จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
สุพรรณี พุฒิพิสุทธิ์

นขณะที่รัฐบาลรักษาการ กำลังวุ่นวายและพยายามอย่างหนัก ต่อการหาเงินนับแสนล้านบาทเพื่อนำมาจ่ายหนี้แก่ชาวนา

จำนวนหลายแสนรายที่ถือใบประทวน รอรับเงินจากโครงการจำนำข้าวฤดูกาลผลิต 56/57 ส่วนหนึ่งถือเป็นความรับผิดชอบต่อการบริหารโครงการที่ผิดพลาดของตัวเอง อีกส่วนหนึ่งเพื่อให้ความรู้สึกเสียหน้าต่อประชาชน รวมถึงพรรคการเมืองฝ่ายตรงกันข้ามนั้นมีน้อยลงก่อนที่จะพ้นจากการเป็นรัฐบาล

อีกฟากหนึ่งที่รัฐบาล โดยเฉพาะกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะต้องไม่ลืม และให้น้ำหนักต่อความพยายามพอๆ กับประเด็นข้างต้น ซึ่งก็คือ การปิดบัญชีโครงการ เพราะเมื่อโครงการสิ้นสุดลง จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเคลียร์บัญชี เพื่อให้รับรู้ว่า โครงการนี้ มีผลการดำเนินงานอย่างไร เว้นแต่จะไม่กล้ารับผิดชอบกับผลการดำเนินงานที่ทิ้งภาระไว้ให้รัฐบาลชุดต่อๆ ไป

ทั้งนี้ คณะอนุกรรมการปิดบัญชีที่มีนางสาวสุภา ปิยะจิตติ รองปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธาน ได้สรุปตัวเลขปิดบัญชีการดำเนินโครงการสำหรับ 4 ฤดูกาลผลิตที่ผ่านมาเป็นที่เรียบร้อย แต่ผลการปิดบัญชียังไม่ถูกนำไปสานต่อหรือเข้าสู่ขั้นตอนการชำระบัญชีอย่างถูกต้อง

ผลของการปิดบัญชี คือ โครงการนี้ขาดทุนในจำนวนประมาณ 4 แสนล้านบาท หรือมากกว่า 50% ของวงเงินที่กู้มาใช้ไปทั้งหมด 6.8 แสนล้านบาท ผลขาดทุนดังกล่าวยังไม่นับรวมผลการดำเนินงานรับจำนำข้าวนาปีในฤดูกาลผลิตปัจจุบัน

อย่างไรก็ดี ในช่วงสิ้นปี 2556 ก่อนที่รัฐบาลจะเริ่มต้นการรับจำนำข้าวนาปีในฤดูกาลผลิต 56/57 รัฐบาลสามารถลดวงเงินกู้หมุนเวียนสำหรับโครงการเหลือ 5 แสนล้านบาท แต่ผลการขาดทุนยังไม่สามารถสรุปได้ว่า เหลืออยู่จำนวนเท่าใด โดยส่วนสำคัญของการปิดบัญชี คือ จำนวนสต็อกข้าวที่เหลือ ซึ่งก็ยังไม่มีตัวเลขอย่างเป็นทางการ

แต่ที่แน่ๆ หากรัฐบาลระบายข้าวได้ต่ำกว่าต้นทุนจริงหรือไม่ได้ตามยอดเงินที่ใช้จ่ายทั้งหมด นั่นหมายความว่า ภาระการขาดทุนจะตกอยู่กับประชาชนผู้เสียภาษีทั้งหมด เพราะผลขาดทุนหลังการปิดบัญชีจะต้องถูกบันทึกไว้ในงบชำระหนี้ในงบประมาณรายจ่ายประจำปี แน่นอนว่า จะกระทบต่อสัดส่วนรายจ่ายด้านอื่นๆ ไปอีกไม่ต่ำกว่า 5 ปี

แต่หากรัฐบาลไม่สามารถปิดบัญชีได้อย่างเบ็ดเสร็จ สำนักงบประมาณก็จะไม่ตั้งงบรายจ่ายเพื่อชำระหนี้ส่วนนี้ให้ ผลที่ตามมา คือ ต้นทุนเงินกู้ก้อนที่ยังไม่ได้รับการชำระก็จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประเด็นนี้ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะหรือ สบน.ไม่ต้องการให้เกิดขึ้น เพราะเงินกู้ก้อนดังกล่าวก็จะยังคงกินสัดส่วนในแผนการก่อหนี้ในแต่ละปี ทำให้ภาระหนี้ต่อจีดีพีไม่สามารถปรับลดลงได้อย่างมีนัยสำคัญ

สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน