สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

อาถรรพ์ บ้านนรสิงห์ เสื้อแดง-ทักษิณ เล่นของ ระทึกพิธี แก้ของ ในทำเนียบรัฐบาล

จากประชาชาติธุรกิจ


อาถรรพ์ ตึกไทยคู่ฟ้า หรือ “บ้านนรสิงห์” เมื่อ อังคารที่ 16 มีนาคม เมื่อกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดง -ทักษิณ "เล่นของ" ใช้เท้าพราหมณ์ชุ่มเลือด "ยัน" ทางเสด็จฯเข้า-ออก เสมือนเป็น มนต์ดำ ทำให้ แกนนำ ประชาธิปัตย์จาก เมือง นคร ฯ ระทึก จัดพิธี “แก้ของ” ในทำเนียบ ในฉับพลัน

   ....บ้าน “นรสิงห์” ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงพระราชทานแก่ เจ้าพระยารามราฆพ ผู้ถวายงานใกล้ชิด  เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย เป็นหัวหน้าห้องพระบรรทม นั่งร่วมโต๊ะเสวยทุกมื้อ  ตลอดรัชกาล  ถูกท้าทายด้วยการ “เล่นของ” อีกครั้ง   เมื่อกลุ่ม “เสื้อแดง” นำทายาทพราหมณ์ มาจากจังหวัดนครศรีธรรมราช บุกเข้าทำพิธีราดเลือด ที่ธรณีประตูทางเข้า-ออก “ตึกไกรสร” ที่ตั้งชื่อมาจากพระนามเดิมของ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าไกรสร กรมหลวงรักษ์รณเรศ ต้นราชสกุล พึ่งบุญ ณ อยุธยา หรือที่ปัจจุบันรู้จักกันในนาม “ไทยคู่ฟ้า”    


พิธีกรรมนั้นมีรายละเอียด ด้วยการราดเลือกเป็นรูป “กากบาท” หน้าประตูเข้าออก หมายเลข 1 และหมายเลข 2 ซึ่งมีความหมาย ถึงการ “เข้า-ออก” ของคณะรัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรี ผู้ครอบครองตึกไทยคู่ฟ้า  ข้าราชการเก่าแก่ ประจำทำเนียบรัฐบาล เล่าโจษจันกันว่า การทำพิธีครั้งนี้ มีความหมายลึกซึ้ง กว้างขวาง ทั้งในอดีตและปัจจุบัน   เพราะ “บ้านนรสิงห์” นั้น ถูกปลูกสร้างมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 นับว่า “มีของ” สถิตอยู่ ทั่วทุกตึก ที่สำคัญที่สุดคือ “ศาลพระภูมิ” ประจำบ้าน ที่ไม่เคยถูก “โยก-ย้าย” ออกจากหน้าตึกไทยคู่ฟ้า   แต่สมัยที่ “ทักษิณ ชินวัตร” เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีการสั่งย้ายศาลพระภูมิ จากหน้าตึกไปยังด้านซ้ายของตัวตึก และหลังจากการย้ายศาลแล้ว “ทักษิณ” ก็มีอันตกต่ำ และมีเรื่องราวต้องร่วงหล่นจากอำนาจ ออกจากตึกไทยคู่ฟ้า อย่างไม่มีวันกลับ   “ทักษิณ” พยายามแก้ของด้วยพิธีกรรมอื่นๆ หลายทาง เช่น การเดินทางไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในหัวเมืองต่างๆ ที่อยู่ในระดับ “เทพ” หรือระดับ “เจ้าหัวเมือง” อยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่เป็นผล  


ว่า กันว่า “การแก้ของ” ด้วยพิธีพราหมณ์ ครั้งนี้ เพื่อให้ “ทักษิณ” สามารถกลับมา “เข้าทำเนียบ” ได้อีกครั้ง และการการเทเลือด รูปกากาบาท ก็มีความหมายที่จะ “แก้ของ” ที่ฝ่ายเจ้าที่เก่า เคยทำไว้อีกทางด้วย พิธีการที่ พราหมณ์-เจ้าพิธีของฝ่ายเสื้อแดง ใช้เท้าที่ชุ่มไปด้วยเลือด ยกขึ้นมายันเสาประตู ทางเข้าทำเนียบ จึงมีความหมาย ที่ “คนเล่นของ” รู้กันปากต่อปากว่า อาจจะเป็นการ “ยัน” ไม่ให้ฝ่าย “อภิสิทธิ์” กลับเข้ามาได้ อีกทั้งการจงใจ ทำพิธีหลัก ที่บริเวณทางเข้า-ออก ก็กินความหมายไปถึงว่าเส้นทางนี้  บางครั้งเป็นเส้นทางเสด็จฯ เข้า-ออกของพระบรมวงศานุวงศ์ ทุกครั้งที่มีพิธีการสำคัญที่ทำเนียบรัฐบาลด้วย   แต่การ “ทำของ” โดยฝ่ายเสื้อแดงคราวนี้ ถูก “แก้ของ” โดยฝ่ายรัฐบาลไว้ล่วงหน้า แหล่งข่าวข้าราชการอาวุโส เก่าแก่ เล่าว่า ฝ่ายรัฐบาลรู้ล่วงหน้า ว่าฝ่ายเสื้อแดงต้องการไป “แก้ของ” ที่ทำเนียบ จึงได้มีการทำพิธีกรรม “วางของ” ดักทางไว้   และเตรียมการ “แก้ของคืน” หลังจากเสื้อแดงทำพิธีเทเลือดหน้าธรณีประตูไว้ด้วย แหล่งข่าวคนเดิมเล่าด้วยว่า  คุณหญิงสุพัตรา มาศดิศถ์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี อดีต สส.จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นที่ปรึกษา ในการทำพิธี ร่วมกับกองอาคารสถานที่ ทำเนียบรัฐบาล ดังนั้น ในขณะที่มีการทำพิธีของฝ่ายเสื้อแดง จึงมีเจ้าหน้าที่จากกองอาคารสถานที่ มาเฝ้าจับตาดูตลอดเวลา จากนั้น มีการทำพิธีแก้ของ ทันที   และเป็นที่น่าสังเกต ว่าตั้งแต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เข้ารับตำแหน่ง ก็ไม่เคยเดินทางไปไหว้ศาลพระภูมิ ข้างตึกไทยคู่ฟ้าแต่อย่างใด มีเพียงการสักการระพระพรหม ที่อยู่บนดาดฟ้า ตึกไทยคู่ฟ้าเท่านั้น  


“บ้านนรสิงห์” เป็นบ้านพระราชทานคู่กับ “บ้านบรรทมสินธุ์” หรือบ้านพิษณุโลก ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรง พระราชทานให้กับมหาดเล็กส่วนพระองค์ คือ พลตรี พระยาอนิรุทธเทวา ผู้เป็นน้องของ เจ้าพระยารามราฆพ    เป็นบ้านการเมือง ที่ออกแบบและสร้างโดย มาริโอ ตามานโญ สถาปนิกประจำราชสำนักสยามชาวอิตาลี   มีเนื้อที่ 25 ไร่ 3 งาน บ้านที่แม้ถูกปรับใช้เป็นบ้านพักส่วนตัวของนายกรัฐมนตรี แต่ไม่มีใครกล้าอยู่พำนักได้นาน เพราะมีเรื่องโจษจันเรื่อง “อาถรรพ์” เสียงม้าเดินตอนดึกๆ   เช่นเดียวกับ “บ้านมนังคศิลา” ที่ทรงพระราชทานแก่ มหาเสวกเอก พระยาอุดมราชภักดี ( โถ สุจริตกุล ) 


อนึ่ง “บ้านนรสิงห์” มาจากคำว่า  นรสิงห์ ซึ่งเป็นสัตว์หิมพานต์อีกพวกหนึ่ง เป็นครึ่งคนครึ่งราชสีห์ มีหางยาวปลายเป็นพู่นรสิงห์อย่างหนึ่งเท้าเป็นเล็บคมอย่างสิงโต อีกอย่างหนึ่งเป็นนรสิงห์ตัวเมีย มีเท้าเป็นกีบอย่างเนื้อทราย เรียกว่า อัปสรสีหะ ก็มี ในเรื่องนารายณ์สิบปาง ตอนนรสิงหาวตาร พระนารายณ์อวตารเป็นนรสิงห์เพื่อปราบหิรันตปะกาสูร หรือหิรัญยกศิปุ ซึ่งได้พรจากพระอิศวรว่า   “เทวดา มนุษย์ หรือสัตว์ใดๆฆ่าตนไม่ได้ ไม่ว่าด้วยอาวุธใดๆ ไม่ว่าในเวลากลางวันหรือกลางคืน ในเรือนหรือนอกเรือน” เมื่อได้พรแล้วหิรัญยกศิปุก็กำเริบ แสดงอำนาจตั้งตนเป็นอาทิตย์ เป็นจันทร์ เป็นต้น หิรัญยกศิปุมีโอรสชื่อ ประหลาท เป็นผู้ที่นับถือพระนารายณ์อย่างที่สุด หิรัญยกศิปุกล่าวคำดูถูกพระนารายณ์ พระนารายณ์อวตารเป็นนรสิงห์เสด็จออกมาจากเสา มาลากตัวหิรันตปะกาสูรไปที่ประตูเมืองแล้วฆ่าได้ด้วยการใช้กรงเล็บฉีกอกใน เวลาโพล้เพล้   


การที่ “เสื้อแดง” นำพราหมณ์ เข้าทำพิธีเทเลือด ในเวลา 17.00 นาฬิกา ถือว่าเป็นช่วง “โพล้เพล้” อย่างพอดิบพอดี

view