ฝ่าด่านแห่งความล้มเหลว
โดย : แจ็ค มินทร์ อิงค์ธเนศ
จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
การบริหารงานท่ามกลางภาวะวิกฤติหรือความผันผวนทางเศรษฐกิจเช่นทุกวันนี้ดูจะเป็นยาขมสำหรับผู้บริหารมือใหม่
หรือผู้บริหารระดับกลางที่ต้องอาศัยผู้นำเป็นผู้จุดประกายความกล้าในการเผชิญหน้ากับปัญหาต่างๆ ที่ถาโถมเข้ามา
เพราะภาวะผันผวนที่กำลังเกิดขึ้นนี้อาจเป็นเรื่องที่พวกเขาพยายามหลีกเลี่ยงมาหลายครั้งหลายหน โดยเฉพาะผู้บริหารที่เป็นคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ที่ยังอ่อนพรรษาและกลัวความล้มเหลวจนไม่กล้ารับมือกับความท้าทายใดๆ ที่อยู่ตรงหน้า
ด่านแรกที่ผู้นำต้องพาให้เขาผ่านไปให้ได้ก็คือ อุปสรรคเฉพาะหน้า ต้องชี้ให้เขาเห็นว่าการวิ่งหนีปัญหาอาจทำให้เขาไม่ต้องเสียแรงปะทะแต่ก็จะไม่มีทางได้แก้ปัญหาใดๆ เลย ส่วนการตะลุมบอนกับปัญหาแต่เพียงอย่างเดียวก็อาจไม่ใช่ทางออก แต่การถอยออกมาเพื่อมองปัญหาแบบภาพกว้าง และมองเห็นทุกอย่างในแบบองค์รวมแล้วเราก็จะเข้าใจที่มาที่ไปของปัญหาทั้งหมดและจัดการแก้ปมที่ขมวดแน่นอยู่นั้นได้ง่ายขึ้น
ไม่มีใครในโลกที่ไม่เคยเจอปัญหา ไม่มีใครที่ไม่เคยกลัวอุปสรรค แต่หากใครก็ตามที่หนีปัญหาเพื่อหลีกเลี่ยงการล้มเหลว เขาก็จะไม่มีวันประสบความสำเร็จได้เลยเพราะไม่เกิดความพยายามหรือความกล้าที่จะท้าทายตัวเอง
ความล้มเหลวจึงไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่เป็นเครื่องเตือนใจให้เราพยายามให้มากขึ้นและพยายามได้อย่างถูกทางในอนาคต การเฝ้าหนีปัญหาจึงเป็นเหมือนมะเร็งร้ายที่เกาะกินอยู่ในใจของเรา และเราต้องหาทางก้าวข้ามมันไปให้ได้สำเร็จ
ก่อนจะถึงเทศกาลรับปีใหม่ ค่อนข้างเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าเศรษฐกิจของบ้านเรายังคงอยู่ในภาวะซบเซาและกว่าจะฟื้นขึ้นมาเป็นปกติได้ก็ต้องรอถึงไตรมาสที่ 2-3 ของปี 2558 ซึ่งแปลว่าเรายังต้องเจอปัญหาและอุปสรรคไปจนอีก 2-3 ไตรมาส
ดัชนีตัวเลขจากธนาคารและสถาบันการเงินต่างๆ ก็บ่งชี้ว่าสินเชื่อที่เกือบถึงขั้น “ด้อยคุณภาพ” หรือ NPL นั้นมีสูงถึง 20-30% ซึ่งสินเชื่อกลุ่มนี้ดูภาพนอกอาจดูเป็นปกติเพราะยังไม่เกินเกณฑ์ที่จะจัดให้เป็นเอ็นพีแอล แต่ก็พยายามผลัดผ่อนหรือจ่ายดอกเบี้ยขั้นต้นมาบ้างเป็นบางส่วนเพื่อที่จะรักษาสถานะของตัวเองเอาไว้
สถานการณ์เหล่านี้ย่อมส่งผลกระทบกับเราโดยตรงและหลีกเลี่ยงไม่ได้ การรักษากลยุทธ์เดิมเอาไว้อาจก่อให้เกิดผลเสียอย่างคาดไม่ถึง เช่นการทุ่มตลาดอย่างเต็มที่เพื่อหวังยอดขายเพราะท้ายสุดอาจได้เพียงสต็อกสินค้ามหาศาลกลับคืนมา การอยู่รอดได้อาจไม่ต้องใช้ยอดขายมากมาย แต่มีกำไรเบื้องต้นที่ได้มากจากการลดต้นทุน บริหารคลังสินค้า และอื่นๆ อีกมากมายเป็นตัวทดแทน
ด่านที่สองที่ผู้บริหารต้องเจอคือความอยาก “สวนกระแส” โดยเฉพาะในภาวะเศรษฐกิจไม่ดีเช่นนี้ ซึ่งการสวนกระแสจนประสบความสำเร็จได้นั้นไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว และไม่มีใครบอกได้ว่าต้องเบนเข็มธุรกิจไปในทิศทางไหนแล้วจะเจอแจ็คพ็อต
ประเด็นสำคัญอยู่ที่คนที่สวนกระแสแล้วประสบความสำเร็จได้นั้นส่วนใหญ่แล้วล้วนเป็นคนที่ทำในสิ่งที่ตัวเองถนัด คุ้นเคย และมีสินค้าหรือบริหารที่ตรงกับ Core Competency ของตัวเองเป็นหลัก นั่นคือการทำในสิ่งที่ตัวเองชอบและรักที่จะทำในสิ่งนั้นๆ
หากการสวนกระแสทำให้เราต้องฝืนทำสิ่งที่เราไม่ถนัดหรือไม่มีจิตวิญญาณที่จะทุ่มเททำงานได้อย่างเต็มที่แล้วงานนั้นๆ ก็จะไม่มีวันประสบความสำเร็จ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นงานที่ดูแตกต่างและโดดเด่นมากก็ตาม เพราะมันเป็นเพียงทำงานไปตามความต้องการของคนอื่นๆ เท่านั้นเอง
หากเรามีความคิดความฝันและต้องการผลักดันให้สิ่งที่เราคิดไว้เกิดขึ้นได้จริงๆ นั่นแหละจะกลายเป็นการสวนกระแสที่สำเร็จได้ในอนาคต แต่ด่านแรกที่ต้องพิชิตก็คืออุปสรรคที่เราจะต้องเปลี่ยนให้มันเป็นความท้าทายที่ต้องการเอาชนะให้ได้เสียก่อน
สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน
