จากประชาชาติธุรกิจ
พันธุ์ทิพย์ ธีระเนตร
คลองโอ่งอ่าง โบราณสถานสำคัญของชาติ ขุดสมัยรัชกาลที่ 1 ในภาพมองเห็นสะพานดำรงสถิต (ภาพจาก ม.ร.ว.นริศรา จักรพงษ์ และไพศาลย์ เปี่ยมเมตตาวัฒน์. สมุดภาพรัชกาลที่ 5. กรุงเทพฯ : ริเวอร์ บุ๊คส์, 2535)
"....กรุงเทพมหานครจึงขอความร่วมมือให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองรื้อถอนอาคาร หรือสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวออกจากบริเวณคลองและที่ดินริมคลองโอ่งอ่าง หากไม่มีการดำเนินการใดๆ กรุงเทพมหานครจำเป็นจะต้องใช้อำนาจตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับ 44 เข้าดำเนินการรื้อถอนอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวออกจากที่ดินอันเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน และดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป..."
เป็นบางส่วนของประกาศกรุงเทพมหานคร (กทม.) ที่ขึ้นป้ายผ้าสีเขียว เขียนด้วยตัวอักษรสีขาว ตั้งตระหง่านอยู่บน "สะพานเหล็ก" ริมคลองโอ่งอ่าง ขณะเดียวกันก็ยังมีประกาศแบบเดียวกันนี้ ติดอยู่ตามร้านต่างๆ ของของผู้ค้ากว่า 500 ราย ของผู้ค้าในตลาดขายของมือสองเลื่องชื่อแห่งนี้ ต้องรื้อถอนสิ่งก่อสร้างออกจากพื้นที่ภายใน 15 วัน คือต้องแล้วเสร็จก่อนวันที่ 13 ตุลาคม ซึ่งหากครบกำหนดแล้วยังไม่ทำการด้วยตนเอง กทม.จะเป็นผู้เข้ามาจัดการให้เสร็จสิ้น โดยค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการรื้อถอนนั้น ผู้ค้าจะต้องเป็นฝ่ายออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด
พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง รองผู้ว่าฯกทม. ในฐานะประธานการประชุมแก้ไขปัญหาผู้บุกรุกคลองโอ่งอ่าง, พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ที่ปรึกษาผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร, จักกพันธุ์ ผิวงาม รองปลัด กทม., โสภณ โพธิสป ผอ.สำนักเทศกิจ พร้อมตัวแทนเจ้าหน้าที่ทหาร ลงพื้นที่ด้วยตัวเอง และนโยบายอันมาแต่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัฒน์ ผู้ว่าฯกทม. ที่จะปรับปรุงภูมิทัศน์และพื้นที่ริมคลองให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย สวยงาม เพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยวและสัญจรทางเรือด้วย
น้ำตา, เสียงร้องไห้ ดังเล็ดลอดมาจากผู้ค้าบางรายที่ได้ทราบข่าว เสียงครวญตรงกันที่สะท้อนกลับมาคือว่า ไม่เคยทราบข่าวจาก กทม.มาก่อนหน้านี้ว่าจะมีการรื้อถอนและขอคืนพื้นที่ บางคนก็บอกว่าไม่พร้อมจะย้ายไปอยู่ที่ใหม่ที่จัดให้ขายของ เพราะไกลจากที่พัก และไม่รู้ว่าจะขายได้เหมือนกับในบริเวณนี้ซึ่งเป็นที่รู้จักมานานหรือเปล่า แน่นอน ทุกคนเข้าใจดีถึงข้อกฎหมาย แต่ทางออกสำหรับปัญหาการบุกรุก รุกล้ำ กระทั่งมาสู่การขอคืนพื้นที่แบบปุ๊บปั๊บฉับพลัน
นำมาสู่คำถามว่า นี่คือทางออกที่ถูกต้องและเป็นธรรมแล้วหรือ ?
ทว่า อีกด้านหนึ่ง ก็มีผู้มองว่าที่ผ่านมาบริเวณดังกล่าวซึ่งอยู่ในเขตโบราณสถาน คือคลองโอ่งอ่าง ซึ่งเป็นคลองขุดสมัยรัชกาลที่ 1 ถูกจับจองมานานเกินควรแล้ว จึงถึงเวลาที่ควรดำเนินการขอคืนพื้นที่อย่างจริงจังเสียที
นอกจากนี้ ที่ห่วงกันว่าชาวบ้านจะไร้ที่ทำกินนั้น ก็มีการตั้งข้อสงสัยว่าผู้ประกอบการในย่านที่ว่านี้ จะมี "คนจน" (ตัวจริง) สักกี่ราย ? และเป็นไปได้หรือไม่ว่าธุรกิจการค้าบริเวณสะพานเหล็ก แท้จริงนั้น เกิดจากการขยายตัวของกลุ่มผู้ค้าที่ "มีอันจะกิน" เสียมากกว่า
ความเห็น 2 ด้านที่แตกต่างกันนี้ ชวนให้น่าขบคิดว่าปัญหาดังกล่าว ควรมี "ทางออก" อย่างไรกันแน่ ?
สะพานดำรงสถิตในปัจจุบัน ถูกหลงลืมความสำคัญด้านประวัติศาสตร์ และผ่านการดัดแปลงรูปแบบไปบ้างแล้วบางส่วน (ภาพจากเว็บไซต์ศูนย์ข้อมูลเกาะรัตนโกสินทร์www.thapra.lib.su.ac.th/ratanagosin)
รุกล้ำนับสิบปี
ถึงนาทีคืนสมบัติชาติ ?
ก่อนอื่น มาทราบเรื่องราวของคลองโอ่งอ่าง ซึ่งมีความสำคัญโดยเป็นคูเมืองในอดีต ขุดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1 ยาวประมาณ 2 กิโลเมตร กว้างราว 20 เมตร เชื่อมต่อจากคลองบางลำพู บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ สิ้นสุดที่เชิงสะพานพระปกเกล้า แล้วไหลลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติ ตั้งแต่ พ.ศ.2519
อย่างไรก็ตาม แม้คลองและสะพานดังกล่าวจะเป็นโบราณสถาน แต่กรมศิลปากรมอบให้กรุงเทพมหานครดูแล โดยอยู่หว่างระหว่างการถ่ายโอนภารกิจ เช่น การซ่อม กทม. ดำเนินการ โดยต้องได้รับอนุญาตจากกรมศิลป์ โดยเฉพาะการซ่อมที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงสภาพ
หลายคนตั้งคำถามว่า เหตุใดกรมศิลป์จึงปล่อยให้ผู้ค้ารุกล้ำอยู่นานถึงนับสิบปี โดยไม่มีการปราบปรามจริงจัง
แหล่งข่าวรายหนึ่งเล่าว่า ติดที่ปัญหา "มวลชน" ที่สำคัญคือ กรมศิลป์ไม่มีหน้าที่ในการขับไล่ ทำได้เพียงดูแลโบราณสถาน หากพบว่ามีการรุกล้ำ ก็ประสานงานกับทางเทศกิจ หรือแจ้งความกับตำรวจเพื่อฟ้องร้อง หากติดขัดที่ขั้นตอนใด ก็เป็นอันจบ
"เป็นปัญหามวลชนที่เคลียร์ไม่ออก เข้าไปก็โดนแม่ค้าด่ายับทุกครั้งไป ซึ่งก็เป็นธรรมชาติของการทำงานในลักษณะนี้ ลุยมากไม่ได้ กรมศิลป์ไม่มีภารกิจเรื่องการไล่ ได้แค่ประสานงานกับเทศกิจว่าบริเวณนี้เป็นโบราณสถาน ไม่ควรมีแผงค้า แต่ถ้าไม่มีใครดำเนินการต่อ ก็ทำอะไรไม่ได้"
"สะพานดำรงสถิต" ข้ามคลองโอ่งอ่าง สร้างในสมัยรัชกาลที่ 4 เดิมเรียกว่า "สะพานเหล็กบน" คู่กับสะพานอีกแหง่ ที่ใช้ข้ามคลองผดุงกรุงเกษม ถือเป็นโบราณสถานที่แสดงถึงพัฒนาการการก่อสร้างสะพานที่แปลกใหม่สำหรับชาวสยามในอดีต เพราะสร้างจากเหล็กด้วยโครงสร้างแปลกตา จนเป็นที่โจษขานทั่วพระนคร (ภาพถ่ายสมัยรัชกาลที่ 5จาก www.wikiwand.com/th)
โบราณสถานแล้วไง ?
ที่ต้องใส่ใจคือ′ปากท้อง′
"คลองขุดโบราณ แล้ว So What ?"
ไชยันต์ รัชชกูล คณบดีคณะรัฐศาสตร์ ม.อุบลราชธานี ตั้งคำถามต่อการไล่รื้อแผงค้าย่านสะพานเหล็ก ที่มีประเด็นเรื่องการผิด พ.ร.บ.โบราณสถาน
"กฎหมายที่ผิดศีลธรรมก็มีเยอะแยะ การดูแลคนที่ต้องอยู่ต้องกินสำคัญกว่าไหม คลองที่พระเจ้าขุดให้ มีมาก่อนสมัยอัลไตอีก ก็ไม่เห็นเป็นไร (หัวเราะ)"
นอกจากนี้ ยังมองว่า การกระทำลักษณะดังกล่าวเป็น "การปัดกวาดทางสังคม" คือ คือไล่คนที่ต่ำต้อยทางเศรษฐกิจและสังคมออกไปอยู่ไกลๆ พร้อมแสดงความเห็นว่า ประเทศไทยควรดูแลปัจจัยพื้นฐาน 4 อย่างของคนในสังคม ซึ่งก็ทำกันอยู่บ้าง เช่น เรื่องยารักษาโรค และการศึกษา แต่พอเป็นเรื่องที่อยู่อาศัย และที่ดินทำกิน กลับไม่ค่อยสนใจ
"เมื่อก่อนมีการปัดกวาดทางชาติพันธุ์ ตอนนี้สิ่งที่ทำอยู่เป็นการปัดกวาดทางสังคม ซึ่งทำหลายวิธีแล้วแต่จะอ้าง เช่น การปักเสาตอม่อทางด่วน ทำไมไปลงพื้นที่คนจนอยู่ กรณีชุมชนบ้านครัวก็เหมือนกัน แต่คนบ้านครัวสู้ อีกตัวอย่างหนึ่งคือ จุฬาฯ ไล่ที่ไปจนถึงถนนบรรทัดทอง ไหนว่าจะเอาพื้นที่ไปใช้เพื่อการศึกษา แล้วคอนโดมิเนียม ที่จะขึ้นเยอะแยะย่านปทุมวัน คือพื้นที่เพื่อการศึกษาหรือเปล่า มันเป็นเหตุผลที่อ้างไปได้เรื่อยๆ เลยอยากถามว่า ตกลงแล้ว ใครมีสิทธิอยู่ในกรุงเทพฯบ้าง"
ร้านค้าย่านสะพานเหล็ก วอน กทม.ยกเลิกคำสั่งรื้อแผงค้า เพราะอยู่มานานกว่า 20 ปี ห่วงกระทบครอบครัว ในขณะที่มีเสียงค้านในด้านว่าร้านค้าเหล่านี้ เป็นของเจ้าของกิจการที่มีฐานะร่ำรวย ไม่น่าส่งผลกระทบตามที่กล่าวอ้าง
กฎหมาย คือกฎหมาย
อ้างไม่ได้ว่า′อยู่มานาน′
ด้าน จุฑามาศ ประมูลมาก อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ มองต่างมุมว่า ด้วยความเป็นพื้นที่โบราณสถานซึ่งมีกฎหมายคุ้มครองอย่างชัดเจน นับเป็นข้อตกลงร่วมกัน ไม่สามารถอ้างได้ว่าต้องการพื้นที่ค้าขายหรืออยู่มานานแล้ว มิฉะนั้น ต้องมีข้อตกลงที่ 2 เพื่อประนีประนอม
"เมื่อมีกฎหมาย ก็ต้องทำตามกฎหมาย โบราณสถานมีกฎอยู่แล้วว่าห้ามบุกรุก เราเถียงไม่ได้ ไม่อาจพูดได้ว่าเราอยู่มานานแล้วนะ ต้องการพื้นที่ค้าขาย คุณรู้อยู่แล้วว่านี่คือโบราณสถานตามกฎหมาย เพราะฉะนั้น ถ้าจะบอกว่าขอเหอะ เราอยู่มานานแล้ว ก็ต้องมาสร้างข้อตกลงที่ 2 เช่น ถ้ามองว่าก่อนจะได้รับการขึ้นทะเบียนโบราณสถาน ที่นี่เคยเป็นที่อยู่ของคนมาก่อน คงต้องมาดูว่าควรมีพื้นที่อะไรแค่ไหน ปกติ ณ ปัจจุบัน การดำเนินการ คือ เคลียร์คัตออกไปให้หมด แต่ส่วนใหญ่พื้นที่ซึ่งถูกไล่รื้อ สัก 2 เดือนผู้ค้าก็กลับมาใหม่ สิ่งที่อยากเห็นคือ ทำอย่างไรให้การเคลียร์ตรงนี้ มีการตกลงร่วมกัน มีความลงตัวระหว่างความเป็นระเบียบกับวิถีชีวิต อาจอนุญาตเฉพาะผู้ค้าดั้งเดิม ไม่ให้คนนอกมาหาผลประโยชน์ หรือเช่าพื้นที่ต่อ"
อย่าใช้แค่มุมมองรัฐ
แม้จุฑามาศยืนกรานเรื่องการยึดหลักกฎหมาย แต่ประเด็นทิ้งท้ายเรื่องการตกลงร่วมกัน สอดคล้องกับความเห็นของ อินทิรา วิทยสมบูรณ์ นักกิจกรรมด้านสังคมซึ่งเคลื่อนไหวในกรณีชุมชนป้อมมหากาฬ ซึ่งตั้งบ้านเรือนอยู่ในเขตโบราณสถาน ให้ความเห็นว่า โบราณสถานจะมีหน้าที่ใช้สอยหากถูกบริหารจัดการอย่างมีส่วนร่วม และการไล่รื้อแผงค้าเป็นเพียงปลายทาง ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่แท้จริง
"การจัดการอย่างมีผู้คน มีชีวิต จำเป็นต้องถูกออกแบบโดยเจ้าของพื้นที่ด้วย ไม่ใช่ว่าอยากให้อยู่โดยไม่มีเหตุและผล แต่แค่อยากได้วิธีการที่นำไปสู่การแก้ปัญหาร่วมกัน ไม่ใช่การแก้ปัญหาจากมุมมองของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เช่นเดียวกับวิธีของสะพานเหล็กหรือคลองโอ่งอ่าง ซึ่งถ้าผลของมันจะทำให้คนต้องออกนอกพื้นที่ อาจไม่ยุติธรรมกับผู้ประกอบอาชีพค้าขาย ควรเกิดจากกระบวนการของฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมานั่งคุยและหาทางออกร่วมกัน"
ความจน คือมายา
เศรษฐี′เงินหนา′คือของจริง ?
จากความเห็นเทียบเคียงของนักกิจกรรมป้อมมหากาฬ ก็ข้อมูลอีกด้านหนึ่งว่า กรณีสะพานเหล็กไม่อาจเปรียบเทียบได้กับกรณีของชุมชนป้อมมหากาฬ ซึ่งเป็นชุมชนเก่าแก่มาตั้งแต่ยุคต้นรัตนโกสินทร์ เพราะแม้บริเวณรอบคลองโอ่งอ่างเป็นย่านเก่าก็จริง แต่จุดที่ถูกรุกล้ำโดยแผงค้า ไม่เคยมีคนอยู่อาศัยหรือค้าขายมาก่อน เนื่องจากเดิมไม่ใช่ตลาดเก่าหรือชุมชน เพราะเป็นพื้นที่รกร้างตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เนื่องจากมีการทุบวังเก่าเพื่อขยายถนน ต่อมา มีการสร้างเขื่อน ทำให้เกิดลานกว้าง จึงมีผู้ค้ามาจับจองพื้นที่ขายของอย่างผิดกฎหมายสืบเนื่องมานาน จนเข้าใจผิดกันว่าเป็นตลาดเก่าหรือชุมชนดั้งเดิม
ไม่เพียงเท่านั้น วัฒนธรรม "แผงลอย" ยังเป็นสิ่งเกิดขึ้นใหม่ ไม่ปรากฏบนท้องถนนในภาพถ่ายใดๆ สมัยรัชกาลที่ 5
ผศ.ดร.เชษฐ์ ติงสัณชลี อาจารย์ประจำคณะโบราณคดี ม.ศิลปากร ให้ข้อมูลว่า หาบเร่แผงลอยเป็นวัฒนธรรมไทยที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ จากภาพถ่ายเก่าสมัยรัชกาลที่ 5 ตามถนนไม่ อาจมีในพื้นที่ตลาด ไม่ใช่บนถนน การยึดทางเท้าเป็นการเห็นแก่ตัว และโหนวัฒนธรรมไทย ว่า มีการค้าขายริมทางแต่อย่างใด
"กรณีสะพานเหล็ก เป็นการหาพื้นที่ที่ผิดกฎหมาย แล้วสร้างให้เป็นย่านขึ้นมา คนไทยเลยรู้สึกว่าเป็นชุมชน เป็นวิถีชีวิต เป็นตำนาน พอมีกระแสการอนุรักษ์ชุมชนเก่าเลยมีการโหนกระแส เพื่อรักษาผลประโยชน์ของตน"
ส่วนประเด็นที่น่าเห็นใจ อย่างคนค้าขายรายย่อย ซึ่งถูกมองว่าเป็น "คนจน" นั้น แหล่งข่าวอีกรายให้ข้อมูลว่า ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด เพราะแผงค้าบริเวณนี้เกิดจากการขยายตัวของผู้ค้าชาวไทยเชื้อสายจีน โดยเฉพาะจากย่านสำเพ็ง ซึ่งมีร้านถาวรอยู่แล้ว แต่มาเปิดแผงเพิ่มให้ลูกจ้างขายแทน
"ใครๆ ก็รู้กัน ว่าเป็นการขยายตัวของคนจีนสำเพ็งที่ขยายแผงค้าเพิ่มให้ขายได้เยอะที่สุด เหมือนกับกรณีโบ๊เบ๊ เวลาโดนไล่ ก็อ้างว่าเพื่อคนจน แต่ความจริงเจ้าของแผงเป็นเศรษฐี คนจนจะมีเงินที่ไหนกักตุนสินค้าในมือหลายๆ หมื่น ต้องคนมีตังค์" แหล่งข่าวกล่าว
ทั้งหมดนี้ คือมุมมองหลากหลาย ที่ต่างฝ่ายก็มีข้อมูลและเหตุผลของตนเอง ท้ายที่สุดแล้ว สถานการณ์นี้จะลงเอยอย่างไร ต้องติดตามกันต่อไปด้วยใจระทึกพลัน
นสพ.มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 8 ต.ค.2558
สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน