จากประชาชาติธุรกิจ

คอลัมน์ สถานีลงทุน โดย ปริญญ์ พานิชภักดิ์

ความผันผวนของตลาดทุนใน 1-2 เดือนที่ผ่านมา ทำให้นักลงทุนหลายท่านคงจะเวียนศีรษะและคลื่นไส้พอ ๆ กับนั่งรถไฟเหาะตีลังกา ประกอบกับรสชาติความเข้มข้นของการโต้ตอบกันในเวทีการเมืองทั้งในและต่าง ประเทศ ก็ดูเหมือนจะเพิ่มรสชาติความมันส์ และสุมไฟความแตกหัก ทำให้เกิดประเด็นความไม่แน่นอนให้นักลงทุนมือโปรทั้งหลายต้องปวดหัวขึ้นอีก ตลบหนึ่ง

แท้ที่จริงแล้ว ถึงแม้ระยะสั้นเศรษฐกิจมหภาคภายในประเทศของเราอาจจะดูไม่สวยหรูนัก เนื่องจากการขาดความเชื่อมั่นจากสถานการณ์การเมือง การเติบโตที่ช้าลงของตลาดส่งออกหลัก และสภาวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก

แต่ ถ้ามองในทางกลับกัน เราควรจะใช้เวลาที่ยากลำบากและมีอุปสรรคให้เป็นโอกาสในการกล้าสร้างสรรค์ ริเริ่มทำสิ่งที่จะส่งผลดีในระยะยาวให้กับประเทศ เช่น การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ และนโยบายการเงินการคลัง รวมไปถึงการแสดงวิสัยทัศน์และสร้างความชัดเจนของโครงการการลงทุนพื้นฐานใน ระยะยาว เพราะถ้ามีเป้าหมายและการศึกษาวิเคราะห์ที่ละเอียดแล้ว

แม้ ว่าเราจะไม่มี พ.ร.บ. 2 ล้านล้านบาท เราก็ยังจะสามารถเดินหน้าลงทุนในโครงการที่มีความเร่งด่วนและสำคัญแท้จริง ได้โดยที่ไม่ต้องมารอเสี่ยงถึงโอกาสที่ว่าศาลจะต้องเข้ามาตีความหรือไม่

นัก ลงทุนต่างชาติให้ความสำคัญมากกับวินัยการเงินและการคลัง ดังนั้น การใช้เม็ดเงินของรัฐจึงเป็นที่จับตามองตลอดเวลาว่า ได้ใช้เงินไปอย่างคุ้มค่าและโปร่งใสหรือไม่ ประเทศไทยยังต้องการการลงทุนระยะยาวจากภาครัฐอีกมากในอีก 3-5 ปีข้างหน้านี้ เพื่อที่จะปรับปรุงมาตรฐานและสมรรถภาพการแข่งขันที่นับวันจะทวีคูณขึ้น

ดัง นั้น การลงทุนที่จะใช้เม็ดเงินเป็นล้านล้านบาทนั้น ควรจะมีแผนกลยุทธ์ที่กว้างและครอบคลุมในทุกมิติที่จะต้องก้าวไปพร้อมกัน เพื่อสร้างบูรณาการให้ยั่งยืนมากขึ้น

โดยการลงทุนนี้ต้องคำนึงถึง การศึกษา การวิจัย ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างทรัพยากรมนุษย์ที่จะต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นด้านการใช้ภาษาต่างประเทศ การคิดนอกกรอบ การมีศีลธรรม และคำนึงถึงการทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม ซึ่งการพัฒนาด้านนี้นั้นไม่ได้มีความสำคัญน้อยไปกว่าการพัฒนาระบบรางเลยที เดียว

อีกทั้งยังเป็นการสร้างทรัพยากรที่มีค่าเหนือกว่ามูลค่าเงิน (หรือหนี้) จะวัดได้ให้กับประเทศไทยในระยะยาว การปรับปรุงคุณภาพสังคมและธุรกิจด้านการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมอย่างมีระบบ และขั้นตอนการวางแผนที่ดี จึงเป็นจุดที่ควรคิดและถกเถียงกันมากกว่าที่จะใช้เวลากับการปฏิรูปการเมือง หรือแก้รัฐธรรมนูญ

นักลงทุนภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศไม่อยากให้ รัฐบาลใช้เวลาตรงนี้มากนัก เพราะจะมีปัญหาทางเศรษฐกิจ และนโยบายการลงทุนจากภาครัฐที่ดูจะเป็นเรื่องเร่งด่วนมากกว่า รัฐบาลเองก็มีค่าในเรื่องการเลือกใช้เวลาและใช้เม็ดเงินสำคัญไม่น้อยไปกว่า เวลาที่นักลงทุนตัดสินใจเลือกซื้อหรือลงทุนในประเทศเราก่อนประเทศเพื่อนบ้าน หรือเลือกซื้อหุ้นตัวหนึ่งก่อนของอีกบริษัทหนึ่ง การคิดค่านี้จะมีต้นทุนสูงขี้นทุกวัน

ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่การ ตัดสินใจของภาครัฐจะต้องมีความชัดเจนมากขึ้นที่จะเริ่มใช้เม็ดเงินกับ โครงการที่สำคัญ โปร่งใส และเร่งด่วนจริง ๆ ก่อน ซึ่งจะทำให้สร้างความเชื่อมั่นกับภาคเอกชนได้มากขึ้นและเมื่อนั้น ถึงแม้รัฐบาลสหรัฐจะ "Shutdown" ประเทศไทยก็พร้อมที่จะเปิดรับโอกาสลงทุนใหม่ ๆ เสมอ

สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน