สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

กูรู...ชี้ช่อง ปรับยุทธวิธีหนีศก.ฟุบ

จาก โพสต์ทูเดย์

โดย...ทีมข่าวโพสต์ทูเดย์

แม้ว่ารัฐบาลจะประกาศว่าเศรษฐกิจไทยเริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้น และจะขยายตัวในอย่างเต็มที่ในไตรมาส 3-4 ของปี เนื่องจากจะมีงบประมาณลงไปในระบบจำนวนมากและจะกระตุ้นเศรษฐกิจการลงทุนให้ดีขึ้น

แต่สำหรับประชาชน ภาคธุรกิจจำนวนมากกลับรู้สึกว่าสถานการณ์เศษฐกิจที่ฝืดเคือง กำลังซื้อภายในประเทศหดตัว การบริโภคภาคครัวเรือนซบเซาอย่างหนัก กำลังกัดกินประเทศ

เนื่องจากการผลิตของภาคอุตสาหกรรมซึ่งมีสัดส่วนถึง 40% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศไม่สามารถผลิตสินค้าได้เต็มกำลังการผลิต การส่งออกติดลบหนักอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทำให้การลงทุนของภาคเอกชนไม่ขยับ เหลือแค่การท่องเที่ยวและการลงทุนภาครัฐเท่านั้นที่จะพอเป็นความหวังดึงเศรษฐกิจประเทศไม่ให้ทรุดตัวหนักลงไปกว่านี้

สถานการณ์แบบนี้ ภาคธุรกิจ นักลงทุน จะทำอย่างไรในภาคเศรษฐกิจอับเฉาจนเข้าขั้นฝืดเคืองตึงตัวจะอยู่รอดปลอดภัย

วัลลภ วิตนากร รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวถึงการปรับตัวของภาคเอกชนในช่วงที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ว่า มีปัจจัยหลัก 3 ข้อที่ผู้ประกอบการธุรกิจทั้งรายเล็กรายใหญ่จะต้องให้ความสำคัญอย่างมากในภาวะที่เศรษฐกิจซบเซา

หนึ่ง จะต้องหาทางลดต้นทุนการผลิต ซึ่งผู้ประกอบการต้องมีความรู้เรื่องการจัดการด้านขนส่งและแรงงานเป็นอย่างดีด้วย เพราะการลดต้นทุนการผลิตนั้นจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันได้มากขึ้น

สอง จะต้องหันมาให้ความสำคัญในการพัฒนาแบรนด์สินค้าเพื่อก่อให้เกิดมูลค่าที่มากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันแทบทุกธุรกิจจะมีการแข่งขันกันอย่างรุนแรงและหลากหลายรูปแบบ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนไป การพัฒนาแบรนดิ้งจึงมีความจำเป็นมากขึ้น โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าที่มีแบรนด์จะได้เปรียบคู่แข่งมากกว่าสินค้าที่ไม่มีแบรนด์

สาม ต้องรู้จักเสาะหาตลาดใหม่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะช่วงที่เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลักซบเซา จนทำให้ไทยได้รับผลกระทบด้านการส่งออกอย่างหนัก

“เรื่องหลักๆ พวกนี้หลายคนก็เข้าใจว่ามันจะต้องทำ แต่ก็ต้องอาศัยความกล้าในการตัดสินใจ และต้องมีองค์ความรู้ในการพัฒนาด้วย บางอย่างรัฐก็ต้องเข้ามาช่วย อย่างการเปิดตลาดใหม่บางประเทศก็ต้องมีความร่วมมือกัน” วัลลภ กล่าว

ขณะที่ นพพร เทพสิทธา ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า การหาตลาดใหม่ๆ เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการจะต้องเร่งปรับตัวขนานใหญ่ในระยะนี้ เนื่องจากประเทศคู่ค้าของไทยต่างประสบปัญหาด้านเศรษฐกิจกันถ้วนหน้า กำลังซื้อจึงลดลง ทั้งจีน ญี่ปุ่น สหรัฐ และสหภาพยุโรป เป็นต้น หากจะรักษายอดขายต่อไปจะต้องขยายตลาดออกไปยังตลาดใหม่

ด้าน เสี่ยช้าง-ธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ (TUF) ซึ่งถือเป็นผู้นำธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและผู้ผลิตปลาทูน่าที่ส่งออกไปทั่วโลก กล่าวว่า ภายใต้สถานการณ์ส่งออกของประเทศในปี 2558 ไม่มีการเติบโต ขณะที่เศรษฐกิจในประเทศขยายตัวลดลงนั้น ทางบริษัทได้กระจายความเสี่ยงของการทำธุรกิจด้วยการขยายตลาดให้กว้างออกไป รวมถึงขยายประเภทสินค้าให้มีความหลากหลาย ด้วยเนื้องานของธุรกิจคงหนีไม่พ้นเรื่องเหล่านี้

อย่างไรก็ตาม TUF ได้ยึดแนวทางเหล่านี้มาใช้ปฏิบัติบริหารธุรกิจนานแล้ว นานก่อนประเทศจะประสบปัญหาการส่งออกไม่มีการเติบโต เพราะถือเป็นการกระจายความเสี่ยง เพื่อลดความผันผวนในการดำเนินธุรกิจ

ธีรพงศ์ ชี้แจงว่า ผลจากการขยายตลาดให้กว้าง ทำให้ปัจจุบันนี้สัดส่วนรายได้ของบริษัทมาจากต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ โดยมีรายได้หลักมาจากสหรัฐและยุโรปรวมกันคิดเป็นสัดส่วนรายได้ 2 ใน 3 ของรายได้รวม และอีก 1 ส่วนที่เหลือกระจายในประเทศต่างๆ ขณะที่รายได้ในประเทศมีสัดส่วนไม่เกิน 10% ของรายได้รวม

อนุวัตร เฉลิมไชย นายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สถานการณ์เศรษฐกิจไม่ดี หากจะเพิ่มยอดขายให้กับสินค้าต้องกระตุ้นให้ลูกค้าเกิดการตัดสินใจ ด้วยการสร้างสินค้าให้มีความแตกต่างกับคู่แข่ง เพิ่มความสะดวกสบาย ทั้งช่องทางจัดจำหน่าย โดยเฉพาะทางออนไลน์ หรือการมีบริการครบครันเพื่อให้ผู้บริโภคเสียเวลาน้อยที่สุด

ขณะที่ขนาดของสินค้าสอดรับกับการใช้งานและกำลังซื้อ การวางราคาต้องเป็นราคาซื้อง่ายขายคล่อง และสิ่งสำคัญการทำตลาดเลือกสินค้าที่แม้ว่าเศรษฐกิจไม่ดีอย่างไร แต่ก็เป็นสิ่งที่เลิกใช้หรือไม่ซื้อไม่ได้ ในส่วนของรัฐบาลการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้ฟื้นตัว ควรวางแผนระยะยาวมากกว่าระยะสั้น

“โครงการเมกะโปรเจกต์ แม้ว่าเม็ดเงินจะไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจช้า แต่ช่วยสร้างรากฐานไทยให้แข็ง
แกร่ง หรือกระทั่งการเปิดเขตเศรษฐกิจพิเศษ ยิ่งทำได้เร็วยิ่งดี ส่วนการอัดฉีดเม็ดเงินให้รากหญ้า มองว่าเป็นวิธีที่ไม่ได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้ฟื้นตัวเลยด้วยซ้ำไป”

อย่างไรก็ตาม ในวิกฤตก็ยังมีโอกาส ชลิต ลิมปนะเวช อุปนายกฝ่ายวิชาการ สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สิ่งที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัว รัฐบาลต้องกระตุ้นอุตสาหกรรมท่องเที่ยว หากฟื้นตัวจะผลักดันให้ธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร เครื่องดื่ม สินค้าแฟชั่นได้รับอานิสงส์เติบโต และการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ต้องลดอัตราดอกเบี้ย การผ่อนผันสินเชื่อระยะยาว

ภคพรรณ ลีวุฒินันท์ นายกสมาคมการขายตรงไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมของธุรกิจขายตรงไทยตั้งแต่ไตรมาสแรกของปีนี้ ได้รับปัจจัยบวกจากการขับเคลื่อนของภาคเอกชนที่มีการปรับกลยุทธ์การแข่งขันให้เข้ากับสภาวการณ์ทางการตลาด ประกอบกับเศรษฐกิจเริ่มเข้าสู่ภาวะฟื้นตัว ประชาชนจึงเริ่มกล้าที่จะใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา มูลค่าตลาดโดยรวมน่าจะเติบโตขึ้นมากกว่า 2-3% จากมูลค่าตลาดรวมปี 2557 อยู่ที่ประมาณ 7 หมื่นล้านบาท

ปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ อาทิ เศรษฐกิจ การเมือง อาจมีผลกระทบต่อภาพรวมธุรกิจไปบ้าง แต่เชื่อว่าเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ เนื่องจากยังมีปัจจัยที่ทำให้ตลาดขายตรงเติบโต

ปัจจัยสำคัญอีกอย่างที่จะมีผลอย่างมากในธุรกิจนี้คือ ปัจจัยด้านประชากร ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะเป็นตัวชี้วัดการเติบโตของธุรกิจขายตรง ตราบใดที่ประชากรยังคงเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ โอกาสในการสร้างธุรกิจขายตรงให้เติบโตก็น่าจะมีเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนในช่วงวัย 20-30 ปี เป็นกลุ่มคนที่มีความรู้ความสามารถที่เพิ่งสำเร็จการศึกษา และมีมุมมองที่แตกต่างจากคนรุ่นก่อนๆ อย่างสิ้นเชิงในด้านการเลือกดำเนินชีวิตในสังคม เป็นกลุ่มที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูง กล้าเปลี่ยนแปลง กล้ารับใน
สิ่งใหม่ๆ

กลุ่มคนเหล่านี้เริ่มที่จะหันมามองหาโอกาสและช่องทางในการเป็นเจ้าของธุรกิจด้วยตนเอง เพื่อต้องการมีอิสระสามารถกำหนดและวางแผนการทำงานได้

นี่จึงเป็นเหตุให้ธุรกิจขายตรงกลายเป็นตัวเลือกลำดับต้นๆ ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภค

ในวิกฤตย่อมมีโอกาส อยู่ที่ใครจะมองเห็นและปรับตัวรับกับเหตุการณ์ได้ดีกว่า

ทำเงินให้งอกเงย

ฉัตรพงศ์ วัฒนจิรัฏฐ์ รองผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนและให้คำปรึกษาทางการเงินบุคคล ธนาคารกสิกรไทย ระบุว่า อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ (จีดีพี) ในปีนี้จะเติบโตต่ำกว่าคาดการณ์ เห็นได้จากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ต่างก็ปรับลดจีดีพีของประเทศไทยลง ซึ่งเป็นผลมาจากการส่งออกชะลอตัว จึงเป็นข้อมูลที่ต้องนำมาใช้ในการลงทุน

“สถานการณ์เศรษฐกิจในขณะนี้ จะทำให้ตลาดหุ้นไทยดูไม่น่าลงทุน บริษัทจดทะเบียนจะมีกำไรลดลงอัตราส่วนราคาต่อกำไร (พี/อี) ของตลาดหุ้นไทยเริ่มสูงขึ้นจากในอดีตมาอยู่ที่  15 เท่า ก็ขาดแรงจูงใจ ดังนั้นหากจะแนะนำการลงทุน หากใครมีเงินเย็น ขอแนะนำให้ทยอยลงทุนในหุ้นเน้นหุ้นพื้นฐาน ไม่ใช่หุ้นปั่นตั้งแต่ไตรมาส 2 และไตรมาส 3 เนื่องจากมั่นใจว่าเศรษฐกิจในไทยปลายปีนี้จะเริ่มฟื้นตัวขึ้น” ฉัตรพงศ์ ซึ่งเป็นมืออาชีพด้านการวางแผนการลงทุนให้คำแนะนำ

นอกจากนี้ นักลงทุนรายใดที่สามารถรับความเสี่ยงลงทุนในหุ้นต่างประเทศได้ ขอแนะนำให้ลงทุนในกองทุนรวมที่จะเข้าไปลงทุนในกลุ่มประเทศยุโรปและจีน เนื่องจากยุโรปมีการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจจำนวนมาก ก็จะเริ่มเห็นผลว่าเศรษฐกิจจะค่อยๆ ทยอยฟื้นตัว และหากพิจารณาจากกองทุนลงทุนในต่างประเทศขณะนี้ พี/อีของกองทุน 2 ประเภทนี้ยังต่ำมาก จึงควรซื้อสะสมไว้เมื่อราคาต่ำ หากซื้อเมื่อราคาขยับขึ้นแล้วก็จะมีโอกาสทำกำไรน้อยลง

อย่างไรก็ตาม นักวางแผนการเงินผู้นี้ซึ่งทำหน้าที่ดูแลเงินให้กับบรรดาผู้ที่ต้องการหาผลตอบแทนที่ดีกว่าการฝากเงินในธนาคารเพียงอย่างเดียว ไม่แนะนำให้นำเงินไปลงทุนในตราสารหนี้ เนื่องจากมีโอกาสที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะลดดอกเบี้ยลงอีกก็ได้ หากมีการลดดอกเบี้ยลงผลตอบแทนของตราสารหนี้ก็จะลดลงทันที

“หากนักลงทุนไม่อยากรับความเสี่ยงอะไรเลย ต้องการจะฝากเงินในธนาคารไว้ ก็ต้องยอมรับว่าผลตอบแทนจะต่ำ แถมต้องเสียภาษีดอกเบี้ยเงินฝากอีกด้วย หากจะฝากเงินแช่ไว้จริงก็ขอแนะนำให้ไปออมในกองทุนมันนี่ มาร์เก็ต ฟันด์ ที่จะให้ผลตอบแทนดีกว่าการฝากเงินในบัญชีออมทรัพย์ และไม่เสียภาษีผลตอบแทนการลงทุนเหมือนเงินฝาก” ฉัตรพงศ์ ชี้ช่องในการทำเงินให้งอกเงย

สำหรับผู้ที่อยากลงทุนด้วยการสร้างกิจการของตัวเองขึ้นมา หากยังไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน ฉัตรพงศ์ที่ทำหน้าที่วางแผนและให้คำปรึกษาทางการเงินบุคคล ธนาคารกสิกรไทย แนะนำให้เขาเหล่านั้นเริ่มต้นด้วยการไปเป็นลูกจ้างเขาก่อนสัก 3-4 ปี เพื่อหาประสบการณ์ สะสมเงินทุน และสร้างเครือข่ายให้มีคนรู้จักเยอะขึ้น ก็จะช่วยให้โอกาสของธุรกิจที่วางแผนว่าจะทำสามารถตั้งตัวได้และประสบความสำเร็จ

นอกจากนี้ ในระยะต้นขอแนะนำให้เริ่มทำเป็นอาชีพเสริมจากงานหลักที่ทำอยู่แล้วไปก่อน หากลาออกจากงานประจำไป ทำธุรกิจไม่สำเร็จจะลำบากมากกว่า เพราะไม่มีอาชีพอื่นมารองรับในภาวะที่เศรษฐกิจฝืดเคือง

“แม้เศรษฐกิจจะแย่ แต่ในภาพรวมธุรกิจรายสาขาก็มีทั้งดีและไม่ดี ทำอาชีพเสริมปลอดภัยกว่า หากจับธุรกิจถูกตัวก็มีโอกาสรวยได้ ยิ่งเศรษฐกิจไม่ดียิ่งต้องระมัดระวังการนำเงินที่สะสมไว้ไปลงทุน”ฉัตรพงศ์ แนะนำ

ขณะที่ วิน พรหมแพทย์ CFA หัวหน้ากลุ่มงานลงทุน และรองโฆษกสำนักงานประกันสังคม มองว่า เศรษฐกิจโลกในปี 2558 ยังฟื้นตัวได้อย่างเปราะบาง มีเพียงเศรษฐกิจสหรัฐที่ยังโตได้บ้าง ประมาณ 3-3.5% แต่ลำพังเศรษฐกิจสหรัฐไม่สามารถช่วยดึงให้ยุโรปและญี่ปุ่นฟื้นจากภาวะเศรษฐกิจซบเซาได้

เพราะลำพังเศรษฐกิจสหรัฐไม่สามารถช่วยดึงให้ยุโรปและญี่ปุ่นฟื้นจากภาวะเศรษฐกิจซบเซาได้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐทำให้มีโอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด จะปรับขึ้นดอกเบี้ยในปลายปีนี้ ส่งผลให้กระแสเงินลงทุนอาจจะไหลกลับไปสหรัฐทำให้ตลาดการเงิน ทั้งตลาดพันธบัตรและตลาดหุ้นมีความผันผวนได้มาก คาดว่าปี 2558 นี้จะมีโอกาสที่ตลาดหุ้นจะปรับฐานอีกครั้ง ซึ่งจะเป็นโอกาสดีสำหรับนักลงทุนระยะยาวที่รอจังหวะเข้าลงทุนในของดีราคาถูก

อย่างไรก็ตาม คนที่เป็นนักลงทุนในตลาดหุ้นต้องพึงระวัง เพราะข้อมูลที่ วรวรรณ ธาราภูมิ ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนใน 3 เดือนข้างหน้าปรับตัวลดลงถึง 33.5% มาอยู่ที่ 78.90 จากเดือนที่ผ่านมาที่อยู่ที่ 118.64 ทำให้ทิศทางตลาดทุนของไทยเริ่มเข้าสู่ภาวะซบเซา

ข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า นักลงทุนมีความเชื่อมั่นลดลงอย่างมากในทุกกลุ่ม โดยดัชนีความเชื่อมั่นของกลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์มาอยู่ที่ 100 กลุ่ม นักลงทุนต่างประเทศอยู่ที่ 85.71 นักลงทุนรายย่อย 76.79 และสถาบันในประเทศ 76.47

วรวรรณ ชี้แจงว่า ดัชนีความเชื่อมั่นที่ลดลงมาจากเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัว นโยบายการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สถานการณ์ความไม่สงบทางการเมือง การลงทุนของภาครัฐ รองลงมาคือสถานการณ์ต่างประเทศ โดยเฉพาะการใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงิน การปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ การก่อการร้าย ซึ่งจะมีผลต่อตลาดทุน

ดังนั้น จึงขอให้จับตามูลค่าการซื้อขาย ซึ่งขณะนี้เริ่มเบาบางลงจากวันละ 6 หมื่นล้านบาท เหลือแค่วันละ 4 หมื่นล้านบาท หากมูลค่าการซื้อขายเบาบางต่อเนื่องก็จะสะท้อนว่านักลงทุนเริ่มหมดแรงซื้อและหันไปลงทุนในตลาดหุ้นอื่นที่น่าสนใจกว่า เช่น จีน ญี่ปุ่น และอินเดีย

ขณะที่หมวดอุตสาหกรรมที่น่าลงทุนมากที่สุดในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ คือ กลุ่มธนาคาร ขณะที่หมวดยานยนต์เป็นหมวดธุรกิจที่ไม่น่าลงทุนมากที่สุด

คนที่พอมีสตางค์ฟังข้อแนะนำเหล่านี้ไว้ย่อมไม่เสียหลาย มีแต่ได้กับได้ 


สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : กูรู ชี้ช่อง ปรับยุทธวิธี หนีศก.ฟุบ

view