่ป่วยเราดูแล"  โดยจะคืนเงินให้ประชาชนรายละ 1,000 บาท หากสุขภาพแข็งแรงตลอดปี เพราะที่ผ่านมาพบว่า
         
กทม.ต้องสูญ เสียงบประมาณค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลเป็นจำนวนมหาศาล เฉลี่ยให้บริการปีละ 1.2 ล้านครั้ง ครั้งละ 2,000 บาท นั่นหมายความว่า หากสามารถทำให้ประชาชนไม่ป่วยได้ ก็จะเหลือเงินไปพัฒนาด้านอื่นๆได้อีก
         
"ทุกๆ สิ้นปีจะมีการให้บริการตรวจสุขภาพอย่างครบวงจรฟรีที่โรงพยาบาลสังกัด กทม. อาทิตรวจมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม หากพบว่าไม่ป่วยก็จะจ่ายเงินให้คนละ1,000 บาท หากปีต่อไปยังคงไม่ป่วยก็อุดหนุนเพิ่มขึ้นอีก 1,000 บาท"
         
คุณ ชายสุขุมพันธุ์ อธิบายว่า โครงการนี้จะทำให้งบประมาณด้านการดูแลสุขภาพใน กทม.ประหยัดลง รวมถึงสามารถจูงใจให้คนที่ใช้โรงพยาบาลสังกัด กทม.กว่าปีละ 6 แสนคน ให้ดูแลสุขภาพมากขึ้น โดยเบื้องต้นตั้งงบไว้ปีละ1,000 ล้านบาท แต่หากคน กทม.ไม่ป่วยสักครึ่งหนึ่ง หรือ 3 แสนคน กทม.ก็จะเสียงบประมาณจุดนี้ไปแค่ 300 ล้านบาทเท่านั้น  นอกจากเรื่องนี้การดูแลผู้สูงอายุอย่างครบวงจรก็เป็นหนึ่งในนโยบายของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ที่นำเสนอกวาดคะแนนเสียง
         
นั่นเพราะใน อีก 20 ปีข้างหน้า สัดส่วนผู้สูงอายุใน กทม.จะเป็น 25% ของประชากรทั้งหมด ดังนั้นการเตรียมความพร้อมตั้งแต่ขณะนี้จึงเป็นสิ่งจำเป็น คุณชายสุขุมพันธุ์ บอกว่า ที่ผ่านมาได้สร้างโรงพยาบาลบางขุนเทียน ซึ่งเป็นโรงพยาบาลสำหรับดูแลผู้สูงอายุโดยเฉพาะไว้แล้ว หากได้รับเลือกตั้งก็จะต่อยอดทั้งระบบได้
         
เขา อธิบายว่า จากนี้จะสร้าง Aging Community เป็นที่พักอาศัยผู้สูงอายุ ซึ่งจะมีการสร้างสังคมย่อยๆ ให้อยู่อาศัยร่วมกัน โดยที่ตั้งจะใช้พื้นที่ 30 ไร่ ทำเลอยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลขณะเดียวกันจะพัฒนาโรงพยาบาลทุกแห่งในสังกัด กทม.ให้ดูแลผู้สูงอายุอย่างเข้มแข็งมากขึ้น
         
นอกจากนี้ เตรียมปรับศูนย์บริการสาธารณสุขในสังกัด กทม.อีก 68 แห่ง เพื่อยกระดับการดูแลผู้สูงอายุมากขึ้น และจัดตั้งอาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุในทุกชุมชนของ กทม.เมื่อใดก็ตามที่ปวดหัวปวดตัว ก็ไม่จำเป็นต้องนั่งแท็กซี่ไปหาหมอที่โรงพยาบาลบางขุนเทียน เพราะอาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุจะเข้ามาดูแลทันที
         
สำหรับ นโยบายเพื่อวัยรุ่นม.ร.ว.สุขุมพันธุ์บอกว่า กำลังจะเปิดตัวช่องทางอินเตอร์แอ็กทีฟระหว่าง กทม.กับประชาชนภายใต้สายด่วน 1555 เรียกว่า "อายแบงคอก" ที่แต่เดิมเป็นเพียงคอลเซ็นเตอร์จืดๆ ให้เป็นช่องทางที่วัยรุ่นและประชาชนทั่วไปโทรเข้ามาแสดงความเห็นหรือร้อง เรียนได้ผ่านสมาร์ตโฟน รวมถึงสามารถตอบกลับไปได้ด้วยว่า กทม.ได้แก้ปัญหาอะไรไปแล้วบ้าง
         
ส่วนปัญหาภูมิทัศน์ของหาบ เร่แผงลอยมีให้เห็นทั่วไป และเกิดความสุ่มเสี่ยงแก่สวัสดิภาพของคนเดินถนน คุณชาย บอกว่า หาบเร่แผงลอยเป็นเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของ กทม.ที่ทำให้ชนะรางวัลเป็นเมืองน่าท่องเที่ยวที่สุดในโลก 3 ครั้งติดกัน ซึ่งคงไม่สามารถไปแปรเปลี่ยนอะไรได้
         
สำหรับด้านสิ่งแวด ล้อม คุณชายสุขุมพันธุ์ ให้ความสำคัญกับการเพิ่มพื้นที่สีเขียว โดย 4 ปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น 5,022 ไร่ รวมถึงสวนสาธารณะใหญ่ 3 แห่ง มาครั้งนี้จะเสนออีก 5,000 ไร่ ไม่เน้นปริมาณแต่จะเน้นคุณภาพ ตั้งเป้าเพิ่มสวนสาธารณะขนาดใหญ่ 10 ไร่ จำนวน 13 แห่ง นอกจากนี้จะพัฒนาบริเวณคลองหลอดและคลองผดุงกรุงเกษมให้สะอาด
         
นอก จากนี้ จะมีการเพิ่มทางจักรยานขึ้นอีก 30 เส้นทาง จากเดิมซึ่งมีทั้งสิ้น 200 กิโลเมตร พร้อมทั้งจะเปิดให้ประชาชนสามารถเช่ารถจักรยานได้ที่สถานีบีทีเอส โดยจัดหาไว้ทั้งสิ้น 1 หมื่นคัน

รอยต่อ...ไม่ง้อรัฐบาล

"สุขุมพันธุ์"เชื่อว่าระบบขนส่งมวลชนแบบราง คือคำตอบการแก้ปัญหารถติด

"ปี 2554 มีข้อเสนอถึงรัฐบาลให้ลงทุนระบบขนส่งมวลชนแบบรางสายสีเทา แต่เขาไม่เอารัฐบาลบอกว่าถ้าอยากทำก็ให้ กทม.เป็นคนทำเอง ให้หาเงินเอาเอง ซึ่งผ่านมารัฐบาลสร้างระบบใหญ่ลงทุนเยอะหลายแสนล้าน แต่กลับไม่สนใจอะไรที่เล็กกว่า"
         
ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บอกว่า หากได้รับเลือกตั้ง จะจัดสร้างรถไฟฟ้ารางเบา (Light Rail) ได้ 3 เส้นทาง คือ 1.อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ-ดินแดง 2.รามคำแหง-ทองหล่อ 3.บางนา-สุวรรณภูมิ โดยเส้นทางบางนาจะมีจุดเชื่อมต่อรถไฟฟ้าบีทีเอสที่สถานีบางนา และรถไฟฟ้าสถานีวัดศรีเอี่ยม ซึ่งจะสร้างขึ้นในอนาคต
         
นอก จากนี้ จะจัดสร้างรถไฟรางเดี่ยว (Mono Rail) สายสีเทา 1 สาย เส้นทางวัชรพลลาดพร้าว-คลองเตย-สะพานพระราม 9 ระยะทางรวมกว่า 20 กิโลเมตร พื้นที่ให้บริการเกือบ200 ตารางกิโลเมตร มีประชากรประมาณ 1 ล้านคน จะนำร่องในช่วงแรก คือ วัชรพลลาดพร้าว ระยะทาง 8 กิโลเมตร
         
"ถาม ว่าทำไมถึงทำได้ เพราะ 2 ปีที่ผ่านมากทม.สามารถจัดเก็บภาษีได้สูงกว่าเป้าถึงปีละ5,000 ล้านบาท เนื่องจากเมื่อบีทีเอสขยายไปก็เกิดการก่อสร้างเพิ่ม มีภาษีโรงเรือนเพิ่ม ทั้งหมดคือรายได้ของการสร้างระบบขนส่งมวลชนของกทม.ซึ่งคุ้มค่าที่จะสร้าง"
        
 อย่างไรก็ดี นโยบายข้างต้นกว่าจะสำเร็จคงใช้เวลานาน คำถามคือ ในระยะเวลาอันใกล้ จะแก้ปัญหาจราจรได้บ้างหรือไม่
         
"วันนี้ กทม.มีรถใหม่เข้ามาเกือบล้านคันดังนั้นระยะแรกจำเป็นต้องเร่งหาสถานที่จอด ไว้รองรับ โดยต้องเป็นพื้นที่ที่ใกล้เคียงกับบีทีเอสและเอ็มอาร์ที" ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ อธิบายต่อว่า จากนี้มีแผนสร้างอุโมงค์ลอดรางรถไฟ จำนวน 5 แห่ง ประกอบด้วย 1.ศรีนครินทร์-พัฒนาการ วงเงิน 1,050 ล้านบาท 2.รามคำแหง 680 ล้านบาท 3.ราชปรารภ 512 ล้านบาท 4.เพชรบุรี 540 ล้านบาท 5.บางขุนเทียน 475 ล้านบาท
         
"คงมีคำถามว่าทำไมไม่ทำก่อนหน้านี้งบประมาณ เยอะมากครับ และผมเองไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายที่นำเสนอคราวที่แล้วส่วนจะเสร็จเมื่อ ใดนั้นคิดว่าถ้าเริ่มทำจริงๆก็คงไม่นาน"
         
นอกจากปัญหาสภาพการจราจรแล้ว อีกความคาดหวังของคนกรุงคือด้านความปลอดภัย
         
"สิ่ง ที่ทำไปเมื่อ4 ปีที่แล้ว คือติดตั้งกล้องวงจรปิด 2.4 หมื่นตัวและเชื่อมโยงสัญญาณไปยังทุก สน.และทุกสำนักงานเขต จากนี้หากได้รับการเลือกตั้งจะต่อยอดนโยบาย โดยเชื่อมต่อสัญญาณกล้อง กทม.เข้ากับกล้องเอกชนร่วม 2 แสนตัว และติดกล้องในตรอกซอกซอยอันตรายอีก 2.7 หมื่นตัวขณะเดียวกันได้ประสานความร่วมมือไปยังกองทัพบกเพื่อฝึกอาสาสมัคร ชุมชน700 คน เข้าดูแลความปลอดภัยในพื้นที่และจุดเสี่ยง"


สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : สัมภาษณ์พิเศษ ผมของจริง ใช้ได้ทันที

view