สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

เปิดบันทึกประชุมถก-ร่วมจ่าย-บัตรทอง

เปิดบันทึกประชุมถก-ร่วมจ่าย-บัตรทอง

จาก โพสต์ทูเดย์

โดย...ทีมข่าวในประเทศโพสต์ทูเดย์

แนวคิดที่จะให้ผู้ใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) จำนวน 47 ล้านคน “ร่วมจ่าย” ค่ารักษาพยาบาล ถูกพูดถึงในที่ประชุมร่วมระหว่างกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อวันที่ 31 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยปรากฏหลักฐานจาก “บันทึกการประชุม” ในช่วงท้าย

นำมาซึ่งการต่อต้านอย่างรุนแรงจากเครือข่าย  ผู้ป่วย ภาคประชาชน รวมถึงกลุ่มแพทย์อาวุโส   โดยมองว่าเป็นแนวความคิด “ถอยหลังเข้าคลอง”

นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัด สธ. ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 14 พ.ค.ที่ผ่านมา ยืนกรานว่า สธ.ไม่เคยมีแนวคิดร่วมจ่าย และส่วนตัวก็ไม่ได้พูดเรื่องนี้ในที่ประชุม

“เป็นเพียงข้อเสนอที่มีผู้แสดงความคิดเห็นในที่ประชุม และที่ประชุมไม่ได้มีการพูดคุยหรือมีข้อสรุป ในประเด็นดังกล่าว ยืนยันไม่ใช่มติที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอต่อ คสช.แต่อย่างใด” นพ.ณรงค์ ระบุชัด

เพื่อทำความจริงให้ปรากฏและยุติความสับสน “โพสต์ทูเดย์” ถอดคำพูดในการประชุมวันดังกล่าว ซึ่งเป็นความจริงที่ว่า นพ.ณรงค์ ไม่ได้พูดหรือนำเสนอให้มีการ “ร่วมจ่าย” ต่อ คสช.ด้วยตัวเอง

ทว่ากลับมีผู้บริหารระดับอธิบดีซึ่งเป็นคนใกล้ชิด นพ.ณรงค์ นำเสนอแทน โดยได้กล่าวแทรกขึ้นช่วงท้ายก่อนปิดการประชุมอย่างฉิวเฉียด อธิบดีรายนี้ ยอมรับว่า สธ.มีแนวคิดดังกล่าวมานานแล้ว ขณะที่ประธานการประชุม พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองหัวหน้า คสช. ในฐานะหัวหน้าฝ่ายสังคมจิตวิทยา ก็ได้ให้แนวทางการดำเนินการตามที่ สธ.นำเสนอ

การประชุมร่วมระหว่าง สธ.และ คสช.ดำเนินไปร่วม 2 ชั่วโมง กระทั่งช่วง 5 นาทีสุดท้าย นพ.ธวัชชัย กมลธรรม อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์  แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวแทรกขึ้น

“ขออนุญาตเรียนว่ากระทรวงสาธารณสุขมีภาระในการดูแลสุขภาพประชาชนทั้งประเทศ 65 ล้านคน เป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมาก อย่างที่ทางสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้เรียนไว้แล้วว่าในระบบมีเงินที่จะต้องดูแลอยู่ประมาณ 2 แสนล้านบาท และทั้งหมดก็รักษาฟรี ส่วนใหญ่ก็จะมีหน่วยงานที่เป็นองค์กรต้นสังกัดไม่ว่าจะเป็น สปสช. กรมบัญชีกลาง หรือประกันสังคม ตามจ่ายอยู่

ปัญหาก็คือว่าในงบประมาณที่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเนื่องจากประชาชนเป็นผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น และก็มี   ค่าใช้จ่ายในการดูแลจำนวนครั้งต่อปีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ   ทุกปี ส่งให้บุคลากร สธ.ไม่เพียงพอ ถ้ามองไปอีก 10-20 ปีข้างหน้า ถ้าเป็นระบบแบบนี้ไปเรื่อยๆ เราก็คงจะชดเชยเงินเท่าไรก็คงไม่พอ ค่าใช้จ่ายก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ข้อเสนอก็คือว่า มองในระยะกลางและระยะยาวคงจะต้องมีการปรับระบบค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือตัวเองบ้าง นั่นก็คือการให้เกิด ‘co-payment’ ด้านสุขภาพ เหมือนอย่างที่ทั่วโลกทำกัน เพราะในวันนี้ถ้าทุกอย่างฟรีหมดก็จะทำให้ประชาชนใช้บริการมากขึ้นเรื่อยๆ โดยที่ไม่ได้ดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง

สิ่งนี้ (นโยบายร่วมจ่าย) เป็นเรื่องที่ทางเรา (สธ.) พยายามทำอยู่แล้ว แต่ที่ทำไม่ได้เพราะมีประเด็นปัญหาเรื่องของคะแนนเสียง อะไรต่างๆ ซึ่งขณะนี้ก็เป็นโอกาสที่จะมองในเชิงปรับระบบให้มีความเป็นธรรมมากขึ้นและให้ประชาชนดูแลตัวเองมากขึ้น”

ทันทีที่ นพ.ธวัชชัย สิ้นสุดคำ พล.ร.อ.ณรงค์   ในฐานะประธานการประชุมกล่าวตอบ

“ที่พูดมานี้ถือว่าตรงเลย เพราะว่าเราเห็นปัญหาข้างหน้าอยู่แล้ว ปีนี้ 2 แสนล้านบาท ปีถัดไปคนอายุเพิ่มขึ้นแล้วไม่เสียชีวิตสักที (เสียงหัวเราะดังทั้งห้องประชุม) รวมทั้งตัวผมเองด้วย ก็มีค่าดูแลเพิ่มขึ้น แล้วถึงตอนนั้นเราคงไม่สามารถหาเงินมาอุดหนุน  ตรงนี้ได้

ก็เห็นด้วยอย่างยิ่งในการที่จะให้ผู้ที่จะเข้ารับการรักษาหรือประชาชนทั่วไปมีส่วนร่วมในการจ่าย แต่ก่อนมี 30 บาทรักษาทุกโรค ก็อาจจะเป็นตัวเลขที่ดูแล้วมันต่ำไปหรือเปล่า หรือมันพอเหมาะไหม หรือถ้าจะมีส่วนร่วมทาง สธ.ก็ต้องคิดว่าจะต้องมีส่วนร่วมมากน้อยเพียงใด คิดเป็นเปอร์เซ็นต์หรือเปล่า ในราคายาหรือราคาค่าตรวจรักษา 100 บาท คนที่ไปใช้บริการจะเสียสักเท่าไร 50% หรือ 30% หรืออะไรอย่างนี้ คงต้องหาตัวเลขหรือว่าหลักเกณฑ์  ตรงนี้ออกมาให้ได้

ซึ่งผมว่าต้องมองแล้วในตอนนี้ เพราะเราคง   อุดหนุนเงินทั้งหมดในระยะยาวคงเห็นอนาคตข้างหน้าแล้วว่าจะไปไม่ไหว นอกจากเราจะไปจดภาษีเรื่องสวัสดิการสังคมเพิ่มมากขึ้นๆ คนก็จะมีปัญหาอีกเหมือนกัน ก็ฝากให้คิดกันด้วย”

พล.ร.อ.ณรงค์ ย้ำในช่วงสุดท้ายของการประชุมว่า ฝากเรียนทุกท่านว่า คสช.ไม่ได้ต้องการมาล้วงลูก  หรือมาทำอะไรทั้งสิ้นใน สธ. แต่ต้องการช่วยผลักดันงานที่ค้างอยู่ให้ดำเนินการเร็วยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ พล.ร.อ.ณรงค์ ยังให้อำนาจ ปลัด สธ.รื้อโครงการที่ดูแล้วไม่เหมาะสม หรือสุ่มเสี่ยงว่าเป็น ใบสั่งทางการเมืองทิ้ง

“แผนงานโครงการต่างๆ ในปี 2558 ถ้าทาง สธ.เห็นว่าแผนโครงการใดที่พิจารณามาก่อนหน้านี้แล้วเบี่ยงเบนหรือไม่ตอบสนองข้อเท็จจริง อาจด้วยมีอะไรเข้ามาแทรกแซงบ้าง หรือโครงการไม่ตรงกับความต้องการที่แท้จริงของประชาชน มีความผิดเพี้ยนไป ขอให้ใช้โอกาสนี้ในการที่จะปรับ คิดว่าท่าน   ผู้บริหาร สธ.จะใช้ช่วงโอกาสดีๆ นี้ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะมี สักกี่เดือน ตัดโครงการเหล่านั้นทิ้งไปให้หมดเลย   เพื่อปฏิรูประบบให้เข้าที่เข้าทาง” หัวหน้าฝ่ายสังคมจิตวิทยา ทิ้งท้ายก่อนกล่าวปิดการประชุม

นอกจากนี้ 1 วันก่อนที่ นพ.ณรงค์ จะยืนกรานว่า สธ.ไม่มีแนวคิดร่วมจ่าย พญ.ประชุมพร บูรณ์เจริญ ประธานสมาพันธ์แพทย์โรงพยาบาลศูนย์โรงพยาบาลทั่วไป ในฐานะตัวแทนประชาคมสาธารณสุข (นพ.ณรงค์ ก็เป็นสมาชิกสมาพันธ์ฯ) ซึ่งปรากฏตัวสนับสนุนปลัด สธ.มาอย่างต่อเนื่อง ได้แสดงความคิดเห็นว่า ประเด็นร่วมจ่ายเป็นเรื่องที่คนในแวดวงสาธารณสุขและกลุ่มคนที่คัดค้านทราบดีว่าเป็นสิ่งที่ต้องทำ

“แต่ไม่ใช่สัดส่วนมากมายขนาดนี้ ควรร่วมจ่าย   ในอัตราประมาณ 30-50 บาท ที่สำคัญต้องไม่เก็บเงินกับผู้ยากจน เด็ก ผู้สูงวัย แต่ให้เก็บกับกลุ่มคนวัยทำงาน เรื่องนี้พูดกันมานานแต่ไม่มีใครกล้าทำ  โดยเฉพาะพรรคการเมือง” พญ.ประชุมพร ช่วยยืนยัน   อีกเสียงว่า สธ.มีการพูดกันมานานแล้ว

ทั้งนี้ ในวันที่ 15 ก.ค.นี้ สมาชิกประชาคมสาธารณสุข (ซึ่งที่ผ่านมามักจะมาให้กำลังใจ นพ.ณรงค์ โดยเฉพาะช่วงการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาล ยิ่งลักษณ์) รวมถึงตัว นพ.ณรงค์ จะร่วมกันแถลงข่าว “การปฏิรูประบบการเงินการคลังของกระทรวงสาธารณสุข” ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ เวลา 11.00 น.


ปลัดสธ-ยันไม่คิดเสนอร่วมจ่ายค่ารักษา

จาก โพสต์ทูเดย์

นพ.ณรงค์ย้ำไม่ล้ม30บาทรักษาทุกโรค เชื่อการเมืองในกระทรวงปั้นเรื่อง

เมื่อวันที่ 15 ก.ค. นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า ไม่เคยมีความคิดเสนอให้ร่วมจ่ายค่ารักษาพยาบาลในอัตรา 30-50% หรือ ยกเลิกโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ตามที่มีกระแสข่าวก่อนหน้านี้ โดยยืนยันว่าเป็นเพียงข้อคิดเห็นที่มีผู้เสนอขึ้นในห้องประชุมเท่านั้น และในที่ประชุม ก็ไม่ได้มีการสรุปประเด็นดังกล่าวอย่างเป็นทางการ หนังสือบันทึกการประชุมที่ออกมา เป็นเพียงบันทึกการประชุมที่ส่งเป็นหนังสือเวียนภายในสธ. เพื่อให้ผู้เข้าร่วมการประชุมรับรองเท่านั้น ยืนยันว่ายังไม่ได้ลงนามรับรองบันทึกดังกล่าว

ปลัดสธ. กล่าวอีกว่า น่าสังเกตว่าการประชุม เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 31 พ.ค. แต่ข่าวดังกล่าวถูกนำมาเสนอในช่วงนี้ จึงน่าสงสัยว่ามีความพยายามเล่นการเมืองในกระทรวง เพื่อนำเสนอข่าวดังกล่าวออกมาโจมตี อย่างไรก็ตาม ขอให้ผู้ปฏิบัติงานทุกคนอย่าสนใจ และตั้งใจทำตามนโยบายต่อไป เพื่อทำให้ประชาชนเข้าถึงระบบสุขภาพอย่างเท่าเทียม   

“สิ่งที่สธ.เสนอต่อคสช. ได้แก่ นโยบายการปฏิรูปเขตบริการสุขภาพ การเสนอกลไกและระบบธรรมาภิบาลในการจัดซื้อจัดจ้าง และการแต่งตั้งโยกย้าย รวมถึงการแก้ปัญหาคอร์รัปชันเท่านั้น”นพ.ณรงค์กล่าว 

ทั้งนี้นพ.ณรงค์ตั้งข้อสังเกตว่ามีผู้ที่จะพยายามเล่นการเมืองในกระทรวง ทั้งๆที่ในกระทรวงไม่มีนักการเมือง ซึ่งหลังจากนี้อาจต้องทำความเข้าใจกับผู้ปฏิบัติงานเพิ่มเติม และอยากให้ผู้ปฏิบัติงานทุกคนเลิกสนใจประเด็นเหล่านี้ ขอให้เดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายเต็มที่ โดยให้มีการกระจายบริการสุขภาพที่ดีขึ้น ให้ประชาชนได้สิทธิประโยชน์เท่าเทียม

ปลัดสธ. กล่าวอีกว่า ตลอด 12 ปีที่ผ่านมา หลังจากมีระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า มีความทุกข์เกิดขึ้นมากมาย ซึ่งถูกสะท้อนผ่านเจ้าหน้าที่ รวมถึงหน่วยบริการในสังกัดสธ. โดยขณะนี้อยู่ระหว่างประเมินความทุกข์ของแต่ละส่วน และประเมินว่าประชาชนได้รับบริการอย่างเต็มประสิทธิภาพ คุ้มกับงบประมาณและภาษีที่ใช้ไปหรือไม่ ซึ่งหลังจากนี้คงจะมีการหารือกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) มากขึ้น ว่าจะจัดการระบบอย่างไรให้เกิดประโยชน์กับประชาชนสูงสุด

ส่วนที่ไม่ได้มีการเรียกประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ มา 2 เดือนนั้น นพ.ณรงค์ กล่าวว่า เนื่องจากกฎหมายระบุว่าให้เป็นอำนาจของรัฐมนตรี เป็นประธานคณะกรรมการ เมื่อไม่มีรมว.สธ. จึงไม่มั่นใจว่าสามารถทำหน้าที่รักษาการประธานได้หรือไม่ จึงยังไม่มีการเรียกประชุม และต้องรอการหารือร่วมกับฝ่ายที่เกี่ยวข้องอีกครั้ง ขณะที่การออกหนังสือห้ามเจ้าหน้าที่สธ. เข้าร่วมประชุมกับสปสช.นั้น ต้องมีการหารือร่วมกับสปสช. อีกครั้ง เพื่อตกลงหลักเกณฑ์การปฏิบัติให้ชัดเจน ก่อนที่จะยกเลิกหนังสือห้ามเข้าประชุมร่วมกัน


สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : เปิดบันทึก ประชุมถก ร่วมจ่าย บัตรทอง

view