สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

ปวีณ อาสาจุดไม้ขีดไฟฝ่าความมืด!? เผยประวัติจากเด็กวัด มาถึงตำรวจน้ำดี

จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์

" เมื่อห้องเราถูกปิดไฟมืด ผมไม่อยากได้ยินคำถามว่าทำไมถึงมืด เมื่อมันมองไม่เห็นอะไรเราก็จุดไม้ขีดไฟซิครับ ผมจะจุดไม้ขีดทีละก้านๆจนกว่าพี่น้องตำรวจ และประชาชนจะช่วยกันจุดจนทั่วทั้งประเทศเกิดแสงสว่าง ผมจะทำไปเรื่อยๆให้ผ่านวัฒนธรรมพิมพ์นิยม หรือวัฒนธรรมบ้าๆที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ไม่เคยสอน ไม่เคยบรรจุไว้ให้ตามประจบสอพลอผู้มีอำนาจ"
       
       นาทีนี้ต้องยอมรับว่าชื่อของพล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ อดีตรองผบช.ภ.8 หัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีค้ามนุษย์โรฮีนจา กลายเป็นจุดสนใจของสังคมไทยอย่างกว้างขวางโดยเฉพาะสังคมตำรวจ “น้ำดี”ที่ต้องการเปลี่ยนปลงในทางที่ดีขึ้นแต่ไม่มีใครกล้าออกมาเปิดโปง ปฏิบัติการออกมา “ชน”บิ๊กตำรวจอย่างไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม จึงแทบนับได้ว่านายตำรวจผู้นี้กลายเป็นตัวแทนทางสัญญาลักษณ์ แม้จะเป็นเพียงแสงสว่างริบหรี่ แต่กลายเป็นประเด็นที่ร้อนแรงภาพสะท้อนความล้มเหลวของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อย่างชัดเจน หลายมิติ
       
        พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ เป็นใครมาจากไหนลองมาทำความรู้จักกับนายตำรวจผู้นี้ ก่อนตัดสินอย่างหมดหัวใจโดยไม่มีข้อกังขาใดๆว่าเขาคือของจริง เป็นนายตำรวจ”น้ำดี”ผู้ยึดถือความสุจริต เที่ยงตรงสมคำร่ำลือกันหรือไม่
       
       ด.ช.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ เติบโตในครอบครัวอบอุ่น มีฐานะปานกลางคล้ายๆกับชีวิตเด็กต่างจังหวัดทั่วไปคืออยู่ง่ายกินง่ายเรียน โรงเรียนวัด ช่วงชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนเทศบาลศรีบุญญานุสรณ์ อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร พอชั้นมัธยมเข้ามาศึกษาต่อที่โรงเรียนวัดหนองแขม กรุงเทพมหานคร ดังนั้นจึงอย่าแปลกใจไปเลยที่มักจะเห็นพล.ต.ต.ปวีณ ปฏิบัติตนเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี ทำบุญสุนทาน สวดมนต์ไหว้พระหรือนั่งสมาธิเพื่อนำความสงบทางด้านจิตใจไปต่อสู้กับสังคมภาย นอก สอบเข้าโรงเรียนนายร้อยตำรวจ จบ นรต.รุ่น 35 รุ่นเดียวกับพล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพรหมณกุล รรท.รองผบ.ตร.ฝ่ายความมั่นคง แต่วิถีชีวิตแตกต่างราวหน้ามือ-หลังมือ
       
       การเจริญเติบโตในหน้าที่การงานดำเนินมาด้วยความปกติคือเมื่อครบเกณฑ์ เข้าอบรมหลักสูตรสารวัตร จึงมีโอกาสได้เป็นสารวัตร เข้าอบรมหลักสูตรผู้กำกับ จนมาถึงหลักสูตรผู้บังคับการและได้เลื่อนมาเป็นรองผบช.ภ.8 เมื่อปี 2557
       
       รางวัลและผลงานที่ผ่านมาคือเป็นพนักงานสอบสวนดีเด่นของสำนักงานตำรวจ แห่งชาติ 3 ปีซ้อน เป็นข้าราชการพลเรือนดีเด่นรับครุฑทองคำจากนายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีเมื่อ พ.ศ.2537 ได้รางวัลสาขาปราบปรามยาเสพติดดีเด่น ปี 2554 ช่วงเป็น ผกก.กระทู้ และผกก.จ.ภูเก็ต ได้รับรางวัลที่ 1 โรงพักต้นแบบ มีการจัดระบบอย่างทันสมัย สามารถตอบสนองจนประชาชนพึงพอใจให้การยอมรับพิสูจน์จากการตื่นตัวของภาค ประชาชนร่วมบริจาคพัฒนาโรงพักนับ 10 ล้านบาทซึ่งเป็นเงินบริสุทธิ์ มิได้มาจากผู้ประกอบการธุรกิจสีเทา ผิดกฎหมายแม้แต่บาทเดียว
       
       ผลของการเป็นโรงพักดีเด่นระดับประเทศจนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในเวลานั้นต้องจับการอบรม ดูงานแก่นายตรวจระดับสารวัตร หรือผู้กำกับทั่วประเทศให้มาดูงานที่นี่และนอกจากรางวัลทางด้านการสอบสวน พัฒนาสถานที่ราชการแล้วยังมีรางวัลการฝึกตำรวจดีเด่น มวลชนสัมพันธ์ดีเด่น การันตีอีกทางหนึ่งด้วย
       ส่วนผลงานด้านการปราบปรามเอาคนผิดดำเนินคดีตามกฎหมายคดีที่ฮือฮา สังคมไทยมากที่สดคือกรณีฆาตกรศักดิ์ ปากรอ ฆ่ายกครัว 5 ศพ เหตุเกิดพ.ศ.2540 สภ.สิงหนคร จ.สงขลา
       
       คดีร.ต.อ.นายหนึ่งจ้างวานฆ่าเมื่อคดีถึงที่สุดศาลตัดสินประหารชีวิต
       
       คดีเจ้าแม่ สงขลา อยู่เบื้องหลังสั่งฆ่า ด.ต.ดุสิต รัตนมณี เมื่อเดือนเมษายน 2540 สามารถจับเครือข่ายมือปืนและสาวถึงเจ้าแม่คนดังผู้มีฐานะเป็นคหบดี ศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ตัดสินประหารชีวิต แต่ศาลฎีกายกฟ้อง
       
       คดีฆาตกรรมแหม่มสวีเดน จ.ภูเก็ต สามารถจับคนร้ายได้คดีลักทรัพย์เหยื่อสึนามิ บนศาลากลาง จ.ภูเก็ต คดีเครื่องบนตกมีผู้โดยสารเสียชีวิตจำนวนมาก คดีทุจริตก่อสร้างสถานีตำรวจ 396 แห่ง แฟลตที่พักตำรวจ 163 แห่ง มีการรวบรวมพยานหลักฐานอย่างแน่นหนา ขณะนี้หลักฐานทั้งหมดอยู่ที่ ปปช.
       
        ผลงานต่อมาคือคดีเกี่ยวเนื่องกับอิทธิพลท้องถิ่น มีการร้องเรียนปัญหาแท็กซี่มาเฟีย จ.ภูเก็ต จึงลงมือสอบสวนก่อนจับกุมได้ผู้ต้องหา 200 กว่าคน คดีล่าสุดคือคดีค้ามนุษย์โรฮีนจา มีผู้ต้องหาทั้งพลเรือน นักการเมืองท้องถิ่น คหบดี ผู้มีอิทธิพล ทหาร-ตำรวจรวมทั้งสิ้น 153 รายจนเป็นสาเหตุของการย้าย “ล็อกเป้า”
       
       หากรู้จักตัวตนของเขาจะทราบหลักการทำงานที่เคร่งครัด เอาจริงเอาจังทำให้เป็นที่รักของสุจริตชนและเพื่อนตำรวจ ผู้บังคับบัญชาและบรรดาลูกน้องที่ร่วมทีมด้วยเพราะนอกจากไม่เอารัดเอาเปรียบ ไม่สั่งให้เดินนกลู่นอกทางภาวะการเป็นผู้นำคือปกป้องลูกน้องทำให้ประสบความ สำเร็จในการปราบปรามอาชญากรรมเมื่อครั้งที่เป็น ผบ.ก.จ.สุราษฎร์ธานี
       
       กล่าวคือเมื่อมีคำสั่งกวาดล้างอาวุธปืนมียอดผู้ต้องหาและของกลาง จำนวนมากแต่ไม่มีใครกล้ามาขอแม้แต่รายเดียวทั้งนี้พล.ต.ต.ปวีณ ประกาศควบคู่กับการปราบปรามว่าหากมีประชาชน หรือนักการเมืองมาขอให้ดำเนินคดีฐานผู้ให้การสนับสนุน หากเป็นตำรวจมาขอเองก็ให้ดำเนินความผิดทั้งทางวินัยและอาญา
       
       อย่างไรก็ตามตัวตนที่แท้จริงของพล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ กลับมีชีวิตที่เรียบง่าย มองโลกด้วยความเข้าใจ ผิดเป็นผิด ถูกเป็นถูกหากใครทำงานกับเขาจะทราบดีถ้าทำผิดอย่างหวังจะรอดแต่หากไม่ผิดนาย ตำรวจผู้นี้จะไม่ลังเลแม้แต่น้อยที่จะตัดออกโดยไม่มีการกลั่นแกล้งใดๆทั้ง สิ้น
       
       ตลอดเวลาของการทำงานพล.ต.ต.ปวีณ มักพูดคุยหรือแสดงความเห็นกับผู้ใกล้ชิดเกี่ยวกับปัญหาการแต่งตั้งโยกย้าย ข้าราชการ ซึ่งเขาพบเห็นความไม่ชอบมาพากลหรือไม่เป็นธรรมมาอย่างช้านาน ในฐานะผู้บังคับบัญชาต้องสร้างขวัญและกำลังใจแก่ลูกน้อง หรือแม้กระทั่งตนเองก็ยังเอาตัวไม่รอดดังนั้นหากรัฐบาล หรือผู้มีอำนาจต้องการแก้ปัญหาข้าราชการตำรวจด้วยการปฏิรูปต่างๆที่กำลัง พยายามกันอยู่นั้น นายตำรวจผู้นี้เห็นว่านั่นคือความล้มเหลว ไม่เข้าใจถึงปัญหาและธรรมชาติที่แท้จริงของตำรวจ กล่าวคือการแต่งตั้งที่มีการวิ่งเต้น เล่นพรรคเล่นพรรคเล่นพวก หรือเลวร้ายขนาดซื้อขายตำแหน่ง ตรงนั้นต่างหากคือสาเหตุของความเลวร้ายทั้งหมด
       
       คนที่ซื้อตำแหน่ง ก็ต้องเอาทุนคืนมากเป็นหลายเท่าหรือหลายสิบเท่า ผลประโยชน์ก็คือการละเว้นปฏิบัติหน้าที่หรือหลิ่วตาข้างหนึ่งจนถึงหูหนวก ตาบอดเพราะมีผลประโยชน์ เห็นจากปัญหาบ่อนพนัน ตู้ม้าไฟฟ้าในอดีตจะไม่เกิดขึ้นได้เลยถ้าตำรวจไม่รู้เห็นเป็นใจด้วย แต่ที่น่าเจ็บใจมากไปกว่าคือการระบุว่าเมื่อเป็นตำรวจจะอยู่ที่ไหนก็ได้ นั่นคือความจริงเพียงครึ่งเดียวเพราะบรรดาเด็กเส้น หรือพวกที่อาศัยแรงผลักดันจากคนมีอำนาจอาจจะไปรับราชการอยู่ที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จริงแต่ไปทำอะไรกันบ้าง หลบอยู่ในแคมป์ขึ้นๆลงๆกรุงเทพฯ-ภาคใต้ ที่มาก็เพื่อเอาประโยชน์ เอาสิทธิทวีคูณอายุราชการแต่ตัวจริงไม่ทำอะไรเลย มีนายตำรวจบางคนเท่านั้นที่มาภาคใต้ทำจริง สู้จริงแต่ก็ถูกกดดัน ถูกกีดกันสารพัด
       
       ตำรวจพวกนี้มา 3 จังหวัดชายแดนเพื่อรับประกาศนีบัตรไปคุย และไปใช้สิทธิ์ ขอให้ดูรายชื่อต่างๆในกองบัญชาการตำรวจนครบาล ตำรวจภาค 1 ภาค 2 หรือหัวเมืองสำคัญแต่คนทำงานมีข้อพิสูจน์กลับไม่ได้รับการพิจารณา ดังนั้นต่อไปนี้ระบบการแต่งตั้ง-โยกย้ายตำรวจจะต้องมีมาตรฐานชัดเจน ถ้าจะพิจาณาย้ายทางบวกต้องมีผลงานประกอบเข้าพิจารณา นายตำรวจคนไหนทำอะไรบ้าง หรือไม่ทำอะไรบ้างคณะกรรมการจะได้รู้ ที่ทำกันอยู่แม้แต่กระดาษแผ่นเดียวใครมีผลงานอย่างไรคณะกรรมการฯกลับแต่ง ตั้งกันได้
       
        “ต่อไปนี้การแต่งตั้งที่ผิดพลาด ช่วยเหลือพวกพ้อง หรือมีการซื้อขายตำแหน่งต้องถือเป็นการปล้นทรัพย์อย่างหนึ่ง คดีเกี่ยวกับทรัพย์ทั่วไปเมื่อมีผู้เสียหายมาร้องต่อเจ้าพนักงานเมื่อเรารับ แจ้งไว้ก็ต้องออกสืบหาทรัพย์ พบทรัพย์สิ่งที่ดำเนินต่อไปคือคืนทรัพย์แก่ผู้เสียหาย เช่นเดียวกันการปล้นตำแหน่ง เมื่อถูกร้องเรียนแล้วพบว่ามีการปล้น มีการทำไม่ถูกต้องจริงจะต้องนำทรัพย์ หรือตำแหน่งนั้นคืนให้กับตำรวจที่เขาสมควรจะได้ และคนปล้นก็คือผู้พิจารณา จะต้องเอาผิดกับคนเหล่านั้นด้วย”
       
       แนวคิดแบบนี้แม้จะเป็นเรื่องไกลตัวแต่หากพิจารณาอย่างถ่องแท้จะเห็น ได้ว่าปัญหาของตำรวจที่แท้จริง ก็คือมาตรฐานในการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจ ที่ไม่มีมาตรฐาน!?
       
       จนมีคำตอบอย่างชัดเจนว่าเหตุใดทั้งรัฐบาลพลเรือน และรัฐบาลทหาร จึงไม่สามารถปฏิรูปตำรวจได้อย่างแท้จริง คำตอบน่าจะอยู่ที่ระบบ “ธรรมาภิบาล”และจิตสำนึกที่ยังบกพร่องของทุกฝ่าย การปฏิรูปตำรวจจึงเป็นเพียงพิธีกรรม เป็นข้ออ้างคงไว้ซึ่งผลประโยชน์ระหว่างผู้มีอำนาจกับตำรวจที่ได้เป็นใหญ่ใน รุ่นนั้นๆโดยประชาชน หรือตำรวจส่วนใหญ่ไม่ได้อะไรเลย
       
        “เมื่อห้องเราถูกปิดไฟมืด ผมไม่อยากได้ยินคำถามว่าทำไมถึงมืด เมื่อมันมองไม่เห็นอะไรเราก็จุดไม้ขีดไฟซิครับ ผมจะจุดไม้ขีดทีละก้านๆจนกว่าพี่น้องตำรวจ และประชาชนจะช่วยกันจุดจนทั่วทั้งประเทศเกิดแสงสว่าง ผมจะทำไปเรื่อยๆให้ผ่านวัฒนธรรมพิมพ์นิยม หรือวัฒนธรรมบ้าๆที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ไม่เคยสอน ไม่เคยบรรจุไว้ให้ตามประจบสอพลอผู้มีอำนาจ เพราะเมื่อใดการแต่งตั้งตำรวจยังเต็มไปด้วยความอยุติธรรม เมื่อนั้นประชาชนและสังคมจะหาความสงบสุขไม่ได้”


สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : ปวีณ อาสา จุดไม้ขีดไฟ ฝ่าความมืด เผยประวัติ จากเด็กวัด มาถึง ตำรวจน้ำดี

view