สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

คนจีนร่ำรวยมาได้อย่างไร

คนจีนร่ำรวยมาได้อย่างไร

จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์




ทุกวันนี้ ไปท่องเที่ยวที่ไหนๆในโลก ก็เห็นแต่คนจีนจำนวนมาก

แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า คนจีนมีเงินทองมากขึ้นและท่องเที่ยวหาความสุขให้ชีวิตมากขึ้น

ประเทศไทยของเราเองพวกเขาก็มากันมากมาย จนกระทั่งร้านค้าปลอดภาษี ถูกถล่มด้วยกำลังซื้อของนักท่องเที่ยวชาวจีนเป็นเวลาหลายปีแล้ว ไม่เชื่อลองไปดูแถวซอยรางน้ำก็ได้ รถทัวร์จีนลงมากมายทุกวัน

ไม่กี่วันมานี้ ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งถามผมว่า พวกนี้เอาเงินทองมาจากไหน ทำไมอยู่ดีๆ คนจีนร่ำรวยกันมากมาย ทั้งๆที่เมื่อไม่กี่สิบปีก่อน สมัยอาจารย์คึกฤทธิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ยังเห็นชาวจีนทั้งประเทศ สวมเสื้อสีซีดๆ แล้วก็ขี่จักรยานเหมือนกันหมด

ผมเลยถือโอกาส ตอบคำถามผ่านทางคอลัมน์นี้ว่า ความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญทางเศรษฐกิจจีน เกิดขึ้นเมื่อเติ้ง เสี่ยว ผิง ได้ผลักดันให้เกิดเขตเศรษฐกิจพิเศษ 4 เขตเป็นการ “ทดลองเปิดประเทศ” ซึ่งหนึ่งในจำนวนนั้นก็คือเขตเศรษฐกิจพิเศษ “เสิ่นเจิ้น”

เมื่อปี 2527 ผมกับเพื่อนผู้บริหารจากธนาคาร 3 คนได้เดินทางไปดูทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรม การค้าและการธนาคาร ที่นครเสิ่นเจิ้น ซึ่งเติ้ง เสี่ยว ผิง ก็ได้เดินทางไปที่นั่นก่อนหน้านั้นไม่นานนัก และเขาได้แสดงความชื่นชมศักยภาพของเสิ่นเจิ้น ด้วยการเขียนข้อความด้วยพู่กันจีนไว้ว่า “ความก้าวหน้าของเสิ่นเจิ้นเป็นการพิสูจน์ว่าการตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ เป็นแนวทางที่ถูกต้อง”

แต่กว่าผมจะเดินทางไปถึงที่นั่นได้ นับเป็นการเดินทางที่ยากลำบากที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต คือต้องนั่งเครื่องบินไปฮ่องกง แล้วนักธุรกิจที่นั่น เป็นไกด์นำทางไปต่อรถไฟเพื่อพาเข้าจีน แต่ก็พาไปหลงทางบ้าง ลงสถานีผิดบ้าง บางช่วงต้องหิ้วกระเป๋าอันหนักอึ้ง เดินไปตามรางรถไฟ เพื่อไปยังอีกสถานีหนึ่ง บางช่วงต้องนั่งเรือเอี่ยมจุ๊นร่วมกับชาวบ้าน กินข้าวห่อในเรือ ฯลฯ กว่าจะไปถึงได้ก็เกือบหมดสภาพจริงๆ

วันนั้น เราสามคนเห็นเพียงเครนก่อสร้าง และงานก่อสร้างจำนวนมาก ที่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น สภาพทั่วไปเวิ้งว้างว่างเปล่า มองไม่เห็นว่าอนาคตของเมืองนี้จะเป็นเช่นใด และฝันของเติ้ง จะออกมาเป็นเช่นใด ที่ตื่นเต้นมากหน่อยก็คือได้มีโอกาสเห็นโต๊ะและเก้าอี้ ที่เติ้งเสี่ยวผิง นั่งเขียนข้อความดังกล่าวข้างต้น มอบให้ไว้แก่นครเสิ่นเจิ้น เท่านั้น

ถึงวันนี้ทุกคนเห็นแล้วว่า เสิ่นเจิ้น เป็นเช่นใด ระบบทุนนิยมของจีนได้เดินทางมาไกลมาก หลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลจีนมีนโยบายที่เรียกว่า การสร้างชุมชนเมือง (Urbanization) ขนาดใหญ่ จำนวนมาก คนจีนจากชนบท ได้ไหลทะลักเข้าเมือง ซึ่งรัฐบาลก็ได้ส่งเสริมให้มีโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ รวมทั้งก่อสร้างอาคารที่พักอาศัย ตึกสูงระฟ้าจำนวนมากมาย

ผลก็คือ เกษตรกร ได้อพยพเข้าเมืองหลายล้านคน เพื่อรองรับการจ้างงานของกลุ่มธุรกิจและอุตสาหกรรมจำนวนมากมาย ทั้งที่มาจากนักลงทุนต่างประเทศ และนักลงทุนชาวจีน ที่เห็นโอกาสทางธุรกิจ

ธุรกิจในจีนจึงสะพรั่งไปทุกประเภท นอกจากนั้น การที่รัฐบาลยอมให้มีการประกอบธุรกิจและการสะสมกำไรได้ ก็ทำให้คนจีนจำนวนมาก ซึ่งมีหัวการค้า ริเริ่มทำมาหากิน จนร่ำรวยขึ้นอย่างที่เห็น ทุกวันนี้หมอก็เปิดคลินิกความงาม และธุรกิจบริการที่สะท้อนคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เช่นสอนเต้นรำ สอนบุคลิกภาพ ฯลฯ ก็มีให้เห็นทั่วไป

ตัวอย่างแห่งความสำเร็จระดับโลกของคนจีนคนหนึ่ง ซึ่งกำลังฮ็อตที่สุดในขณะนี้ ก็คือ แจ็ค หม่า หนุ่มใหญ่จีนแท้วัย 50 ปี ผู้สร้างตัวเองขึ้นมาจากไม่มีอะไรเลย เขาเป็นเพียงครูสอนภาษาอังกฤษ แต่เมื่อเห็นโอกาสทางธุรกิจเขาก็เปิดบริษัทอาลีบาบาขึ้น เมื่อปี 2540 แจ็คประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง และได้นำหุ้นเข้าตลาดนิวยอร์ค เมื่อสองสัปดาห์ก่อน ซึ่งมีมูลค่ามากที่สุดในประวัติศาสตร์ ทำให้ตัวเขากลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศจีน มีมูลค่าสินทรัพย์สูงถึง 25 พันล้านดอลลาร์

นั่นคือเรื่องราวแห่งความสำเร็จของแจ็ค หม่า ที่ไม่มีอะไรมากไปกว่ามันสมองและความพยายาม วันนี้ เขาพูดภาษาอังกฤษได้ดี เหมือนเป็นเจ้าของภาษา มหาวิทยาลัยชั้นนำอย่างแสตนฟอร์ด เชิญเขาไปปาฐกฐาพิเศษที่นั่น ฯลฯ

แต่ที่แน่ๆก็คือ เขาไม่ได้รวยคนเดียว พนักงานของเขาจำนวนกว่า 20,000 คนนั้น กว่าครึ่งได้รับสต็อคออฟชั่น ซึ่งทำกำไรได้มากในครั้งนี้ ประมาณกันว่าพนักงานของเขากว่า 1,000 คน ได้กลายเป็น “เศรษฐี” ไปแล้ว ก็คนเหล่านี้นี่แหละครับ ที่จะแวะเวียน เอาเงินมาโปรยหว่าน ซื้อข้าวของและท่องเที่ยวไทย รวมทั้งประเทศต่างๆในโลกเพิ่มมากขึ้นไปอีก

แต่จีนไม่ได้มีเพียงเรื่องราวของอาลีบาบาเท่านั้น ยังมีความสำเร็จของนักธุรกิจ นักอุตสาหกรรม รวมทั้งมืออาชีพรุ่นใหม่อีกมากมาย เท่านี้ก็คงพอจะเห็นภาพแล้วว่าคนจีนจำนวนมากนั้น เขารวยมาได้อย่างไร เหตุใดจึงกลายเป็นนักท่องเที่ยวที่หนาตา แห่กันไปทั่วโลกขนาดนี้ เพราะคนชั้นกลางเพิ่มมากขึ้น อันเป็นผลของระบบทุนนิยมนั่นเอง และเมื่อเศรษฐกิจจีนเติบโตตลอดกว่าสองทศวรรษที่ผ่านมา หลายปีเกินกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ ความมั่งคั่งที่เกิดขึ้น จึงสะสมและสร้างคนชั้นกลางจำนวนมาก ที่มีชีวิตที่ดีขึ้น และเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศมากขึ้น

บางสำนักรายงานว่า ปัจจุบัน มีคนจีน 3 ล้านคน ที่มีสินทรัพย์เกิน 30 ล้านบาท ในจำนวนนี้ประมาณ 1 ล้านคน มีสินทรัพย์เกิน 50 ล้านบาท คนเหล่านี้เป็นคนที่อยู่ในวัย 40-50 ปี ที่สร้างความมั่งคั่งมาจากความเติบโตทางเศรษฐกิจ เมื่อคนจีนที่มีรายได้ดีขึ้นจึงออกเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ แย่งกันซื้อสินค้าแบรนด์เนม ในช่วงครึ่งแรกของปี 2014 นี้ มีถึง 54 ล้านคนแล้ว

เห็นจีนแล้วทำให้ผมนึกถึงญี่ปุ่น เมื่อทศวรรษ 1970 และต้นทศวรรษ 1980 ซึ่งเติบโตและประสบความสำเร็จทางเศรษฐกิจแบบสุดขีด ชาวญี่ปุ่นที่ร่ำรวยและเดินทางท่องเที่ยว หรือซื้อทรัพย์สิน อสังหาริมทรัพย์ ภาพเขียนแพงๆ ฯลฯ จำนวนมากมาย แต่ในที่สุด ญี่ปุ่นก็หนีสัจธรรมไม่พ้น เข้าสู่ยุคตกต่ำอันยาวนาน กลายเป็น “ทศวรรษที่หายไป” (The Lost Decade) แม้จนถึงขณะนี้ ความแข็งแกร่งเกรียงไกรทางเศรษฐกิจ ก็เหือดหายไปอย่างมาก

ไทยเราก็เช่นกัน เมื่อเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามค้า ก็ทำให้เศรษฐกิจพุ่งกระฉูดในช่วงต้นทศวรรษ 1990s นักลงทุนต่างชาติเข้ามามากมาย นักลงทุนไทยก็บุกทุกแนวธุรกิจ ที่ดินราคาพุ่งกระฉูด ชาวนาขายที่นาได้ราคาสูง เมื่อร่ำรวย ก็ซื้อรถมอเตอร์ไซด์ รถกระบะ คนชั้นกลางออกรถเก๋งป้ายแดง เกลื่อนเมือง ฯลฯ และเดินทางท่องเที่ยวและช้อบปิ้งไปทั่ว จนเป็นที่เลื่องลือไปทั่วยุโรปและอเมริกา

แต่ในที่สุด เราก็เข้าสู่ยุคแห่งความล่มสลายเช่นกัน เมื่อลูกโป่งแตก บาดเจ็บสาหัสกันทั่วหน้า พอเริ่มฟื้นขึ้นมาได้ ก็พบกับปัญหาการเมืองอันซับซ้อน กลายเป็นว่าสิบปีที่ผ่านมานั้น เราเหมือนเข้าสู่ “ทศวรรษที่หายไป” เช่นกัน

สรุปคือไม่มีใครหนีพ้นสัจธรรม ไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดา หรือประเทศชาติก็ตาม

ส่วนจีนจะร่ำรวยไปอีกนานแค่ไหน ก็โปรดติดตามกันต่อไป คงอยู่ที่ฝีมือครับ ถ้ารัฐบาลบริหารไม่ดี นโยบายผิดพลาด จีนก็มีสิทธิเดินตามรอยญี่ปุ่น รวมทั้งไทยได้ไม่ยากเหมือนกัน

ถ้าคิดกันเล่นๆ เพียงแค่เอาสระอีออกไปจาก “จีน”

ก็อ่านว่า “จน” แล้วนะครับ!


สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : คนจีน ร่ำรวย มาได้อย่างไร

view