สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

เรียนรู้และปรับตัวตลอดชีวิต

เรียนรู้และปรับตัวตลอดชีวิต

จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์




เมื่ออายุผมผ่าน วัยเกษียณซึ่งในนิยามของคนทั่วไปคือ 60 ปี ชีวิตและกิจวัตรประจำวันของผมก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย

ผมเลิกทำตั้งแต่ลาออกจากงานประจำเมื่ออายุประมาณ 50 ปี การเลิกทำงานประจำที่ใช้เวลามากนั้น

ทำให้ผมมีเวลาไปทำงานอื่นที่ทำอยู่แล้วมากขึ้น หลังจากนั้นผมก็เริ่มทำงานใหม่ที่เกี่ยวข้องกับงานเดิมที่ผมถนัดเช่น การทำรายการวิทยุและทีวีเกี่ยวกับการลงทุน การบรรยายในงานสัมมนา การเยี่ยมชมกิจการบริษัทจดทะเบียนและอื่นๆ

ในส่วนของสังคมนั้น สังคมของผมเริ่มเปลี่ยนแปลงไป คนที่คบหากลายเป็นกลุ่มนักลงทุนแนว VI ที่มีอายุและพื้นเพหลากหลาย เรื่องที่คุยก็เปลี่ยนไปเป็นเรื่องของการลงทุนและอื่นๆอีกมาก ชีวิตผมไม่ได้หยุดหลังจากเลิกทำงานประจำ ว่าที่จริงมันเป็นการเริ่ม “เดินทางใหม่”

กระบวนการ Evolution หรือวิวัฒนาการของผมเกิดเร็วขึ้นมาก เมื่อคิดย้อนกลับไป คิดว่าถ้ายังทำงานเป็นลูกจ้างในบริษัทขนาดใหญ่จนถึงวันเกษียณ ชีวิตคงไม่เหมือนอย่างทุกวันนี้ เพราะตลอดเวลาที่ทำงานเป็นลูกจ้าง รู้สึกว่าความคิด ความเชื่อและศรัทธาเปลี่ยนแปลงไปน้อยมาก เหตุผลใหญ่อย่างหนึ่งคือเราทำงานซ้ำๆอย่างเดิมทุกวันที่เปลี่ยนไปก็ดูเหมือนแต่ชื่อลูกค้าและอุตสาหกรรมที่เขาทำเท่านั้นที่เปลี่ยนไป

อีกเหตุผลหนึ่งคือการทำงานประจำที่ต้องใช้เวลามากนั้น ทำให้เรามีเวลาอ่านหนังสือที่เป็นความรู้ที่หลากหลายน้อยมาก Scope หรือแวดวงของความรู้ของเราจะถูกจำกัดมาก นั่นคือเรารู้แต่เรื่องของธุรกิจ ซึ่งนี่เป็นประโยชน์ต่อการลงทุนแต่มันไม่เพียงพอ เพราะเรื่องของการลงทุนนั้น มันเป็นศิลปะขั้นสูงที่ต้องใช้ความรู้ที่หลากหลายรอบด้าน พูดง่ายๆต้องรู้จริง รู้กว้าง แต่อาจจะไม่จำเป็นต้องรู้ลึก

การที่จะรู้กว้างและรู้จักโลกโดยที่ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านใดด้านหนึ่งนั้น วิธีที่ดีที่สุดก็คือ ทำตัวเป็น “นักศึกษา” ที่ลงทะเบียนเรียนวิชาทางสังคมศาสตร์ จิตวิทยา และเรื่องต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิต โดยรหัสของวิชาที่เรียนก็คือเริ่มต้นจากเลข 1 เช่น เศรษฐศาสตร์ 101 หรือ 102 ซึ่งสอนวิชาที่เป็นพื้นฐานของเศรษฐศาสตร์ และวิชาอื่น ๆ เป็นต้น การเรียนวิชาเหล่านั้นโดยไม่ต้องสอบจะทำให้เราเข้าใจหลักการสำคัญของมันโดยไม่ต้องใส่ใจกับรายละเอียดมากนัก และนั่นจะทำให้เราสามารถนำมาใช้ได้ในการวิเคราะห์เรื่องราวต่าง ๆ เมื่อถึงเวลาต้องทำ

เคยย้อนคิดถึงชีวิตสมัยที่เป็นนักศึกษาปริญญาตรีแล้วก็พบว่าชีวิตเพียง 4 ปี นั้นได้เปลี่ยนโลกทัศน์ของตนเองไปแค่ไหนก็พบว่ามันเป็นช่วงเวลาที่มีสีสันมากมาย ไม่ใช่แค่เรื่องของวิชาการที่ใช้ในการทำมาหากิน แต่รวมไปถึงเรื่องแนวคิดในด้านต่าง ๆ ทางจิตวิทยา สังคมและการเมือง แต่หลังจากเรียนจบไปทำงานในโรงงานนั้น นอกจากความรู้เรื่องทางการผลิตและวิศวกรรมแล้ว อย่างอื่นก็แทบจะหยุดหมด เวลาผ่านไป 6-7 ปีนั้น ผมเปลี่ยนไปน้อยมาก ความรู้ใหม่ ๆ แทบไม่เกิดขึ้นนอกจากความชำนาญในการผลิต

การเรียนต่อในระดับปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจเองนั้น ทำให้เรามีมุมมองใหม่ขึ้นทางธุรกิจแต่ก็เป็นเรื่องทางทฤษฎีที่ไม่รู้ว่าจะเอาไปใช้ที่ไหน เช่นเดียวกับการเรียนปริญญาเอกทางการเงินโดยเฉพาะทางด้านการลงทุนนั้น มันไม่ได้สอนให้รู้จักการลงทุนที่ดีและจะเปลี่ยนชีวิตได้ แค่สอนให้รู้ว่า เราจะทำผลตอบแทนได้เท่ากับค่าเฉลี่ยอย่างไร โดยที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุด อย่างไรก็ตาม การเรียนในแบบของ “นักศึกษา” นั้น มันมีประสิทธิภาพสูงกว่าการทำงาน ในการเปลี่ยนตัวเราไปในทางที่ดีขึ้นอยู่ดี

มองย้อนหลังกลับไป ผมคิดว่าคิดถูกต้องมากที่ลาออกจากงานประจำในวัย 50 ปี ชีวิตหลังลาออกจากงานของผมคล้าย ๆ กับการกลับมาเป็นนักศึกษาปริญญาตรีใหม่ สิ่งที่ผมทำส่วนใหญ่คล้าย ๆ กับการทำ “กิจกรรมนักศึกษา” นั่นคือเป็นเรื่องที่ทำเพราะเราอยากเรียนรู้ ทำเพราะรู้สึกสนุกสนาน ทำเพราะมันเป็นสิ่งที่ดีและตรงกับทัศนะของเราและทั้งหมดนั้น ไม่ได้ต้องการเงิน! แม้แต่เพื่อนและสังคมเองก็เปลี่ยนแปลงไป

ในช่วงที่ทำงานประจำนั้น ทุกคนมี “ชนชั้น” เป็นนาย เป็นลูกน้อง เป็นเพื่อนร่วมงาน เป็นผู้ใหญ่ และอีกร้อยแปด แต่ในสังคมของการลงทุนนั้น ทุกคนดูเหมือนจะเป็นเพื่อนกัน แม้ว่าจะต่างอายุและฐานะทางสังคมอื่นๆว่าที่จริง ไม่มีใครมีสถานะทางสังคมเป็นพิเศษอยู่แล้ว และอายุเองก็ไม่มีความหมาย นี่อาจจะทำให้เรารู้สึกแก่ช้าลงและอาจจะทำให้เราเข้าใจ “โลกยุคใหม่” ได้ดีขึ้น ซึ่งทั้งหมดนั้น ช่วยให้เราสามารถวิเคราะห์และตัดสินใจเกี่ยวกับการลงทุนได้ดีขึ้น

Evolution หรือการวิวัฒนาการของผมหลังจากลาออกจากงานประจำนั้น คิดว่าเร็วและดีขึ้นมาก นึกไม่ออกว่าตนเองจะเป็นอย่างไรถ้ายังทำงานอยู่จนถึงอายุเกษียณที่ 60 ปี แต่ผมเชื่อว่าผมคงเป็นคนที่มีความเป็นอนุรักษ์นิยมที่ไม่สามารถเข้าใจความนึกคิดของคนรุ่นใหม่ได้มากนัก เหตุผลอาจจะเป็นเพราะผมคงไม่ได้อ่านหนังสือและศึกษาเรื่องราวต่าง ๆ ที่เป็น “ธรรมชาติ” ของชีวิตและสังคม ที่จะต้องดำเนินไปตามวิวัฒนาการที่ควรจะเป็นของคนไทย

มองย้อนหลังกลับไปตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมาพบว่าผมเปลี่ยนไปไม่น้อยในด้านต่าง ๆ ผมจำความคิด ความเชื่อและความศรัทธาสมัยที่เป็นเด็กในมหาวิทยาลัย เป็นพนักงานและผู้บริหารในบริษัทได้ และไม่เหมือนกับในปัจจุบัน แม้แต่การลงทุนของผมเองก็มีการเปลี่ยนแปลงไป ระหว่างช่วงที่ผมยังเทรดหุ้นเป็นรายหลายวันหรือรายเดือน ระหว่างช่วงที่เป็น VI ใหม่ๆ และในปัจจุบัน

นอกจากนั้น ผมยังคิดอีกว่าอนาคตก็ยังอาจจะเปลี่ยนไปอีก ชาร์ลี มังเกอร์ คู่หู วอเร็น บัฟเฟตต์ เคยให้สัมภาษณ์ว่า บัฟเฟตต์เองนั้น มีวิวัฒนาการดีขึ้นเรื่อย ๆ ในการลงทุนแม้ว่าอายุจะ 70-80 ปีขึ้นไปแล้วเขาก็ยังพัฒนาไปได้ต่อเนื่อง ผมเองก็หวังว่าผมก็จะไม่หยุด คิดว่านี่เป็นเรื่องสำคัญที่คนจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวในชีวิต ผมพบเพื่อนหลายคนตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาตรีนั้น เคยมีความโดดเด่นมากแต่หลังจากหลายสิบปีผ่านไปไม่ได้มีการพัฒนาหรือปรับตัวมากนัก ผลก็คือความก้าวหน้าก็หยุดลง และกลายเป็นคนที่ล้าหลังเพื่อน ที่เคยไม่โดดเด่นแต่ปรับตัวเองมาตลอด

เขียนมายืดยาวถึงเรื่อง “ความหลัง” ตั้งแต่เด็กก็เพื่อที่จะบอกว่า การเรียนรู้ ปรับตัว และพัฒนาไปเรื่อย ๆ ไม่หยุดนั้น เป็นปัจจัยสำคัญของความสำเร็จในชีวิต คนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงหรือมีความสามารถโดดเด่นในช่วงเวลาหนึ่งแต่แล้ว “ติด” อยู่กับสิ่งเดิมและไม่เรียนรู้เพิ่มเติมนั้น ไม่มีทางจะประสบความสำเร็จเท่าคนที่ “วิวัฒนาการ” ไปเรื่อย ๆ ซึ่งถึงแม้ว่าจะไปอย่างช้า ๆ แต่การไม่หยุดนั้น ย่อมทำให้สุดท้ายแล้วจะประสบความสำเร็จในชีวิตมากกว่า


สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : เรียนรู้ ปรับตัว ตลอดชีวิต

view