สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

ดร.ชาญวิทย์ ทำนายคดีเขาพระวิหาร ล้มรัฐบาลไม่ได้-ลุ้นศาลโลกเจ๊ากับเจ๊ง

"ดร.ชาญวิทย์" ทำนายคดีเขาพระวิหาร ล้มรัฐบาลไม่ได้-ลุ้นศาลโลกเจ๊ากับเจ๊ง

จากประชาชาติธุรกิจ

การเมืองในประเทศถูกแทรกวาระด้วยการเมืองร้อนระหว่างประเทศ เป็นการเมืองระหว่างประเทศที่มีคู่กรณีคือไทยกับกัมพูชา

 

เป็นกรณีพิพาทเรื่องปราสาทพระวิหารและพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร ที่กินเวลายาวนานถึง 51 ปี

เรื่อง ราวทั้งหมดเกิดขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2505 เมื่อศาลโลก ประกอบด้วยผู้พิพากษา 12 ชีวิต จาก 12 ประเทศ มีมติ 9 (โปแลนด์ ปานามา ฝรั่งเศส สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อังกฤษ สหภาพโซเวียต ญี่ปุ่น เปรู และอิตาลี) ต่อ 3 (อาร์เจนตินา จีน และออสเตรเลีย) ตัดสินให้ตัวปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา

แต่ก็ไม่ได้ชี้ขาดว่าพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบตัวปราสาทนั้นใครเป็นเจ้าของ

แม้นับจากนั้น ความขัดแย้งของทั้ง 2 ประเทศจะถูก "พัก" ไว้เป็นสิบ ๆ ปี

นโยบาย "เปลี่ยนสนามรบ ให้เป็นสนามการค้า" ในยุค "พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ" เป็นนายกฯ สามารถพลิกวิกฤตความสัมพันธ์ มาเป็นผูกมิตรกับกัมพูชา เน้นประโยชน์ด้านเศรษฐกิจ การลงทุน มากกว่าก่อไฟสงครามและความขัดแย้ง

สถานการณ์ เงียบสงบยาวนานกว่า 18 ปี กระทั่งปี 2549 สมัยรัฐบาล "พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์" กัมพูชาพยายามขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารพร้อมพื้นที่โดยรอบ 4.6 ตารางกิโลเมตร ให้เป็นมรดกโลก

รัฐบาลจึงใช้สิทธิ์โต้แย้ง ทำให้คณะกรรมการมรดกโลกยอมให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาทเท่านั้น

แต่ พอมาถึงรัฐบาล "สมัคร สุนทรเวช" ที่ไม่ได้คัดค้านการขึ้นทะเบียนของกัมพูชา แต่กลับออกแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ที่แสดงการยอมรับว่า พื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร ไม่ใช่ของกัมพูชาฝ่ายเดียว พร้อมยอมเลื่อนจุดปักเขตแดนอีก 3 กิโลเมตร จนถูกทักท้วงว่าสุ่มเสี่ยง อาจทำให้ไทยเสียดินแดน

นับจากนั้นการเมืองระหว่างประเทศก็ถูกจุด ชนวนขึ้นมา ทั้งจากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ทั้งจากพรรคประชาธิปัตย์ บีบให้รัฐบาลสมัครต้องรับผิดชอบ จนทำให้ "นพดล ปัทมะ" รมว.ต่างประเทศ ต้องประกาศลาออกจากตำแหน่ง

และเมื่อการเมือง ยุครัฐบาล "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" อันถือว่าเป็นไม้เบื่อไม้เมากับกัมพูชา ขึ้นบริหารประเทศ รัฐบาลไทยก็ใช้สิทธิคัดค้านแผนบริหารตัวปราสาทของกัมพูชา

จน ทำให้ทั้งสองฝ่ายใช้กำลังทหารรบราฟาดฟันกัน เป็นเหตุให้กัมพูชานำชนวนความขัดแย้งดังกล่าวยื่นเรื่องให้ศาลโลกตีความว่า ใครเป็นเจ้าของพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร

โดยที่ศาลโลกจะนัด คู่กรณีทั้ง 2 ฝ่ายแถลงคำให้การเพิ่มเติมต่อศาลในวันที่ 15-19 เมษายน และศาลจะนัดอ่านคำตัดสินราวเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2556

ซึ่ง "สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล" รมว.ต่างประเทศ คนปัจจุบัน ออกมายอมรับว่า คดีที่น่าหนักใจมาก มีแต่ "เสมอตัว" กับ "แพ้"

"ถ้าแพ้ก็เสียดินแดน ถ้าหากเสมอตัวก็คงคำพิพากษาปี 2505 เอาไว้ คือปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา พื้นที่รอบปราสาทเป็นของไทย"

ความ คิด "สุรพงษ์" สอดคล้องกับความคิด "ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ" อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้คร่ำหวอดกับงานวิชาการด้านประวัติศาสตร์มาทั้งชีวิต

"ดร.ชาญวิทย์" ยอมรับกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ท่าทีของศาลโลกน่าวิตก มีเพียง 2 แนวทางเท่านั้น คือ "เจ๊า" กับ "เจ๊ง" เท่านั้น

1.ถ้าเรามองโลกในแง่ดี ศาลโลกออกมาในลักษณะที่ไม่มีอำนาจวินิจฉัย ให้ไปตกลงกันเอง

2.ศาล วินิจฉัยให้กัมพูชาชนะ ยึดเอาตามแผนที่อัตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน ที่ทำขึ้นโดยฝรั่งเศสร่วมกับสยาม ซึ่งจะทำให้พื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร ตกไปอยู่ในมือของกัมพูชา

อดีตอธิการบดี ม.ธรรมศาสตร์ แนะทางออกให้รัฐบาล หากผลออกมา "เจ๊ง" ทางออกระยะยาวให้ดูการแก้ปัญหาของน้ำตก "อีกวาซู" ของประเทศบราซิลและอาร์เจนตินา หรือปัญหาหอระฆังยุโรประหว่างประเทศเบลเยียมกับฝรั่งเศส ที่ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกร่วมกัน ไม่ต้องคิดถึงเรื่องพรมแดน

"ถ้า มัววัดเส้นปักปันเขตแดน เผลอ ๆ ต้องรบกันไปอีกนาน แต่ถ้าทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ให้ทั้งตัวปราสาทและธรรมชาติเป็นมรดกโลกร่วมกัน น่าจะเป็นทางออกที่ peace not war"

ส่วนปฏิกิริยาเชิงลบ หากรัฐบาลตกม้าตายพ่ายแพ้บนศาลโลก ซ้ำรอยปี 2505 "ดร.ชาญวิทย์" วิเคราะห์ว่า กลุ่มชาตินิยมอย่างพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จะถูกปลุกขึ้นมาเพื่อขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์อีกครั้ง แต่เชื่อว่าไม่สามารถล้มรัฐบาลได้สำเร็จ เหมือนที่ทำกับรัฐบาลสมัครและรัฐบาลสมชาย

"คิดว่ามีคนจำนวนหนึ่งรอ ดูสถานการณ์ว่าจะทำอย่างไร แต่ผมคิดว่าทหารไม่เล่นด้วย ถ้าดูฝ่ายนายทุนนักธุรกิจไม่เล่นด้วย เพราะเราได้เปรียบดุลการค้ากับกัมพูชาเป็นพันล้านบาทต่อปี ดังนั้น เมื่อกลุ่มที่ชุมนุมไม่มีนายทุน จะชุมนุมยาว ๆ ใหญ่ ๆ ไม่ได้ จึงไม่มีผลต่อรัฐบาล เพราะรัฐบาลทำตามหน้าที่แล้ว"

นอกจากนี้ เขาเชื่อว่าเกมที่รัฐบาลไม่เปลี่ยน "ทีมกฎหมาย" สู้คดีในศาลโลก โดยใช้ชุดเดียวกับรัฐบาลอภิสิทธิ์ รวมถึงการออกมายอมรับของ "สุรพงษ์" รมว.ต่างประเทศ ว่ามีแต่เสมอตัวกับแพ้ ถือเป็นกลยุทธ์ที่ฉลาด

"ผม เชื่อว่ายิ่งลักษณ์กับสุรพงษ์เล่นเกม งานนี้รัฐบาลออกมาทำเหมือนจะแพ้  แปลว่าเผื่อทางออกให้ตัวเอง บอกแล้วว่าจะแพ้ ต่างจากปี 2505 ที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกฯ บอกว่าชนะ 500 เปอร์เซ็นต์ว่าชนะ พอแพ้จึงทำให้คนไทยช็อก ส่วนการที่รัฐบาลไม่เปลี่ยนทีมกฎหมาย ใช้ทีมเก่าของรัฐบาลอภิสิทธิ์ ก็ถือว่าเป็นเกมที่ฉลาดพอสมควร ถ้าผลเป็นแพ้ ก็จะบอกว่าเป็นทีมที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ตั้งขึ้นมา"

"ดร.ชาญวิทย์" ยังฉายภาพการเมืองในอดีตของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ผูกมัดให้พรรคประชาธิปัตย์ในยุคปัจจุบันต้องออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลยิ่ง ลักษณ์ ชินวัตร เอาจริงเอาจังกับการสู้คดีในศาลโลกว่า เป็นเพราะคนระดับตำนานของพรรคประชาธิปัตย์ 2 คน คือ "ควง อภัยวงศ์" หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนแรก และ "ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช" อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เกี่ยวข้องกับความพ่ายแพ้บนศาลโลก เมื่อปี 2505

"ควง คือส่วนหนึ่งของการยึดดินแดนเสียมราฐและพระตะบอง แล้วเปลี่ยนชื่อเป็นจังหวัดพิบูลสงคราม เพราะควงเป็นลูกของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์) เป็นเจ้าเมืองพระตะบองคนสุดท้าย ก่อนยกดินแดนให้กับฝรั่งเศส ทำให้เรื่องนี้พรรคประชาธิปัตย์ยอมไม่ได้ และถ้ายอมก็แปลว่าเป็นความผิดของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ที่ตอน พ.ศ. 2505 ทำหน้าที่เป็นทนายความ เขาบอกคนไทยว่าจะชนะ 500 เปอร์เซ็นต์"

อย่างไรก็ตาม หากมองย้อนไปในประวัติศาสตร์ถึงที่มา-ที่ไปทั้งหมด เกิดขึ้นในยุคที่ฝรั่งเศสเข้ามาล่าอาณานิคมแถบอินโดจีน ยึดฝ่ายซ้ายของไทย คือ ลาว กัมพูชา เวียดนาม ในปัจจุบันให้เป็น "อินโดจีนฝรั่งเศส"

วัน หนึ่งในปีรัตนโกสินทร์ศก 112 ชาติฝรั่งเศสส่งเรือรบ 2 ลำ ฝ่าป้อมพระจุลที่เมืองปากน้ำ หันปากกระบอกปืนขู่จะยิง "วังหลวง" พร้อมทั้งส่งกองกำลังทหารยึดเมืองจันทบุรีและเมืองด่านซ้าย (จ.เลย) ไว้ในครอบครอง

จนกระทั่ง พ.ศ. 2450 รัชกาลที่ 5 จึงได้ยินยอมลงนามสัญญากับประธานาธิบดีฝรั่งเศส ยกดินแดนเสียมเรียบ พระตะบอง และศรีโสภณให้กับฝรั่งเศส เพื่อให้คืนเมืองจันทบุรีในปี 2447 รวมถึงแลกตราดและด่านซ้ายกลับคืนมา

ซึ่งในสัญญาดังกล่าวกำหนดให้มี การปักปันเส้นเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีนฝรั่งเศส ทั้งนี้ คณะกรรมการร่วมปักปันฝ่ายฝรั่งเศส นำโดย "พันตรีแบร์นาร์ด" ขณะที่ "ฝ่ายสยาม" ส่งบุคคลระดับพระน้ำพระยาเข้าเป็นคณะกรรมการ เช่น พลตรีหม่อมชาติเดชอุดมกับพลเอกเจ้าพระยาวงษานุประพัทธ์

ต่อมา ฝรั่งเศสได้จัดทำแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน ซึ่งขีดเส้นตัวปราสาทพระวิหารว่าเป็นส่วนหนึ่งของกัมพูชาให้แก่ฝ่ายสยาม แต่ยังไม่ทันที่แผนที่ดังกล่าวได้รับการรับรอง คณะกรรมการดังกล่าวกลับสลายตัวไปก่อนที่แผนที่ชุดดังกล่าวจะจัดพิมพ์เสร็จ การปักปันเขตแดนจึงยังเป็นเรื่อง "ค้างคา"

แม้การปักปันเขตแดนยัง ไม่จบสิ้นอย่างเป็นทางการ แต่ "สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ" ซึ่งเป็นอภิรัฐมนตรีในรัชกาลที่ 7 ได้ทรงขออนุญาตฝรั่งเศสอย่างเป็นทางการ เพื่อขึ้นไปทอดพระเนตรปราสาทพระวิหาร ที่อยู่ภายใต้ธงฝรั่งเศส จึงเท่ากับเป็นการยอมรับว่าปราสาทเขาพระวิหารเป็นของฝรั่งเศสแล้ว

สถานการณ์ ล่วงเลยถึงยุคหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 กระทั่งการเมืองเข้าสู่ยุคจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ในปี 2482 มีการชูลัทธิ "ชาตินิยม" เปลี่ยนชื่อจากประเทศสยาม เป็นประเทศไทย พร้อมกับจุดกระแสเรียกร้องดินแดน "มณฑลบูรพา" และ "ดินแดนฝ่ายซ้ายของแม่น้ำโขง" คืนจากฝรั่งเศส

ชนวนดังกล่าวก่อให้ เกิดการรบพุ่งระหว่างฝรั่งเศสกับไทย ในปี พ.ศ. 2483 อันเป็นเวลาเดียวกับที่สงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มปะทุในสมรภูมิยุโรป

ฝรั่งเศสเวลานั้นอยู่ในสภาพสะบักสะบอม เพราะถูกเยอรมนีภายใต้การนำของ "อดอล์ฟ ฮิตเลอร์" ยกทัพนาซีเข้ายึดครองกรุงปารีสได้สำเร็จ

ขณะ ที่ไทยก็ฉวยโอกาสส่งกองกำลังทหารรุกข้ามพรมแดนไปยังกัมพูชาและลาว ในวันที่ 5 มกราคม 2483 สุดท้ายสงครามยุติลงด้วยการไกล่เกลี่ยของประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 28 มกราคม ปีเดียวกัน

โดยฝรั่งเศสและไทยลงนามสงบศึกใน สนธิสัญญาโตกิโอ ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ส่งผลให้ไทยได้ดินแดนฝั่งขวาของแม่น้ำโขงคืน คือเสียมเรียบ จำปาศักดิ์ ศรีโสภณ พระตะบอง และดินแดนในกัมพูชาคืน จากฝรั่งเศส

รัฐบาลจอมพล ป.นำดินแดนที่ได้รับคืนมาแบ่งเป็น 4 จังหวัด คือจังหวัดพระตะบอง จังหวัดพิบูลสงคราม จังหวัดนครจำปาศักดิ์ และจังหวัดลานช้าง

แต่หลัง จากสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง "ญี่ปุ่น" กลายเป็นฝ่ายปราชัย พ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ส่วน "จอมพล ป." ถูกจับข้อหาเป็นอาชญากรสงคราม ทำให้รัฐบาล "ปรีดี พนมยงค์" ที่เข้ามาบริหารประเทศในช่วงหลังสงครามยุติ ได้คืนดินแดนที่รัฐบาลจอมพล ป.ยึดมาทั้งหมดคืนให้แก่ฝรั่งเศส ตามสนธิสัญญาวอชิงตัน เพื่อแลกกับไทยไม่ต้องตกเป็นฝ่ายแพ้สงคราม

แต่การเมืองไทยพลิกผัน อีกครั้งในปี พ.ศ. 2490 คณะรัฐประหารภายใต้การนำของ "พล.ท.ผิน ชุณหะวัณ" ได้ยึดอำนาจรัฐบาล "พล.ร.ต.ถวัลย์ ธำรงนาสวัสดิ์" พร้อมกับเชิญ "ควง อภัยวงศ์" หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี

แม้ไทยจะ คืนดินแดนและตัวปราสาทพระวิหารคืนให้แก่ฝรั่งเศสไปตั้งแต่รัฐบาลปรีดีเข้า บริหารประเทศ แต่หลังการยึดอำนาจ 2490 รัฐบาล "ควง" และ "พล.ท.ผิณ" ได้ลักลอบส่งทหารไทยขึ้นไปปักธงชาติไทยอยู่ในบริเวณดังกล่าวอีกครั้ง

6 ปีต่อมาหลังจากฝรั่งเศสคืนเอกราชให้กัมพูชา ในปี 2496 "พระเจ้านโรดมสีหนุ" ก็ยื่นฟ้องต่อศาลโลก ในปี พ.ศ. 2502 ให้ตีความว่าปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชาหรือไทย

ที่สุดศาลโลกมีมติ 9 ต่อ 3 ให้ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา

เป็นปฐมบทของข้อพิพาทไทย-กัมพูชา อันกินเวลามา 51 ปี

เป็น 51 ปีที่ศาลโลกจะตัดสินอีกครั้งว่าไทยจะเสียดินแดนเป็นครั้งที่ 15 หรือไม่


“คำนูณ” จี้รัฐหยุดแพร่เอกสาร “ปมพระวิหาร” นิยามสันปันน้ำผิด-กระทบเขตแดน

จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์

ส.ว.สรรหา เรียกร้องรัฐบาลในที่ประชุมสภาหยุดแพร่เอกสาร “50 ปี 50 ประเด็น ถามตอบกรณีปราสาทพระวิหาร” หวั่นกระทบต่อเขตแดนของไทย พร้อมนำกลับมาแก้ไขใหม่ให้สมบูรณ์ ชี้ กต.กลับคำไม่ยืนยันเส้นเขตแดนตามที่เคยต่อสู้ไว้ในอดีตไม่ได้
       
       วันนี้ (4 ก.พ.) ในการประชุมวุฒิสภา ซึ่งมีนายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา เป็นประธานการประชุม ก่อนเข้าสู่วาระได้เปิดโอกาสให้เพื่อนสมาชิกหารือ นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา หารือในที่ประชุมวุฒิสภา โดยเรียกร้องให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกฯ และ รมว.ต่างประเทศ ยุติการเผยแพร่เอกสาร 50 ปี 50 ประเด็น ถามตอบกรณีปราสาทพระวิหาร และนำกลับมาแก้ไขใหม่ให้เกิดความสมบูรณ์ เนื่องจากพบประเด็นที่ผิดพลาด โดยเฉพาะบทนิยามศัพท์คำว่า “สันปันน้ำ”
       
       ทั้งนี้ ในเอกสารดังกล่าว กระทรวงการต่างประเทศให้คำนิยามไว้ว่า “สันปันน้ำ คือ แนวสันต่อเนื่องในภูมิประเทศ เมื่อฝนตกจะแบ่งน้ำเป็น 2 ส่วน ซึ่งอาจไม่ใช่สันเขา หรือขอบหน้าผาก็ได้ โดยปกติต้องใช้เครื่องมือทางเทคนิคพิสูจน์หาสันปันน้ำ ทั้งนี้ ตรงบริเวณปราสาทพระวิหารจนถึงบัดนี้ยังไม่เคยมีการสำรวจหาสันปันน้ำใน ภูมิประเทศจริง” ซึ่งเป็นข้อมูลที่ผิดจากความเป็นจริง
       
       นายคำนูณกล่าวต่อว่า เมื่อปี 2504-2505 ที่มีการต่อสู้ในคดีปราสาทพระวิหาร ฝ่ายไทยต่อสู้อย่างหนักว่า เส้นเขตแดนไทย-กัมพูชาอยู่ที่สันปันน้ำ ตามข้อบทอนุสัญญา ค.ศ. 1904 และสันปันน้ำอยูที่หน้าผา ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ยุติมาตั้งแต่คณะกรรมการผสมไทย-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1904-1907 แล้ว โดยสามารถตรวจสอบได้จากเอกสารคำให้การของฝ่ายไทยที่ยื่นเมื่อ 29 ก.ย. 2504 และเอกสารคำติงของฝ่ายไทยที่ยื่นเมื่อ 2 ก.พ. 2505 ลงนามโดยหม่อมเจ้าวงษ์มหิป ชยางกูร ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศจะกลับคำไม่ยืนยันเส้นเขตแดนตามที่เคยต่อสู้ไว้ใน อดีตไม่ได้ จึงเรียกร้องให้กระทรวงการต่างประเทศแก้ไขข้อมูลในเอกสารดังกล่าวด้วย เนื่องจากอาจกระทบต่อเขตแดนของไทย
       
       “แม้ว่าศาลจะใม่ชี้ขาดในประเด็นนี้ แต่ศาลไม่ได้ชี้ขาดว่าเส้นเขตแดนให้เป็นไปตามแผนที่ที่ประเทศกัมพูชาเสนอ ดังนั้น กรณีที่กระทรวงการต่างประเทศกลับคำของตัวเอง ณ เวลาผ่านไป 51 ปี โดยไม่ยืนยันในเส้นเขตแดนของตัวเอง จึงเป็นผลกระทบอย่างใหญ่หลวงในประเด็นเขตแดนไทย-กัมพูชา ช่วง 195 กม.จากช่องบก จ.อุบลราชธานี ถึงช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ ที่ยังไม่มีการปักหลักเขตแดนไว้” นายคำนูณกล่าว


คำนูณจี้รัฐเลิกแพร่เอกสารสู้คดีพระวิหาร

จาก โพสต์ทูเดย์

"คำนูณ"จี้ รัฐบาลเลิกเผยแพร่เอกสารสู้คดีพระวิหาร เหตุให้คำนิยาม “สันปันน้ำ” ไม่ถูกหลัก หวั่นเสียหายระยะยาว

นายคำนูณ สิทธิสมาน สว.สรรหา กล่าวระหว่างการประชุมวุฒิสภาว่า อยากให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ ให้ยุติการเผยแพร่เอกสาร 50 ปี 50 ประเด็น ถาม-ตอบปราสาทพระวิหาร ไว้ก่อนและนำกลับไปแก้ไขเพื่อความถูกต้องสมบูรณ์ ก่อนนำมาเผยแพร่ เพราะยังมีข้อผิดพลาดในบางประเด็น  โดยเฉพาะตอนที่สำคัญอย่างยิ่งคือ บทนิยามของคำว่าสันปันน้ำ

นายคำนูณกล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศให้นิยามไปว่า สันปันน้ำ คือ แนวสันต่อเนื่องในภูมิประเทศ เมื่อฝนตกจะแบ่งน้ำเป็น 2 ส่วน ซึ่งอาจไม่ใช่สันเขา หรือขอบหน้าผาก็ได้ ซึ่งตรงบริเวณปราสาทพระวิหาร จนถึงบัดนี้ ไม่เคยมีการสำรวจหาสันปันน้ำในภูมิประเทศจริง จึงเป็นข้อมูลที่ผิดกับความเป็นจริง เพราะคดีปราสาทพระวิหารภาคแรก เมื่อปีพ.ศ. 2505 ประเทศไทยต่อสู้อย่างหนักว่าเขตแดนกัมพูชาอยู่ที่สันปันน้ำตามข้อบทอนุสัญญา ค.ศ.1904 เป็นสันปันน้ำอยู่ที่หน้าผา แต่ศาลไม่ได้ชี้ขาดในประเด็นนี้ตามแผนที่ที่ทางกัมพูชาเสนอ

"เพราะฉะนั้น เมื่อเวลาผ่านไป 51 ปี กระทรวงการต่างประเทศกลับคำของตัวเอง ไม่ยืนยันในเส้นเขตแดนของตัวเอง จึงเป็นผลกระทบอย่างใหญ่หลวงในประเด็นเขตแดนไทยกัมพูชา ในช่วง 195  กิโลเมตร จากบริเวณช่องบก จ.อุบลราชธานี จนถึงช่องสะงำ จ.ศรีษะเกษ ที่ไม่ได้มีการปักหลักเขตแดนไว้"นายคำนูณ กล่าว


กต.แจงกรณี'คำนูณ' แย้งนิยาม'สันปันน้ำ'

อธิบดีกรมสนธิสัญญาฯ แจงกรณี"คำนูณ"แย้งนิยาม"สันปันน้ำ" ยันกต.เสนอข้อมูลถูกต้อง ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ

นายวรเดช วีระเมคิน อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กล่าวว่า กรณีที่นายคำนูณ สิทธิสมาน สว.สรรหา เรียกร้องให้กระทรวงการต่างประเทศ ยุติการนำเสนอข้อมูล “50 ปี 50 ประเด็นถามตอบกรณีปราสาทพระวิหาร”เนื่องจากให้คำนิยาม “สันปันน้ำ” ไม่ถูกต้องนั้น ยืนยันว่า เรื่องดังกล่าวใด้ดำเนินการอย่างถูกต้องตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ส่วนกรณีที่ยังไม่มีการสำรวจหาสันปันน้ำในภูมิประเทศของพื้นที่บริเวณนั้น เนื่องจากที่ประชุมคณะกรรมการเขตแดนร่วม (เจบีซี) ยังไม่เคยดำเนินการพิสูจน์ทราบทางวิทยาศาสตร์ในเรื่องดังกล่าว


สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

จากประชาชาติธุรกิจ

สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : ดร.ชาญวิทย์ ทำนาย คดีเขาพระวิหาร ล้มรัฐบาลไม่ได้ ลุ้นศาลโลก เจ๊ากับเจ๊ง

view