สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

เปิดใจ จรัมพร หลังศึกหุ้นแดงเดือด ชำแหละปัจจัยเสี่ยง-อนาคตหุ้นไทย

จากประชาชาติธุรกิจ

หลังจากตลาดหุ้นไทยผ่านศึกวันแดงเดือดสัปดาห์ที่ผ่านมา(18-22 มี.ค.) เรียกได้ว่าเป็น 5 วันแห่งความผันผวนที่ดัชนีดิ่งลงอย่างรุนแรง จากระดับ 1,591.65 จุด มาปิดที่ 1,478.97 จุด หรือลดลงถึง 112.68 จุด ทั้งยังทำให้มาร์เก็ตแคปหายไปเกือบ 1 ล้านล้านบาท "ประชาชาติธุรกิจ" ได้สัมภาษณ์พิเศษ "จรัมพร โชติกเสถียร" กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นและอนาคตตลาดหุ้นไทย

- ประเมินภาพรวมตลาดหุ้นไทยอย่างไร

ภาพรวมตลาดหุ้นของเรายังคงมีปัจจัยพื้นฐานที่ค่อนข้างดีสังเกตได้จากอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิปี"55 ที่สูงเป็นประวัติการณ์กว่า 7.26 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.67% และระดับราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น (พีอี) ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ก็น่าพึงพอใจ อยู่ที่ประมาณ 14.2 เท่า ซึ่งใกล้เคียงกับสิงคโปร์ มาเลเซีย สิงคโปร์ ไต้หวัน อินโดนีเซีย ต่างจากสมัยก่อนที่ไทยจะแพ้ประเทศเพื่อนบ้านประมาณ 2 จุด ดังนั้นตอนนี้ต้องเรียกได้ว่าเรากับเพื่อนบ้านมีความสำคัญเท่ากันแล้ว

อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าการปรับตัวขึ้นของดัชนีก็ทำให้อัตราเงินปันผลของตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงเหลือ 2.6% จากก่อนหน้านี้เป็นผู้นำจ่ายปันผลเฉลี่ยสูงถึง 3.6-3.7% แต่ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ว่าเวลาหุ้นโตแรง ๆ การจ่ายเงินปันผลคงไม่ใช่ปัจจัยหลัก

นอกจากนี้ตลาดหุ้นไทยยังมีความโดดเด่นในแง่มุมอื่นคือ ด้านปริมาณซื้อขายในปีก่อนก็ชนะตลาดหุ้นสิงคโปร์เป็นที่ 1 ในภูมิภาคแล้ว ขณะที่ปีนี้เรามีวอลุ่มเฉลี่ยสูงกว่าถึง 20% และวอลุ่มการซื้อขายเกิน 10 ล้านเหรียญต่อวัน อีกทั้งมีหุ้นคุณภาพที่มีมาร์เก็ตแคปเกิน 1 พันล้านเหรียญ เหมาะสำหรับกองทุนและนักลงทุนขนาดใหญ่ทั่วโลก ถึง 33 บริษัท เรียกได้ว่ามากสุดในภูมิภาค สูงกว่าสิงคโปร์ที่มี 25 บริษัท ดังนั้นตลาดเราจึงมีทั้งสภาพคล่องสูงและมีหุ้นคุณภาพด้วย

- ตลาดหุ้นตกรุนแรงในสัปดาห์ที่ผ่านมาน่ากังวลหรือไม่

สถานการณ์หุ้นตกมากในสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมว่าเพราะเป็นช่วงใกล้เทศกาลวันหยุดของทั้งฮ่องกง ญี่ปุ่น และไทยกำลังจะมีวันหยุดสงกรานต์ ขณะที่ตลาดที่กำไรสูงมาก เช่นตลาดไทยปีนี้ปีเดียวขึ้นไป 15% คนที่ถือไว้ก็ต้องหาจังหวะขาย ใครถือตั้งแต่ปีก่อนก็น่าจะได้กำไรสูงถึง 55% เพราะฉะนั้นก็เป็นการหาจังหวะทำกำไรอยู่แล้ว อีกทั้งรอบที่ผ่านมามีข่าวลือผสมกันหลายข่าว นักลงทุนก็เลยบอกว่าขายเถอะ จึงเกิดแรงเทขายออกมาและไม่เกี่ยวกับการที่ตลาดจะปรับหลักเกณฑ์ในการวางหลักประกันในบัญชีเงินสด (Cash Account) จากปัจจุบันอยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 15% เป็นไม่ต่ำกว่า 20% เพราะยังไม่ได้มีผลบังคับใช้ ต้องเปิดรับฟังความเห็นก่อน และถ้าใช้จริงก็ต้องประกาศล่วงหน้าให้โบรกฯเตรียมตัว

ทั้งหมดนี้ถือเป็นเรื่องปกติของตลาดหุ้น ที่มีขึ้นแล้วก็ต้องมีตกลงบ้าง มันขึ้นตลอดเวลาไม่ได้ และจังหวะนี้ก็เป็นโอกาสดีของนักลงทุนที่ถือหุ้นอยู่ให้ปรับพอร์ต ขณะที่นักลงทุนหน้าใหม่ก็ต้องดูว่าช่วงนี้น่าลงทุนหรือไม่ รวมทั้งใครที่ยังไม่ลงทุนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ก็เป็นโอกาสที่ดี ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานยังไม่เปลี่ยน

- ประเมินการปรับตัวของตลาดหุ้นในรอบนี้อย่างไร

ผมไม่เชื่อว่าตลาดจะลงนาน ผมเชื่อว่ามันเป็นเรื่องของการปรับพอร์ต พอปรับพอร์ตเสร็จแล้วก็ต้องมีคนที่ยังไม่ได้ลงทุนพร้อมจะเข้ามาซื้อ เพราะในที่สุดแล้วตลาดหุ้นต้องเข้าสู่พื้นฐาน ในเมื่อมันตกลงมาแรงกว่า 120 จุด ภายในเวลา 2-3 วัน ถ้าดูจากปัจจัยพื้นฐานของเรา ต้องถือว่ารองรับสบาย และร่วงมาขนาดนี้ผมเห็นว่าเป็นจังหวะที่ดีด้วย เพราะเมื่อมีคนขายทำกำไร ก็เป็นโอกาสให้คนอื่นได้เข้ามาลงทุนต่อ



- ปัจจัยเสี่ยงที่กังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อการลงทุนหลังจากนี้


คงมีเรื่องนักลงทุนสถาบันต่างประเทศว่าจะมีเงินทุนไหลออกหรือไม่ ซึ่งที่ผ่านมายังไม่เห็นว่ามีความรุนแรง ผมมองว่านักลงทุนต่างชาติคงยังไม่ออกจากบ้านเรา และถ้าจะออกก็คงทยอยเป็นระยะ ๆ เหมือนที่ผ่านมามีปัญหาไซปรัส ฯลฯ

แต่ในที่สุดผมมองว่ายังไงก็ต้องกลับมาภูมิภาคนี้เพราะเม็ดเงินทั่วโลกเยอะเหลือเกิน

นอกจากนี้สิ่งที่ต้องจับตา ผมเห็นว่าเป็นเรื่องของค่าเงินบาทที่เปลี่ยนแปลงเร็ว ก็ต้องดูว่าจะมีผลกระทบต่อกลุ่มผู้ส่งออกอย่างไร เพราะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯก็มี

ผู้ประกอบธุรกิจนี้ เพียงแต่จะตีขลุมว่าพอค่าเงินบาทแข็งแล้วจะกระทบกับบริษัทจดทะเบียนทั้งหมดก็ไม่ใช่ เพราะบางบริษัทก็ได้รับผลดีจากการนำเข้าเครื่องจักร นำเข้าสินค้าด้วย

อย่างไรก็ตาม เราก็ติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด โดยได้สำรวจกลุ่มบริษัทที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากค่าเงิน ซึ่งภายในสัปดาห์นี้น่าจะได้ข้อสรุป แต่เราก็คงไม่มีมาตรการอะไรออกมา เพียงแต่เราอยากรู้เพื่อนำไปประกอบข้อมูลสำหรับไปอธิบายนักลงทุนเท่านั้น

- ตลาดจะมีมาตรการสกัดความร้อนแรง หรือยกระดับการดูแลหรือไม่


มาตรการสกัดความร้อนแรงคงไม่ต้องมีไปอีกสักพัก แต่มีบางเรื่องที่ต้องทำเป็นช่วง ๆ แล้วแต่ภาวะตลาด ส่วนหลักเกณฑ์การวางหลักประกันในบัญชีเงินสด (Cash Account) หากประกาศใช้แล้ว เราก็คงไม่มีลดถอยกลับมาอีก เนื่องจากประเด็นนี้ในช่วงเริ่มแรกเราทำหย่อนไปหน่อย เป็นจังหวะที่ต้องปรับมานานแล้ว เพราะประเทศอื่นตั้งไว้ 25%

- แผนโรดโชว์เพื่อดึงดูดนักลงทุนต่างชาติในช่วงนี้

เวลาออกไปโรดโชว์จะดูบรรยากาศตลาดเราก่อน เช่น ถ้าดัชนีอยู่ในช่วง 1,400 จุดกว่า ๆ ก็คงต้องทำการตลาดแบบ Hard Sell บอกว่าตลาดเรามีหุ้นราคาถูก ถ้าเข้ามาลงทุนระยะสั้นก็กำไรแน่ ๆเพราะทั้งแนวโน้มผลประกอบการ กำไร จ่ายปันผลก็ดีหมด

แต่ถ้าตลาดกลับไป 1,600 จุดก็ต้องวาดภาพให้เขามองการลงทุนในตลาดบ้านเราเป็นแบบระยะยาว เนื่องจากในอนาคตประเทศไทยจะกลายเป็นศูนย์กลางคมนาคมของกลุ่มประเทศในอินโดจีน และกลุ่มประเทศเขตเศรษฐกิจลุ่มแม่น้ำ (Greater Mekong Subregion) โดยจะเห็นได้จากการที่รัฐบาลมีโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมการขนส่ง ดังนั้น บจ.ไทยก็จะได้รับอานิสงส์จากสิ่งที่เกิดขึ้นด้วย

โดยประเทศที่ตลาดหลักทรัพย์ฯจะเดินทางไปให้ข้อมูลหลังจากนี้ได้แก่ สวีเดน เดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ และอังกฤษ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนระยะยาวถือหุ้นเพื่อการลงทุน 3 ปีขึ้นไป

แม้ปัจจุบันกลุ่มนักลงทุนต่างชาติจะมีวอลุ่มเทรดอยู่ประมาณ 17-18% ของมูลค่ารวม แต่ในภาพรวมนักลงทุนต่างชาติยังมีสัดส่วนการถือครองหุ้นไทยอยู่ถึง 37% ตลาดหลักทรัพย์ฯจึงยังคงต้องให้ความสำคัญ

และนี่คือมุมมองของผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่พยายามสื่อสารต่อนักลงทุนให้เชื่อมั่นและลงทุนอย่างมีสติ จะได้ไม่เจ็บปวดกับสิ่งไม่คาดฝัน ซึ่งไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นอีกเมื่อไหร่


สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : เปิดใจ จรัมพร ศึกหุ้น แดงเดือด ชำแหละ ปัจจัยเสี่ยง อนาคต หุ้นไทย

view