จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
พอใจ พุกกะคุปต์
ในช่วงที่ผ่านมา ดิฉันเคยได้มีโอกาสคุยกับท่านผู้อ่านเรื่องคุณค่าแห่งการนับถือตัวเอง หรือ Self Esteem
คนที่มี Self Esteemคือ คนที่ตระหนักรู้คุณค่าของตนเองรู้ว่าเรามีข้อดีมีความสำคัญ
อันมีส่วนส่งเสริมให้เราเป็นคนมั่นใจไม่หวั่นไหวง่ายแบบไร้สติ
คนที่ขาด Self Esteem มักขี้กังวลกลัวคนไม่ชอบยอมแพ้ง่ายซ้ำย้ำกับตนเองว่าฉันไม่เป็นฉันไม่เก่งฉันไม่ดีแถมบางทียังขี้อิจฉาหาโอกาสเปรียบเทียบตนกับคนอื่นร่ำไปประหนึ่งว่าใครได้ดีกว่าย่อมพาให้ฉันตกต่ำลงแบบปลงไม่เป็น
ล่าสุด Doveเจ้าของผลิตภัณฑ์แบรนด์ดังในค่ายยักษ์ใหญ่Unileverได้ผลิตโฆษณาใหม่ได้ใจเรื่อง Self Esteem เริ่มเผยแพร่เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา เป็นVDOเรื่อง “Dove Real Beauty Patch” “พลาสเตอร์ธรรมดากับความงามที่แท้จริง” ปัจจุบันมีผู้เข้าชมทั่วโลกกว่า 50 ล้านครั้ง
ทั้งนี้ Doveลงทุนสร้างโฆษณาต่อเนื่องเรื่องความงามที่แท้จริงของผู้หญิง โดยมีจุดเด่นที่แตกต่างจากโฆษณาของผลิตภัณฑ์ทั่วไป ซึ่งมักเน้นประโยชน์ใช้สอย หรือ Functionality ของผลิตภัณฑ์ไม่ว่าจะเป็นขาวกว่า เนียนกว่า นุ่มกว่า เด้งกว่า ฯลฯ
นอกจากนั้นมีอีกหลายผลิตภัณฑ์ที่เน้นการสร้างฝันเฟื่องให้ลูกค้าอยากมีหน้าตา รูปร่างหรือผิวพรรณดังบรรดานางแบบ ที่ล้วนหุ่นเพรียวผอมบางเหมือนนางเก็บกระเพาะและลำไส้ใหญ่ไว้ที่บ้านหรือมีผิวกระจ่างใสขาวดั่งไข่ต้ม (ที่หากเป็นไข่ต้มจริงคงดูดีเพราะสีเป็นธรรมชาติแต่อาจดูแปลกประหลาดเมื่อเป็นเนื้อหนังคนเป็นๆ)
โครงการนี้ Doveเน้นวิธีที่ต่างคือ สร้างความมั่นใจให้ผู้ชมว่า “ความงามที่แท้จริงเป็นสิ่งที่อยู่ข้างในเรา”
Dove ทำงานร่วมกับ Dr. Ann Kearney-Cooke นักจิตวิทยาชื่อดังผู้เขียนหนังสือขายดีหลายเล่มเกี่ยวกับ Self Esteem ตลอดจนการกินอยู่เพื่อความสุขและสุขภาพ โดยทีมทำการทดลองกับผู้หญิงกลุ่มหนึ่งซึ่งได้รับเชิญให้ร่วมในการทดลองใช้นวัตกรรมใหม่ในการเสริมความงามที่มีชื่อว่า RB-X
RB-Xเป็นแผ่นพลาสเตอร์ใช้แปะแขนผู้ร่วมโครงการ ผู้ร่วมทดลองต้องใช้ RB-X แปะแขนทุกวันวันละ12 ชั่วโมง ต่อเนื่องเป็นเวลา 15 วันและต้องบันทึกVDOสั้นๆ ทุกวัน เพื่อเล่าเรื่องผลของพลาสเตอร์นี้
ปรากฏว่าในวันแรกๆ ของการใช้ต่างบันทึกVDOเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่เห็นมีความแตกต่างแต่อย่างใด
กระนั้นก็ดีเมื่อการทดลองผ่านไปผู้เข้าโครงการเริ่มแสดงความแปลกใจในผลของ RB-X อาทิ มีเพื่อนร่วมงานชมว่าสวยขึ้น (ขนาดมีสิวขึ้นที่จมูกนะนี่) บางคนรู้สึกว่าตัวเองสวยขึ้น จนมีกำลังใจเริ่มไปออกกำลังกายกับสามี บางคนเห็นว่าตนดูดีขึ้นจึงชอบยิ้มทักทายใครๆ อย่างที่ไม่เคยเป็นฯลฯ
เมื่อเวลาผ่านไปครบ 15 วัน Dr.Kearney-Cookeเฉลยให้ผู้เข้าร่วมโครงการฟังว่าRB-X…มิใช่ผลิตภัณฑ์วิเศษแต่ประการใดเพราะไม่มีตัวยาใดๆ ทั้งสิ้น เป็นเพียงพลาสเตอร์ธรรมดาๆ เท่านั้น !
สรุปว่าที่คน “เห็น” ว่าตัวเองสวยขึ้น เป็นเพราะเขา “คิด” ว่าตัวเองสวยขึ้น
อยู่ที่ความคิดที่มุมมองที่สมอง ที่ใจ หาใช่โลกนอกกายไม่
เมื่อมั่นใจว่าไม่สวย ดูอย่างไร ก็ไม่สวย ส่งผลให้ทำตัวไม่สวย หลบลี้หนีหน้า ไม่กล้าออกสังคม
เมื่อเชื่อว่าตัวเองสวย เราก็สวยได้ ส่งผลให้รื่นเริง แจ่มใส กล้าสู้หน้าใครๆ เพราะฉันมั่นใจว่าไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้ใด
วิธีการทดลองเช่นนี้มิใช่ใหม่ใช้กันทั่วไปในหลายบริบทไม่ว่าจะเป็นด้านสังคมศาสตร์หรือแพทยศาสตร์ที่มีการทดสอบคนไข้ โดยให้ยาหลอกหรือ “Placebo”ซึ่งไม่มีส่วนผสมของตัวยา แต่ผู้ป่วยคิดว่าเป็นยาจริง ซึ่งหลายกรณี มีส่วนทำให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม
กลับมาที่ประเด็นเรื่องความมั่นใจในตนเอง โดยเฉพาะในหมู่คนทำงาน
มืออาชีพที่มีความมั่นใจในตัวเองย่อมมีเกราะป้องกันตนทำให้ไม่เป็นคนขี้หวั่นไหว ตรงข้ามกับผู้ที่ขาดความมั่นใจ เหมือนคนไร้แก่นไร้จุดยืนพร้อมย้วยไปย้ายมาแล้วแต่ใครจะพาไปไหน
หากคบคนดีก็จะโชคดีพร้อมดีด้วยแต่ยามซวยเจอเพื่อนชี้ทางลงก็จะหลงตามเขา
ยามพี่ตั้งวงนินทาใคร น้องก็ร่วมได้ไม่เคยขาด
ยามเขาลงทุนหยิบยืมเพื่อซื้อเสื้อผ้าทันสมัยของต้องใหม่ต้องแบรนด์เนม เกมส์นี้หนูก็ลงสนามด้วยเดี๋ยวดูไม่สวยเท่าใส่ของเก่าแล้วหมดความมั่นใจ
ยามเขาลงทุนเป็นพันเป็นหมื่นเพื่อทำหน้าตึงขึงให้เป็นตัววีคางหนูเลยดูเป็นตัวยูอย่างไรก็ไม่รู้จึงสู้เก็บหอมรอมริบ ไว้ทำหน้าเกาหลีขอวีมั่ง
คำตรงข้ามกับ Self Esteemในภาษาอังกฤษ คือ Self deprecration คนที่มีอารมณ์นี้สูงมักเห็นว่าตัวเองต่ำต้อยน้อยค่าหาที่ดีไม่เจอเผลอทีไรก็ตอกย้ำจนจำขึ้นใจในสิ่งที่มีข้อบกพร่อง จนลืมมองของดีๆ ที่มีในตัว มัวแต่กลัวมุมมองของชาวบ้าน
ในบางกรณีความวิตกกังวลว่าคนอื่นจะคิดอย่างไรทำให้ใครๆ ตัดสินใจได้ประหลาดยิ่ง
ตัวอย่างเช่น เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ดิฉันนั่งในเครื่องบินรอเวลาเครื่องออกไปสอนหนังสือต่างจังหวัด แถวข้างหน้ามีคุณแม่ที่เดินทางพร้อมลูกน้อยวัยไม่น่าหนี 2 ขวบระหว่างรอ เจ้าตัวเล็กออกฤทธิ์ร้องไห้โยเยแม่เริ่มกังวลหงุดหงิดปลอบก็แล้วดุก็แล้ว อย่างไรก็ไม่หยุด
ในที่สุด เธอเลยเอาเจ้าตัวน้อยวางบนพื้นเสียงดังตุ๊บใหญ่ ส่งผลให้เจ้าตัวเล็กนอกจากไม่หยุดร้องกลับเสียงก้องขึ้นน้ำตากลบอย่างไม่ยอมจบง่ายๆ
แม่ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อเลยตีเข้าให้หลายป้าบ
ยิ่งตียิ่งร้องจนป้าอย่างดิฉันอดรนทนไม่ได้สะกิดให้แอร์การบินไทยกรุณาเข้าไปช่วยก่อนเด็กช้ำ
ในที่สุดเจ้าตัวเล็กคงหมดแรงหลับไปไม่แผลงฤทธิ์จนเครื่องลง
ระหว่างยืนเข้าแถวรอลงเครื่องดิฉันยืนข้างคุณแม่พอดีจึงถามว่าเป็นอย่างไรบ้างแม่ละล่ำละลักตอบว่า “เกรงใจจริงๆ ลูกหนูร้องเสียงดังมาก”
ป้าตอบว่าไม่เป็นไรหรอก ผู้โดยสารคงมีเข้าใจบ้าง รำคาญบ้าง แต่เมื่อเปรียบเทียบการตีลูกตัวน้อยให้เขาเจ็บแต่ไม่เข้าใจ กับยอมให้คนอื่นรำคาญบ้าง ป้าว่าเลือกอย่างหลัง น่าจะดีกว่า
ทั้งนี้ แม่ท่านนี้ มีทางเลือกอื่นใดอีกไม่น้อย เช่นระหว่างรอเครื่องขึ้น ลุกเดินไปขอโทษเพื่อนร่วมทางรอบข้างก่อนว่าขออภัยที่ลูกร้องไห้เสียงดังกำลังพยายามปลอบอยู่เป็นการลดแรงกดดันก็ดูเข้าท่ากว่าตีลูกตนที่เล็กจนอาจไม่เข้าใจ
คุณแม่หลายคนอาจไม่ทำ เพราะแม่ทั้งเกรงใจ ทั้งอายเขา
ลูกคงบอก อ้าว..เพราะ“แม่”เกรงใจ “แม่”อายคนอื่นเขา แม่เลยเลือกตีเราแทน..งง!
สรุปว่า ไม่ว่าจะเป็นความมั่นใจในตัวเอง ความอ่อนน้อมถ่อมตน หรือ ความเกรงใจผู้อื่นล้วนแล้วต้องผสมผสาน อยู่บนความสมดุลพอดี
มั่นใจในตนเองเกินไป กลายเป็นหลงตัวเอง
อ่อนน้อมถ่อมตนเกินไป กลายเป็นไร้น้ำยา
เกรงใจใครๆ มากเกินไป กลายเป็นไม่กล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง
ลองมามองตนใหม่ด้วยใจเป็นกลาง มองแบบห่างๆ อย่างมีสติ จะได้เห็นชัดขึ้นว่าอะไรน้อยไป อะไรมากไป
ที่สำคัญไม่มีใครทำให้สมดุลขึ้นได้
ยกเว้นตัวเราเอง
สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน