สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

หุ้นตก-ทองเตี้ย-ดอกเบี้ยต่ำ ลงทุนแบบไหน...กำไรดี

จาก โพสต์ทูเดย์

โดย...เจียรนัย อุตะมะ/สวลี ตันกุลรัตน์

หุ้นตก-ทองเตี้ย-ดอกเบี้ยต่ำ ลงทุนแบบไหน...กำไรดี

คงต้องเรียกภาวะการลงทุนช่วงนี้ว่า ช่วงเวลา “ปราบเซียน” เพราะมองไปทางไหนก็ดูจะมีแต่ “ข่าวร้าย” ไม่ว่าจะเป็นดอกเบี้ยต่ำ ทองคำตก เศรษฐกิจโตช้า เมกะโปรเจกต์ยังไม่เดิน ตลาดหุ้นฝรั่งหาย พี่ไทยไม่กล้าเสี่ยง ดัชนีร่วงรูดจนน่าเป็นห่วงว่าจะ 1,400 จุด

เจอสถานการณ์แบบนี้จะยังมีการลงทุนอะไรที่พอจะให้ผลตอบแทนที่ดีอยู่บ้างไหม ต้องให้ “กูรู” ตัวจริงเสียงจริงมาให้คำตอบ

กองทุนอสังหาฯ น่าสนใจ

ไม่ว่าจะเป็นกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (รีท) หรือกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน เป็นการลงทุนที่น่าสนใจในมุมมองของ วิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) วรรณ เพราะเป็นการลงทุนที่คาดว่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีอย่างสม่ำเสมอ

“จะลงทุนกองทุนไหนก็ได้ แต่ต้องเป็นสินทรัพย์ที่เราชอบ และเข้าใจโครงสร้างรายได้ของกองทุนนั้น หากไม่เข้าใจ แนะนำให้เลือกลงทุนในกองทุนที่ลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์จะดีกว่า” วิน กล่าว

ตราสารหนี้สั้นดีกว่ายาว

ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยต่ำและมีแนวโน้มว่าจะต่ำลงไปอีก วินแนะนำให้ลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น ที่เน้นลงทุนตราสารหนี้อายุ 6-24 เดือน เพราะจะได้ผลตอบแทนดีกว่าตราสารหนี้ระยะยาว หากดอกเบี้ยปรับลดลงไปอีกตราสารหนี้ระยะสั้นจะได้กำไรเพิ่มเติม นอกจากนี้ ความเสี่ยงยังต่ำกว่าตราสารหนี้ระยะยาวอีกด้วย

หุ้นไทยปันผลดีมีอีกเยอะ

แม้ว่าตลาดหุ้นไทยจะหวือหวายิ่งกว่ารถไฟเหาะตีลังกา แต่ถ้าเป็น “นักเก็งกำไร” น่าจะชอบภาวะตลาดแบบนี้ เพราะมีโอกาสให้ซื้อๆ ขายๆ หลายรอบ แต่ถ้าเป็นนักลงทุนธรรมดาๆ แนะนำให้มองหา “หุ้นปันผลสูง” จะดีกว่า

เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส แนะนำ
ให้เลือกหุ้นที่มีอัตราเงินปันผลตอบแทนมากกว่า 5% และราคาไม่ผันผวนไปตามดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (หรือหุ้นที่มีค่าเบต้าต่ำ)

นอกจาก “หุ้นปันผล” จะให้ผลตอบ แทนที่สม่ำเสมอแล้ว พีรพงศ์ จิระเสวีจินดา กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.บัวหลวง ยังบอกว่า ยิ่งราคาหุ้นตกลงไปมากเท่าไร จะยิ่งทำให้อัตราเงินปันผลสูงขึ้นอีก

“หุ้นบางตัวที่เคยให้ปันผล 5% แต่พอราคาหุ้นตกลงมา 30-40% ก็ทำให้อัตราเงินปันผลเพิ่มเป็น 10% ซึ่งถือว่าสูงมากในช่วงที่ดอกเบี้ยต่ำแบบนี้ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี ที่อยู่ที่ 1.8-1.9% เท่านั้น”พีรพงศ์ กล่าว

และสำหรับคนที่ตั้งใจจะซื้อกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ไว้ประหยัดภาษี ช่วงนี้เป็นโอกาสดีที่จะแบ่งเงินมาทยอย ลงทุนไว้ได้แล้ว เพราะไม่แน่ว่าถ้ารอไปซื้อปลายปีอาจจะไม่มีของดีราคาถูกแบบนี้ให้เลือกซื้ออีกแล้ว

หุ้น ตปท. มีโอกาสมากกว่า

ถ้าในประเทศไม่มีข่าวดีที่จะมาทำให้ตลาดหุ้นเฟื่องฟู ลองออกไปลงทุนต่างประเทศน่าจะมีโอกาสให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า เพราะในหลายประเทศเศรษฐกิจเติบโตได้ดี บริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มกำไร น่าจะทำให้ราคาหุ้นวิ่งได้แรงกว่า

การลงทุนหุ้นต่างประเทศก็ง่ายนิดเดียว เพราะในปัจจุบันมีกองทุนหุ้นต่างประเทศให้เลือกลงทุนค่อนข้างหลากหลาย จะลงทุนเป็นรายประเทศก็มีอยู่มาก ไม่ว่าจะเป็นหุ้นญี่ปุ่น อาเซียน สหรัฐ ยุโรป เอเชียเหนือ อินเดีย และที่ขาดไม่ได้ คือ จีน

วิน บอกว่า ชอบหุ้นญี่ปุ่น อาเซียน และสหรัฐ แต่ถ้าชอบบู๊มากหน่อยใส่หุ้นจีนลงในพอร์ตสัก 10% เพิ่มความเร้าใจให้ผลตอบแทน เพราะแม้ว่าหุ้นจีนจะมีความผันผวนสูง แต่ก็ทำให้มีโอกาสได้กำไรสูงเช่นกัน

นอกจากนี้ ยังสามารถเลือกลงทุนเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมได้อีก เช่น กลุ่มธนาคารและกลุ่มเฮลธ์แคร์ ที่กำลังมาแรงในช่วงนี้

ชอร์ตทอง หาช่องทำกำไร

แม้กูรูทองคำในต่างประเทศ จะคาดว่าราคาทองคำในตลาดโลกมีโอกาสจะลงไปถึง 1,000 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์
แต่ นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกลุ่มบริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก ยังมั่นใจว่า ราคาทองคำในประเทศจะไม่หลุดบาทละ 1.7 หมื่นบาท เนื่องมาจากเงินบาทอ่อนค่า

“ถ้าจะเก็งกำไรราคาทองคำ แนะนำให้ชอร์ต หรือขายล่วงหน้าสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า เมื่อราคาทองคำขึ้นไปเหนือระดับ 1,100 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ โดยชอร์ตที่ราคา 1,080-1,090 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ ในสัญญาซื้อขายระยะ 1-2 เดือน” นพ.กฤชรัตน์ แนะนำ

พร้อมกับเตือนนักลงทุนที่ลงทุนทองคำแท่ง ว่า ไม่ควรซื้อทองคำเก็บในระยะยาวเพราะมีความไม่แน่นอนสูง แต่แนะนำให้เฉลี่ยซื้อเพื่อออมทองคำเป็นประจำทุกเดือนเพื่อถือระยะยาวโดยใช้เงินเย็น จะได้ทองคำในราคาเฉลี่ยที่ถูกลง และมีโอกาสทำกำไรในระยะยาวมากกว่า

จัดพอร์ตตามใจ

ในเวลาที่มีแต่ข่าวร้ายก็ยังพอมีการลงทุนที่น่าสนใจอยู่เสมอ แต่ไม่ใช่เห็นใครลงทุนอะไรที่ว่าดี มีกำไร ก็เฮโลตามๆ เขาไป เพราะถ้าจะให้ดีควรจะแบ่งเงินออกเป็นส่วนๆ แล้วเลือกลงทุน “ตามใจ”

ถ้าเป็นคนที่ “เสี่ยงไม่ได้ใจไม่ถึง” วินแนะนำให้ทุ่มเงินไปที่กองทุนอสังหาริมทรัพย์ 50% ของเงินลงทุน ที่เหลือก็แบ่ง 30% ไปที่กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น และ 20% กองทุนตลาดเงิน ซึ่งพอร์ตแบบนี้พอจะหวังผลตอบแทนได้ประมาณ 4-5%

แต่ถ้า “เสี่ยงได้บ้างพอทำใจ” ให้เพิ่มการลงทุนในหุ้นมา 30% ในจำนวนนี้แบ่งเป็นหุ้นไทย 15% และหุ้นต่างประเทศ (เช่น ญี่ปุ่นและอาเซียน) 15% ลดกองทุนอสังหาริมทรัพย์เหลือ 30% เพิ่มกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นเป็น 40% แต่ลืมกองทุนตลาดเงินไปได้เลย คาดว่าจะให้ผลตอบแทนได้สัก 7-8%

กลุ่มสุดท้าย “เสี่ยงโลดพร้อมลุย” วินบอกว่า คงสัดส่วนหุ้นไทยไว้ 30% แต่ให้ใส่เงินที่หุ้นต่างประเทศไปเลยเต็มๆ 40% (แต่ในจำนวนนี้ให้มีหุ้นจีน 10% ที่เหลืออาจจะเป็นญี่ปุ่น อาเซียน และสหรัฐ) ลดกองทุนอสังหาริมทรัพย์และกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น เหลืออย่างละ 15% น่าจะมีลุ้นกำไร 10-15%

ถ้าทำได้ตามนี้ ไม่ต้องเป็น “เซียน” ก็กำไรในภาวะที่ยากลำบากแบบนี้ได้ เพราะกำไรมีอยู่ทุกที่และทุกเวลา ขึ้นอยู่กับว่าเราจะหาเจอหรือไม่เท่านั้นเอง

"ยูนิตลิงค์" ทางเลือกลงทุน

โดย...วารุณี อินวันนา

ทางเลือกสำหรับการออมและการลงทุนรูปแบบใหม่ ที่คนไทยเพิ่งเริ่มรู้จักเมื่อ 4-5 ปีที่ผ่านมา คือ “ยูนิต ลิงค์” หรือประกันชีวิตควบการลงทุน ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุนต่างชาติมาก

เหตุผลที่ยูนิต ลิงค์ ได้รับความนิยมจากนักลงทุนมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากเป็นเครื่องมือที่มีความยืดหยุ่นในการ
ปรับเปลี่ยนได้ตามใจของผู้ซื้อผลิตภัณฑ์เดียว ที่ให้ความคุ้มครองชีวิตและผลตอบแทนจากการลงทุน โดยบริษัทประกันชีวิตจะแบ่งเงินลงทุน ที่เรียกว่า “เบี้ยประกันภัย” ออกเป็น 2 ก้อน

การชำระเบี้ยประกันภัย มีให้เลือกตั้งแต่จ่ายเป็นรายเดือน รายไตรมาส ราย 6 เดือน รายปี และชำระครั้งเดียว โดยเบี้ยประกันสำหรับกรมธรรม์ตลอดชีพ เริ่มต้นขั้นต่ำตั้งแต่ปีละ 1.2 หมื่นบาท ส่วนแบบชำระครั้งเดียวเริ่มต้นขั้นต่ำ 1 แสนบาท

ก้อนหนึ่งจะนำไปเป็นเบี้ยคุ้มครองความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นกับชีวิตเมื่อจากไปก่อนเวลาอันควร ส่วนใหญ่จะมีประมาณ 7% ของเบี้ยที่ชำระทั้งหมด ซึ่งบางบริษัทจะเพิ่มความคุ้มครองตามเงินลงทุนและมูลค่าเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้น บางบริษัทให้เลือกตั้งแต่ 5-120 เท่าของเบี้ยประกันที่ชำระต่อปี ขึ้นอยู่กับอายุของผู้ซื้อประกันชีวิต ถ้าอายุน้อยจะเลือกความคุ้มครองได้สูง ถ้าอายุมากจะเลือกความคุ้มครองได้ต่ำ โดยความคุ้มครองส่วนใหญ่จะเป็นแบบตลอดชีพ

เงินอีกก้อนหนึ่ง ประมาณ 80-85% จะถูกนำไปลงทุน โดยเลือกบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมชั้นนำ มีประวัติดี โปร่งใส มาบริหารเงินดังกล่าว ส่วนใหญ่จะมีกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงระดับ 2-6 มาให้เลือก ตั้งแต่กองทุนรวมตลาดเงินที่ลงทุนในตราสารหนี้และเงินฝาก กองทุนรวมผสมที่ลงทุนในตราสารหนี้ เงินฝาก ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน หุ้น กองทุนรวมตราสารแห่งทุน หรือหุ้น

ทั้งนี้ ยูนิต ลิงค์ ของบริษัทประกันชีวิตจะจัดสัดส่วนพอร์ตลงทุนที่คล้ายๆ กัน คือ ผสมพอร์ตลงทุนในตราสารการเงินและในตราสารทุนหรือหุ้น อยู่ในระดับ 80:20 หรือ 20:80 หรือ 50:50 หรือ 35:65 และให้สับเปลี่ยนกองทุนได้

จุดเด่น ของการลงทุนในยูนิต ลิงค์ คือ ได้รับความคุ้มครองชีวิตสูง เช่น ชายอายุ 45 ปี ซื้อยูนิต ลิงค์ ชำระเบี้ยรายปี ปีละ 1 ล้านบาท จะเลือกความคุ้มครองได้ 10 เท่า เป็นเงิน 10 ล้านบาท หากเสียชีวิตจะได้รับเงินค่าสินไหมทดแทน 10 ล้านบาท โดยรายได้กฎหมายยกเว้นให้ไม่ต้องเสียภาษี โดยค่าเบี้ยประกันภัยที่นำไปคุ้มครองชีวิตประมาณ 7% สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้กรณีเลือกกรมธรรม์ที่มีความคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป

นอกจากนี้ ยังได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนด้วย ซึ่งเงินที่นำไปลงทุนไม่สามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้ เช่น กรณีนี้ หากมูลค่าเงินลงทุนเพิ่มขึ้นจากเงินต้นที่ลงไป 1 ล้านบาท เป็น 2 ล้านบาท เมื่อขายหน่วยลงทุน ก็จะได้รับ 2 ล้านบาท รวมถึงสามารถถอนเงินออกมาใช้บางส่วนได้ และเพิ่มหรือลดเบี้ยประกันได้ตามเงื่อนไขเวลาของแต่ละบริษัท

รวมแล้วจะได้รับเงินทั้งสิ้น 12 ล้านบาท แต่การลงทุนมีความเสี่ยง หากเกิดการขาดทุน ทำให้เงินลงทุนลดลงเหลือ 5 แสนบาท ก็จะได้รับเงินทั้งสิ้น 10.5 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม หากไถ่ถอนกรมธรรม์ก่อนครบกำหนดสัญญาจะได้รับเฉพาะมูลค่าหน่วยลงทุนเท่านั้น จะไม่ได้รับผลประโยชน์ในส่วนของทุนประกันภัย

สำหรับเรื่องที่ต้องตระหนักและเข้าใจในการลงทุนในยูนิต ลิงค์ คือ เงินลงทุนมีโอกาสขึ้นและลงตามภาวะตลาดทุนและตลาดเงิน จึงมีโอกาสขาดทุนและการมีค่าธรรมเนียมในการรักษากรมธรรม์ ค่าธรรมเนียมในการซื้อคืนหน่วยลงทุน ค่าธรรมเนียมในการถอนเงินจากกรมธรรม์ ค่าธรรมเนียมในการสับเปลี่ยนกองทุน บางบริษัทจะให้สับเปลี่ยนฟรีได้ปีละ 2 ครั้ง บางบริษัทจะคิดค่าธรรมเนียมทุกครั้งที่สับเปลี่ยน ค่าธรรมเนียมในการรายงานสถานะทางการเงินของกรมธรรม์

อาชีพเสริม เพิ่มรายได้

โดย...ชลลดา อิงศรีสว่าง

ความจริงที่แสนจะโหดร้ายของ “มนุษย์เงินเดือน” คือ รายได้ไม่พอกับรายจ่าย เรียกภาษาที่ชาวบ้านให้เข้าใจง่ายๆ นั่นคือ “ชักหน้าไม่ถึงหลัง” ทำให้มนุษย์เงินเดือนหลายคนต้องทำอาชีพเสริมไปด้วยนอกเหนือจากงานประจำ

ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทำให้มนุษย์เงินเดือนหลายคนสามารถที่จะทำอาชีพเสริมได้ โดยไม่ทำให้งานประจำเสียหาย ใช้เวลาไม่นานก็สามารถมีรายได้พอเลี้ยงครอบครัว หรือแม้กระทั่งเด็กนักเรียนนักศึกษาเองก็สามารถหารายได้เสริมเพื่อแบ่งเบาภาระของผู้ปกครองได้บ้าง

ฉัตรพงศ์ วัฒนจิรัฏฐ์ ผู้บริหารงานพัฒนาการให้คำปรึกษาลูกค้าบุคคล ธนาคารกสิกรไทย ให้คำแนะนำสำหรับคนที่มีเงินเดือนไม่พอใช้จ่าย โดยเฉพาะคนที่มีครอบครัว มีค่าใช้จ่ายสำหรับบุตรหลานที่ต้องรับผิดชอบ ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงลูก 1 คน หากต้องการให้คุณภาพชีวิตดี ค่าใช้จ่ายแทบไม่ต่างจากผู้ใหญ่เลยทีเดียว

หากต้องการจะทำอาชีพเสริมที่เป็นงานอิสระ ฉัตรพงศ์ไม่แนะนำให้ลาออกจากงานประจำ แต่ให้ทำงานเสริมนอกจากอาชีพเดิม ด้วยเหตุผลว่า หากไม่ประสบความสำเร็จก็ยังมีรายได้จากงานประจำค้ำอยู่ ถ้าผลีผลามออกจากงานประจำไปทำอาชีพอิสระโดยไม่คิดให้รอบคอบ โอกาสที่จะล้มเหลวจะมากกว่าสำเร็จ

ฉัตรพงศ์ แนะนำว่า ก่อนจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระ ควรจะต้องตอบคำถามตัวเองก่อนใน 3 เรื่อง คือ ความชอบ ความถนัด และประสบการณ์ ว่าเรามีทั้ง 3 สิ่งในเรื่องเหล่านี้อย่างไรบ้าง

“ทั้ง 3 ประเด็นเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้การทำชีพเสริมประสบความสำเร็จได้หรือไม่” ฉัตรพงศ์ กล่าว

ความชอบ ก่อนจะลงมือทำอะไร ตอบตัวเองได้หรือไม่ว่าเรารักหรือชอบที่จะทำอะไร มีความสุขกับการทำอะไร อะไรคืองานอดิเรกที่เราทำแล้วมีความสุข เพราะการเริ่มต้นจาก ความชอบและใจรักในสิ่งที่ทำ จะทำให้เราสามารถทำสิ่งนั้นได้นาน ทำโดยไม่รู้สึกเบื่อ ทำได้อย่างมีความสุข โดยไม่มีใครมาบังคับ ทำงานเหมือนไม่ได้ทำ

ความถนัด เราจะรู้ตัวเองดีว่าตัวเองมีทักษะ มีความถนัด มีความสามารถพิเศษอะไร ที่จะนำมาพัฒนาเป็นอาชีพเสริมได้บ้าง เพราะทักษะหรือความสามารถจะทำให้เราเริ่มทำสิ่งนั้นเป็นอาชีพเสริมได้ง่ายกว่าสิ่งที่เราไม่มีทักษะอยู่เลย

บางคนอาจจะนึกถึงคำว่า พรสวรรค์ แต่ไม่จำเป็นเสมอไป เพราะเราสามารถสร้างและพัฒนาทักษะหรือความสามารถพิเศษขึ้นมาได้ ถ้าเราสนใจใฝ่รู้ โดยเฉพาะในยุคนี้ที่ความรู้มีอยู่ในโลกออนไลน์ แต่ที่ต้องตอบตัวเองให้ได้ คือ เรามีทักษะ มีความสามารถ หรือมีความชำนาญในสิ่งนั้นจริงๆ หรือไม่ ถ้ายังมีไม่มากพอ ก็ต้องเริ่มฝึกฝนอย่างจริงจังตั้งแต่วันนี้

ประเด็นสุดท้ายคือ ประสบการณ์ บางทีสิ่งที่เราพบ เราเห็น สิ่งใกล้ๆ ตัวที่เราเคยมองข้ามมันก็อาจจะกลายเป็นอาชีพเสริมให้เราได้ ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์จากการทำงานประจำ ทำให้เราทำงานประเภทนั้นได้ดี ก็สามารถนำมาต่อยอดเป็นอาชีพเสริมได้

ประสบการณ์จากการเดินทางไปต่างประเทศ มีโอกาสได้พบได้เห็นสิ่งที่น่าจะนำมาพัฒนาเป็นอาชีพเสริมของเราได้ และมีหลายคนทำประสบความสำเร็จมาแล้ว

อนุรักษ์ พรมศิลา มนุษย์เงินเดือนหนุ่ม ผู้ผันตัวเองมาขายสินค้าทางอินเทอร์เน็ตเป็นอาชีพหลัก โดยขายสินค้ามือสองที่นำเข้าจากญี่ปุ่นและยุโรป เล่าว่า การที่เลิกทำงานประจำเพราะเบื่อ จึงหันมาค้าขายในโซเชียลมีเดีย ที่สามารถทำการค้าได้ทุกที่ทุกเวลา ต้นทุนไม่สูงเพราะไม่มีหน้าร้าน สามารถทำงานที่บ้านซึ่งอยู่ที่อุดรธานี แต่มีลูกค้าทั่วประเทศ รายได้ก็พอที่จะใช้จ่ายรายเดือน ผ่อนค่างวดรถยนต์ ค่างวดบ้าน และมีเหลือใช้เป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว

“ช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ดี ก็ขายของได้น้อยลง แต่ก็ยังขายได้ ถ้ารายได้ไม่พอก็ต้องประหยัดเอา ปัญหาที่เจอช่วงนี้คือราคาอาหารแพงขึ้นมาก บางอย่างที่เคยซื้อเขาไม่ขึ้นราคาแต่ลดปริมาณลง ผมไม่รู้หรอกว่าเศรษฐกิจดีหรือไม่ดี ไม่ได้ติดตามข่าวสาร ทำมาหากินของตัวเองไปแบบพอเพียง และไม่บ้าเทคโนโลยี เพราะถ้าตามตลอด คงจะแย่เพราะค่าใช้จ่ายแยะ”อนุรักษ์ กล่าว

เขาคิดว่า การดำรงชีวิตในต่างจังหวัดยังดีที่มีพื้นดิน หากรายได้ไม่พอกินก็สามารถจะปลูกผักกินเองได้ ลดค่าใช้จ่ายดีกว่าคนที่อาศัยในกรุงเทพฯ ที่เวลาลำบากเจอปัญหาค่าครองชีพสูงจะลำบากกว่าคนต่างจังหวัดมาก ขายของออนไลน์นี่ หากมีหน้าร้านด้วยขายไปด้วยก็คงจะดี และขอเตือนผู้ที่จะทำการค้าออนไลน์ต้องซื้อสัตย์และระมัดระวัง เพราะโอกาสที่จะถูกโกงก็เกิดขึ้นง่ายๆ

ข้อคิดในการหาอาชีพเสริมเพื่อความอยู่รอดในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ เป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่แพ้การลงทุนประเภทอื่นทีเดียว
สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : หุ้นตก ทองเตี้ย ดอกเบี้ยต่ำ ลงทุนแบบไหน กำไรดี

view