สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

ศาลแพ่งสั่งยึดทรัพย์ 46 ล้าน สุพจน์ ทรัพย์ล้อม

จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์

ศาลแพ่งสั่งยึดทรัพย์ 46 ล้าน “สุพจน์ ทรัพย์ล้อม” อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม ร่ำรวยผิดปกติให้ตกเป็นของแผ่นดิน ชี้ไม่มีหลักฐานมาแสดงยืนยันที่มาที่ไปของทรัพย์สินได้
       
       เมื่อวันที่ 30 ม.ค.ที่ผ่านมา ศาลได้มีคำสั่งคดียึดทรัพย์ หมายเลขดำที่ ปช.1/2555 ทีอัยการสูงสุด ได้ยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 9 ก.พ. 2555 ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินของนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม กับพวกซึ่งเป็นเครือญาติ 7 คน ผู้คัดค้าน อาทิ เงินสด เงินฝากในธนาคารพาณิชย์ต่างๆ 9 บัญชี เงินฝากในสหกรณ์ออมทรัพย์กรมทางหลวง โฉนดที่ดินย่านต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด บ้านพัก รถยนต์ ห้องชุด รวมมูลค่าทั้งสิ้น 64,998,587 บาท พร้อมดอกผล ตกเป็นของแผ่นดิน ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 4 และมาตรา 80(2) เนื่องจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบทรัพย์สินแล้วชี้มูลความผิดว่า นายสุพจน์ มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ โดยไม่สามารถชี้แจงที่มาของทรัพย์สินต่างๆ ได้
       
       นายสุพจน์ ผู้คัดค้านที่ 1 ยื่นคำให้การว่า การที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ขอให้ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลให้ทรัพย์สินที่ผู้คัดค้านมีมาอยู่เดิม และได้มามากว่า 10 ปี ตกเป็นของแผ่นดินนั้นเป็นการใช้อำนาจตามอำเภอใจ ทำให้ผู้คัดค้านได้รับความเสียหาย มติของคณะอนุกรรมการไต่สวนและคณะกรรมการ ป.ป.ช.ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
       
       ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า โดยเฉพาะกรณีเงินสดของกลางจำนวน 18,121,000 บาท และทองคำรูปพรรณหนัก10 บาท ในคดีอาญา 2458 /2554 ของ สน.วังทองหลาง ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติว่า เงินของกลางบางส่วนจำนวน 568,000 บาท เป็นเงินรับไหว้ โดยผู้ร้องขอให้เงินของกลางจำนวนที่เหลือ 17,553,000 บาท พร้อมทองรูปพรรณหนัก 10 บาท มูลค่า 260,000 บาท ตกเป็นของแผ่นดินหรือไม่นั้น จากเหตุการณ์เมื่อคืนวันที่ 12 พ.ย.2554 มีคนร้าย 8 คน บุกเข้าปล้นบ้านนายสุพจน์ ซ.ลาดพร้าว 64 และถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมได้เข้าเบิกความยืนยันในทิศทางเดียวกันว่า ทรัพย์ทั้งหมดได้มาจากการปล้นทรัพย์ ซึ่งมีสมเหตุสมผล และน่าเชื่อถือ เพราะปกติแล้วจะไม่มีคนร้ายคนใดไปขวนขวาย แสวงทรัพย์สินอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง และยังต้องคืนให้แก่ผู้เสียหาย กรณีจึงยังไม่มีเหตุผลและความจำเป็นที่เจ้าพนักงานตำรวจและคนร้าย จะร่วมมือกันบิดเบือนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับทรัพย์ของกลาง ข้อต่อสู้ของนายสุพจน์ที่ว่า ทรัพย์ของกลางในคดีคือทองรูปพรรณหนัก 10 บาท พร้อมเงินสด หลังหักเงินรับไหว้ที่ผู้ร้องมิได้ให้ตกเป็นของแผ่นดิน 568,000 บาท กับเงินที่เป็นของผู้คัดค้านที่ 6, 7 จำนวน 4,500,000 บาท แล้วคงเหลือ 13,053,000 บาทไม่ใช่เป็นของนายสุพจน์นั้นเป็นการกล่าวอ้างลอยๆ ขัดต่อเหตุผล เพราะหากมิใช่ทรัพย์สินที่ได้จากการปล้นทรัพย์บ้านนายสุพจน์ ก็ไม่น่าที่เจ้าพนักงานจะสามารถรวบรวมทรัพย์สินจำนวนมากดังกล่าวได้มาจากคน ร้าย และนำมารวบรวมเก็บไว้เป็นทรัพย์ของกลาง จึงเชื่อว่าทรัพย์ของกลางเป็นทรัพย์สินที่ได้จากการปล้นทรัพย์
       
       นอกจากนี้จากการรับฟังการไต่สวนพยานฝ่ายนายสุพจน์ ผู้คัดค้าน กับพวกแล้ว ล้วนแต่เป็นพยานผู้ใกล้ชิดมีส่วนได้ส่วนเสียเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันเบิกความ ลอยๆ ปราศจากหลักฐาน ขัดต่อเหตุผลหลายประการ รวมทั้งการโต้แย้งและคัดค้านของนายสุพจน์ไม่อาจจะนำมารับฟังได้ เช่น การอ้างว่า เข้ารับราชการตั้งแต่ เมื่อ พ.ศ.2520 จนกระทั่งถึงวันยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ.2545 มาคิดคำนวณแล้วจะเป็นเงินประมาณ 5,000,000 บาทเศษ ก็น่าเคลือบแคลงสงสัยมากขึ้นไปกว่าเดิม เพราะเหตุใดนายสุพจน์ จึงมีทรัพย์สินที่ได้มาในระหว่างเป็นเจ้าหน้าทีรัฐ แล้วจะมีทรัพย์สินรวมกันจนถึงวันที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ลงมติว่า ร่ำรวยผิดปกติเมื่อปี พ.ศ.2545 มีมูลค่าสูงถึงที่ศาลนำมาวินิจฉัยจำนวน 46 ล้านบาทเศษ ซึ่งนายสุพจน์จะต้องนำพยานหลักฐานมาพิสูจน์แสดงให้กระจ่างแจ้งถึงที่มาที่ไป ในการได้ทรัพย์สินดังกล่าวมาตลอด รวมถึงเงินเดือนที่รับราชการ ย่อมไม่อาจเป็นไปได้ที่จะเพียงพอมาหาซื้อทรัพย์สินจำนวนมาก ข้ออ้างของนายสุพจน์ เป็นการกล่าวอ้างอย่างเลื่อนลอย ปราศจากหลักฐานที่ยืนยันชัดเจน ทั้งยังจะสื่อแสดงให้เห็นว่า เงินที่ได้มานี้มีจำนวนมากพอจะไปแสวงหาเป็นทรัพย์อื่นจนพอกพูนเพิ่มมากขึ้น และยังเป็นขจัดข้อสงสัยของวิญญูชนทั่วไปว่า เหตุใดนายสุพจน์ ซึ่งมีอาชีพรับราชการ และมีภาระต้องเลี้ยงดูครอบครัวบุตร 2 คน ที่ศึกษาจนจบชั้นปริญญาตรี และไปศึกษาต่อต่างประเทศ จะไม่มีปัญหาต่อทรัพย์สินให้ลดน้อยลง แต่กลับเพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับ จึงถือไม่ได้ว่านายสุพจน์ ได้นำสืบให้รับฟังได้ว่า ตนไม่ได้ร่ำรวยผิดปกติตาม ตามภาระหน้าที่ดัง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 81 วรรคสอง จึงต้องฟังข้อเท็จจริงไปตามที่ คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติและนำสืบแสดงไว้
       
       พิพากษาว่า ให้ทรัพย์สินรวม 19 รายการ รวมมูลค่าทั้งสิ้นจำนวน 46,141,038.83 บาท ของนายสุพจน์ กับพวก พร้อมดอกผลของเงินหรือทรัพย์สินที่เกิดขึ้นตกเป็นของแผ่นดิน ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2542 ให้นายสุพจน์ ส่งมอบทรัพย์สิน และเอกสารที่เกี่ยวข้องพร้อมดอกผลให้แก่แผ่นดินโดยผ่านกระทรวงการคลัง หากไม่สามารถดำเนินการให้ทรัพย์สินใดได้แก่แผ่นดิน ให้นายสุพจน์ ชดใช้เงินหรือโอนทรัพย์สินตามจำนวนมูลค่าที่ยังขาดอยู่แก่แผ่นดินจนครบ
       
       สำหรับผู้คัดค้านทั้ง 7 คน ประกอบด้วย นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม, นางนฤมลหรือเพ็ญพิมล ทรัพย์ล้อม, น.ส.สุทธิวรรณ ทรัพย์ล้อม, นายชาลี ชัยมงคล, นายอเนก จงเสถียร, นายสืบพงษ์ ปราบใหญ่, น.ส.สุทธาวรรณ ทรัพย์ล้อมหรือปราบใหญ่
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 24 ก.ค.2555 คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้มีมติด้วยคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์ว่านายสุพจน์ ร่ำรวยผิดปกติจำนวน 64,998,587.52บาท และให้ส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอให้ศาลสั่งให้ ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน ตามมาตรา 80 แห่ง พ.ร.บ.ป.ป.ช. พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม 2554


สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : ศาลแพ่งสั่ง ยึดทรัพย์ 46 ล้าน สุพจน์ ทรัพย์ล้อม

view