สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

บิ๊กต๊อก งงเรียกร้องห้ามรัฐบาลยุ่งกิจการสงฆ์ ยัน พระ-ฆราวาส หากทำผิดต้องถูกดำเนินคดี

บิ๊กต๊อก” งงเรียกร้องห้ามรัฐบาลยุ่งกิจการสงฆ์ ยัน “พระ-ฆราวาส” หากทำผิดต้องถูกดำเนินคดี

จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์

        รมว.ยุติธรรม เผยคดี “พระธัมมชโย” โยงทุจริตสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ เหลือแค่กำหนดฐานความผิด และขั้นตอนการฟ้อง ระบุข้อเรียกร้องของคณะสงฆ์ห้ามไม่ให้รัฐบาลไปยุ่งเกี่ยวกิจการสงฆ์ ไม่มีผลต่อการพิจารณาคดี ไม่ว่าสงฆ์หรือฆราวาสต้องอยู่ภายในกฎหมายใครผิดต้องถูกดำเนินคดี ขอพระให้เกียรติทหาร เหมือนทหารเคารพพระสงฆ์ ส่วนกรณีอุทยานราชภักดิ์รอสอบอีก 2 ปากก่อนสรุป
       
       พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่อยู่ระหว่างตรวจสอบพระธัมมชโยในคดีรับเงินบริจาคจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ย นคลองจั่นว่า คาดว่าภายในเดือนนี้จะมีความชัดเจน การฟ้องร้องต่างๆ นั้นอัยการได้ส่งเรื่องกลับมาแล้ว และมีการประชุมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ที่เหลือคือการกำหนดฐานความผิดและขั้นตอนการฟ้องร้อง ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย แต่ไม่อยากให้มองเพียงพระธัมมชโย ต้องมองในภาพรวมทั้งระบบ เพราะเป็นการฟ้องร้องทั้งคณะที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ไม่ได้เข้าไปเร่งรัดการทำงานของดีเอสไอแต่อย่างใด ปล่อยให้เป็นหน้าที่และการทำงานของดีเอสไอตามปกติ
       
       สำหรับการชุมชนของคณะสงฆ์ที่เรียกร้องไม่ให้รัฐบาลเข้าไปยุ่งเกี่ยว กับกิจการของสงฆ์นั้น พล.อ.ไพบูลย์กล่าวว่า เชื่อว่าการเรียกร้องของคณะสงฆ์จะไม่มีผลต่อการพิจารณาคดีต่างๆ ของพระสงฆ์ เพราะถือเป็นคนละเรื่องกัน ยืนยันว่าทำตามกฎหมาย และพระสงฆ์ไม่ต้องออกมา
       
       “ผมไม่เข้าใจที่บอกว่าไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพระสงฆ์ หมายความว่าอะไร เพราะใครก็ตามที่อยู่ภายใต้กฎหมายและทำผิดกฎหมายก็จะต้องไปยุ่ง ไม่มีข้อต่อรองใดๆ ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นพระสงฆ์หรือฆราวาส ไม่มีใครชอบให้เลือกปฏิบัติหรอก ผมยืนยันว่าไม่เลือกปฏิบัติแน่นอน ไม่ต้องมากดดัน ส่วนภาพการกระทบกระทั่งระหว่างพระสงฆ์กับเจ้าหน้าที่ทหารนั้น ทุกคนมองไปในทางเดียวกันและคิดว่าเจ้าหน้าที่ทหารทุกคนต่างเคารพความเป็นพระ สงฆ์ เมื่อพระสงฆ์ห่มผ้าเหลืองมา ทหารก็ให้เกียรติให้ความเคารพ ดังนั้น พระสงฆ์เองต้องกลับไปคิดว่าให้ความเคารพเหมือนที่ทหารให้ความเคารพพระสงฆ์ หรือไม่” พล.อ.ไพบูลย์กล่าว
       
       พล.อ.ไพบูลย์ในฐานะประธานศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) ยังกล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ว่า ขณะนี้เหลือขั้นตอนการสอบปากคำผู้เกี่ยวข้องอีก 2 ปาก โดยอยู่ระหว่างขั้นตอนทำหนังสือถึงผู้บังคับบัญชาของบุคคลดังกล่าว และเมื่อผู้บังคับบัญชา อนุญาตจะได้ดำเนินการสอบ เมื่อสอบแล้วเสร็จจะได้สรุปผล โดยคาดว่าทุกอย่างคงจะจบ แต่ไม่สามารถทราบได้ว่าอีก 2 ปากที่เหลือนั้นต้องใช้เวลาเท่าใด
       
       พล.อ.ไพบูลย์กล่าวด้วยว่า กรณีมีการอ้างชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เรียกค่าหัวคิวโครงการขุดลอกคูคลองโดยองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก (อผศ.) นั้น ขณะนี้ยังไม่มีการร้องเรียนมาที่ ศอตช. ซึ่งการทำงานของ ศอตช.นั้นมีหน้าที่บูรณาการหน่วยงานองค์กรอิสระ และขณะนี้หน่วยงานในสังกัดยังไม่มีการแจ้งว่ามีการยื่นให้ตรวจสอบเรื่องดัง กล่าว แต่หากมีการร้องเรียนเราก็พร้อมที่จะไปตรวจสอบ


บิ๊กต๊อกลั่นทำคดีสหกรณ์คลองจั่นเต็มที่ไม่มีใครกดดันได้

จาก โพสต์ทูเดย์

ไพบูลย์ยัน ดีเอสไอทำคดีสหกรณ์ฯคลองจั่น เต็มที่ ระบุ หากม็อบพระต้องการกดดันเรื่องนี้ไม่สำเร็จแน่นอน ชี้ ใครผิดก็ต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย

เมื่อวันที่ 16 ก.พ. ที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม กล่าวถึงกรณีเครือข่ายคณะสงฆ์และองค์กรภาคีพุทธบริษัท4 ที่ได้รวมตัวกัน บริเวณพุทธมณฑล จ.นครปฐม เพื่อแถลงจุดยืนต่อรัฐบาล พร้อมเสนอข้อเรียกร้อง 5 ข้อ ห้ามรัฐเข้ามาก้าวก่ายเกี่ยวกับเรื่องของพุทธศาสนา ว่า ตนไม่เข้าใจความหมายในสิ่งที่เสนอมา เพราะที่ทราบมาตามสื่อต่างๆอ่านแล้วก็ยังไม่เข้าใจ แต่ถ้าถามเกี่ยวกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในการทำคดีนั้น ดีเอสไอทำตามหน้าที่ของเขา ไม่ว่าจะสงฆ์ ไม่ว่าฆราวาสต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกันทั้งหมด เพราะจะห้ามไม่ให้กระทรวงยุติธรรมทำงานไม่ได้ ส่วนเรื่องอื่นไม่มีข้อคิดเห็นอะไร นอกจากการทำงาน

ผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่าดีเอสไอยังต้องดำเนินคดีต่อไปใช่หรือไม่  พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวว่า คุณจะไม่ให้ผมทำใช่หรือไม่ ขอถามประชาชนและสื่อมวลชนว่า สิ่งที่ดีเอสไอทำเป็นหน้าที่ของดีเอสไอใช่หรือไม่ และสิ่งที่ทำนั้นคือทำต่อผู้ที่ถูกกล่าวหาหรือคิดว่ากระทำผิดกฎหมายใช่หรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่สืบเนื่องมาจากคดีสหกรณ์ฯคลองจั่น อีกทั้ง เรื่องนี้ ยังผูกพันกับพลเรือนเอกชนอีกหลายคน ดังนั้น มันจะยกเว้นการกระทำของผู้หนึ่งผู้ใดได้หรือไม่ ซึ่งก็ไม่ได้ ฉะนั้นข้อที่เสนอมามันตรงกับอันนี้หรือเปล่า ก็คงไม่ใช่

"แต่ถ้าตรงกับอันนี้ก็บอกแล้วว่าไม่มีทางมากดดันกระทรวงยุติธรรมได้ เพราะเราทำตามหน้าที่ และข้าราชการก็ทำตามหน้าที่ ดังนั้น สังคมก็ต้องบอกว่าดีเอสไอต้องกระทำ ซึ่งใครที่ยื่นเงื่อนไขอันนี้มา สังคมต้องดูว่าใครไปกดดันใครกันแน่ที่ไม่ให้ทำตามกฎหมาย ถ้ามันเป็นตามนี้ ผมก็ต้องตอบแบบนี้"พล.อ.ไพบูลย์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่มีการระบุว่า อาณาจักรไปยุ่งเกี่ยวกับศาสนจักรมากเกินไป พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวว่า ตนไม่ทราบว่าเป็นประเด็นไหน แต่ถ้าเรื่องคดีเป็นไปไม่ได้ ซึ่งถ้าเป็นคดีเป็นความผิดตามกฎหมาย และถ้าเป็นเรื่องของภายใต้กฎหมายเดียวกัน มันก็ต้องทำ แต่ถ้าความหมายอันนั้นตนไม่เข้าใจ หากเอาสองเรื่องมาผูกกันเดี๋ยวมันจะผิด จะไม่ตอบเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม ไม่เข้าใจว่าอาณาจักรกับศาสนจักร ไม่เข้าใจความหมายที่พูดเพราะเป็นการเขียนในเชิงประเด็นกว้าง ไม่ได้เจาะลึกรายละเอียด

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีนายจักรภพ เพ็ญแข พยายามจะเชื่อมโยงกลุ่มการเมืองกับสงฆ์ พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวว่า คนที่ออกนอกประเทศและไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย จะมาบอกคนที่กำลังทำตามกฎหมายได้อย่างไร ผมก็ขอตอบแค่นั้น สังคมต้องดูความประพฤติและคิดเอง ให้ตัวเองเดินมาตามกฎหมายก่อนและค่อยมาบอก ถ้าสังคมมองว่ามันกำลังถูกดึงมาเกี่ยวกับเรื่องการเมืองก็ต้องช่วยกันให้อยู่ในกรอบกฎหมาย

"ผมพยายามพูดเสมอว่าเรื่องคดีสหกรณ์ฯคลองจั่นที่ผูกพันเป็นเรื่องของกฎหมายของคดี ไม่เกี่ยวกับเรื่องของศาสนจักร ซึ่งมันเป็นภาพกว้าง ถ้าเราไปทำเรื่องนี้และตีแผ่เป็นภาพกว้างอาณาจักรโยงนู่นโยงนี่มันไม่ใช่ แต่นี่เป็นเรื่องของกฎหมาย ท่านต้องดูว่าใครกันแน่ที่พยายามดึงเข้าไป ถ้าท่านพูดเรื่องนี้ก็แสดงว่ามันก็ต้องมีกลุ่มที่พยายามดึงเข้าไป ซึ่งผมไม่ได้ทำ และท่านคิดว่าผมทำตรงไหน ผมถามสื่อว่าดีเอสไอพยายามดึงไปสู่การเมือง ดึงไปสู่ศาสนจักรตรงไหน ซึ่งไม่เห็นมีตรงไหน และเวลาที่ผมให้สัมภาษณ์ผมจะระมัดระวังเรื่องนี้มาก ดังนั้น อย่าไปเชื่อมกัน"พล.อ.ไพบูลย์ กล่าว

รมว.ยุติธรรม กล่าวอีกว่า ใช้คำว่าวัดพระธรรมกายมันไม่ใช่ ตนกำลังดำเนินการกับตัวบุคคล อย่าไปเชื่อมโยงกับวัด ไม่ใช่เรื่องของนิกายธรรมกาย ซึ่งเป็นเรื่องของบุคคล ทั้งนี้ กรณีที่พระสงฆ์ออกมารวมตัวกันนั้น ถ้าผลของเมื่อวันที่ 15 ก.พ.ที่ผ่านมา เป็นเรื่องที่มาเชื่อมโยงกับคดีที่ตนทำอยู่ กดดันตนไม่สำเร็จ เพราะกระทรวงยุติธรรมทำในเรื่องที่จะต้องทำ สังคมก็ต้องมอง แต่ตนไม่แน่ใจว่ามันเกี่ยวพันกันหรือไม่ ถ้าใช่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะมากดดันเพราะไม่สำเร็จอยู่แล้ว แต่ถ้าไม่ทำในเรื่องอื่นประเด็นอื่นไม่เกี่ยวกับเรา เราไม่วิพากษ์วิจารณ์

ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า ในข้อที่คณะสงฆ์เสนอให้รัฐบาล โดยขอให้รัฐบาลสั่งเป็นนโยบายให้หน่วยราชการปฏิบัติต่อคณะสงฆ์ด้วยความเคารพ เอื้อเฟื้อ ไม่ข่มขู่คุกคามคณะสงฆ์ด้วยการใช้กฎหมาย รมว.ยุติธรรม กล่าวว่า เราไม่เข้าใจว่าประโยคนี้คืออะไร อะไรคือการข่มขู่


มส.วอน “พระ-ฆราวาส” ใช้สติ อย่าใช้อารมณ์แก้ปัญหา

โดย MGR Online

        “พระพรหมวชิรญาณ” แนะ พระ - ฆราวาส ใช้สติ อย่าใช้อารมณ์แก้ปัญหา นำหลักธรรมพระพุทธเจ้ามาปรับใช้จะเกิดความสงบสุข
       
       พระพรหมวชิรญาณ เจ้าอาวาสวัดยานนาวา กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) กล่าวว่า ประเทศชาติเราได้มีการพัฒนาบ้านเมืองมาจนถึงทุกวันนี้ ก็ประสบปัญหาต่าง ๆ มากมายตลอดมา ถือเป็นเรื่องธรรมดาของวิถีชีวิต สังคม และประเทศชาติ อย่างไรก็ตาม เมื่อมาถึงยุคนี้เห็นว่าชาติไทยกำลังต้องการเรื่องความรู้รัก สามัคคี และความปรองดอง สมานฉันท์ ถ้าหากได้นำหลักธรรมของพระพุทธเจ้าที่ได้ประทานไว้มาพัฒนามาปรับใช้ในวิถี ชีวิตของทุกคน ทุกสังคม ทุกระดับชั้น ทุกเพศ ทุกวัยแล้ว และไม่ว่าจะเป็นพระหรือฆราวาสก็ตาม มาปรับใช้จะทำให้เกิดความสงบสุขได้ เพราะคนเรานั้นจะเอาแต่ใจเราไม่ได้ อย่างที่พูดว่าจะให้ถูกใจ หรือถูกต้อง เพราะถ้าถูกต้อง ต้องนึกถึงว่าอะไรควรหรือไม่ควร
       
       พระพรหมวชิรญาณ กล่าวต่อว่า หลักธรรมที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต คือ ศีล สมาธิ และ ปัญญา หากย่อลงมาจะเป็นเรื่องพระธรรมวินัย ซึ่งพระธรรม คือข้อแนะนำ และหลักในการปฏิบัติ ส่วนวินัยคือ กฎหมาย ที่สำคัญพระพุทธเจ้าทรงประทานหลักธรรมเรื่องความไม่ประมาท คือ การใช้สติ อย่าใช้อารมณ์ให้ใช้ปัญญา อย่าวู่วาม ค่อยคิดค่อยทำ ทุกวันนี้รัฐบาลหาแนวทางทำให้เกิดความเข้าใจกัน ไม่ใช่มีอะไรใช้กำลังกัน ต้องรู้จักใช้ปัญญา ใช้สมอง ใช้ธรรมะเป็นหลัก ถ้าหากขาดธรรมะก็ไม่แตกต่างอะไรกับสัตว์ อาจจะยิ่งกว่าสัตว์ด้วยซ้ำไป หากจะเป็นคนโดยสมบูรณ์ต้องมีธรรมะ ขาดธรรมะไม่ได้ จึงขอให้ทุกคนในยุคนี้ที่เกิดในผืนแผ่นดินไทยภายใต้ธงไตรรงค์เดียวกัน ภายใต้ร่มพระบารมีพระมหากษัตริย์องค์เดียวกัน และประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติไทย รวมถึงศาสนาอื่น ๆ ก็สามารถอยู่ร่วมกัน โดยการนำหลักธรรมของแต่ละศาสนามาปรับใช้ในชีวิต เชื่อว่า จะเกิดความสงบสุข


ผบ.ตร.ย้ำชัด เครือข่าย คสพ.จะชุมนุมอีกครั้งต้องอยู่ภายใต้ พ.ร.บ.ชุมนุมในที่สาธารณะ (มีคลิป)

โดย ทีมข่าวอาชญากรรม

ผบ.ตร.ย้ำชัด เครือข่าย คสพ.จะชุมนุมอีกครั้งต้องอยู่ภายใต้ พ.ร.บ.ชุมนุมในที่สาธารณะ (มีคลิป)

       วันนี้ (16 ก.พ.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เปิดเผยถึงกรณีกลุ่มเครือข่ายคณะสงฆ์ และองค์กรภาคีพุทธบริษัท 4 ทั่วประเทศ (คสพ.) รวมตัวกันที่พุทธมณฑล จ.นครปฐม เมื่อวันที่ 15 ก.พ. ที่ผ่านมา กระทั่งเกิดเหตุกระทบกระทั่งกันระหว่างเจ้าหน้าที่ทหารและคณะสงฆ์ ว่า
       
       จากที่ได้รับรายงานจาก พล.ต.ท.ชาญเวช เสสะเวช ผบช.ภ.7 ว่า ส่วนหนึ่งที่มาร่วมชุมนุมมาจากวัดพระธรรมกาย อย่างไรก็ตาม หลังจากที่มีการเจรจาทั้งหมดก็ยอมกลับไปด้วยดี สำหรับเรื่องข้อเรียกร้อง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ได้รับหนังสือไปแล้ว ขอเวลาให้รัฐบาลพิจารณาก่อน หากผลการพิจารณาข้อเรียกร้องไม่ถูกใจกลุ่มพระสงฆ์ดังกล่าว ตรงนี้เป็นเรื่องของรัฐบาล ตำรวจเป็นเพียงผู้บังคับใช้กฎหมาย เป็นผู้ปฏิบัติเท่านั้น
       
       เมื่อถามว่า หากกลุ่มดังกล่าวจะออกมาเคลื่อนไหวอีกครั้งจะต้องขออนุญาตตาม พ.ร.บ. การชุมนุม ในที่สาธารณะ หรือไม่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า การชุมนุมไม่ว่ากรณีใด ต้องอยู่ภายใต้ พ.ร.บ. ชุมนุมในที่สาธารณะ ดังนั้น หากบุคคลหรือกลุ่มใด จะออกมาชุมนุมจะต้องปฎิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย


"พุทธอิสระ" เดินหน้าแจ้งความ"พระเมธีธรรมาจารย์"-เครือข่ายสงฆ์บุกรุกพุทธมณฑลฐานฝืน คสช.

โดย MGR Online

      นครปฐม - "หลวงปู่พุทธอิสระ" นำเอกสารเข้าแจ้งความดำเนินคดี "พระเมธีธรรมาจารย์" ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤกษ์ฎิ์ พร้อมสมาคมนักวิชาการเพื่อพุทธศาสนา และตัวแทนวันพระธรรมกาย ฐานบุกรุกพุทธมณฑล โดยฝืนกับกฎข้อบังคับของ คสช.
       
       วันนี้ (16 ก.พ.59) เวลา 13.20 น.ที่ สภ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม พระสุวิทย์ ธีรธมฺโม หรือ หลวงปู่พุทธะอิสระ แห่งวัดอ้อน้อย (ธรรมอิสระ) อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม ได้เดินเข้าพบ พ.ต.อ.วรพล ยิ่งเจริญ ผกก.สภ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม เพื่อให้ดำเนินคดีกับพระเมธีธรรมาจารย์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤกษ์ฎิ์ ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สมาคมนักวิชาการเพื่อพุทธศาสนา และตัวแทนวันพระธรรมกาย ซึ่งร่วมกับพวก บุกรุกพุทธมณฑล และร่วมกันชุมนุมโดยผิดกฎหมาย เนื่องจากไม่ได้มีการขออนุญาตจากทาง คสช. หรือผู้แทนของจังหวัดนครปฐม
       
       หลวงปู่พุทธะอิสระ กล่าวหลังเข้าแจ้งความดำเนินคดีว่า การเข้าแจ้งความครั้งนี้เนื่องจากการกระทำดังกล่าวถือว่าละเมิด พ.ร.บ.การชุมนุม ผิดข้อบังคับของ คสช.โดยเฉพาะผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนา ซึ่งรู้ดีว่าเมื่อวานมีการชุมนุมเกี่ยวกับอะไร แต่กลับมีข้อมูลว่า เป็นการมาประชุมเพื่อเตรียมงานวันมาฆบูชา และอ้างว่ามีฆราวาสเดินทางมาร่วมเพื่อปฏิบัติธรรม แต่ข้อเรียกร้องของที่ประชุม กลับเป็นเรื่องการเรียกร้องที่ไม่เกี่ยวกับวันมาฆะบูชา ถือว่าเป็นการปกป้องผู้ชุมนุมที่ทำผิดกฏ ถือขาดมาตรฐานในการทำงาน เท่ากับสมรู้ร่วมคิดกับการชุมนุมในครั้งนี้ด้วย

        โดยเมื่อช่วงหัวค่ำของคืนวันที่ 15 ก.พ.ที่ผ่านมามีแกนนำของการชุมนุมได้มีการออกมาเรียกร้องเรียกร้องให้หน่วย งานของรัฐ ห้ามก้าวก่ายกิจการของสงฆ์ โดยรัฐควรสนับสนุนทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา สนับสนุนการปกครองของสงฆ์ ของมติของมหาเถรสมาคม เหมือนเดิม ให้นายกรัฐมนตรี เสนอชื่อพระเถระที่ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช ตามมติของ มส.
       
       "นอกจากนี้เครือข่ายคณะสงฆ์และองค์กรภาคีพุทธบริษัท 4 ทั่วประเทศยังมีข้อเสนอ 5 ข้อต่อรัฐบาล คือ ห้ามหน่วยงานภาครัฐเข้ามาก้าวก่ายเรื่องทางสงฆ์, ขอให้รัฐบาลยึดถือธรรมเนียมปฏิบัติอันดีงามที่กระทำสืบกันมาเกี่ยวกับการ ปกครองคณะสงฆ์, ขอให้นายกฯ ยึดถือดำเนินการตามมติมหาเถรสมาคมที่มีการเสนอนาม สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เพื่อทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช, ขอให้ทางรัฐบาลสั่งเป็นนโยบายให้หน่วยราชการปฏิบัติต่อคณะสงฆ์ด้วยความเคารพ เอื้อเฟื้อ ไม่ข่มขู่คุกคาม และขอให้บรรจุพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติในรัฐธรรมนูญ"
       
       พ.ต.อ.วรพล ผกก.สภ.พุทธมณฑล เปิดเผยว่า วันนี้หลวงปู่พุทธอิสระได้นำเอกสารและหลักฐานมายื่นแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ ที่มาร่วมชุมนุมที่พุทธมณฑล เมื่อวันที่ 15 ก.พ.ซึ่งหลังตรวจสอบเอกสารแล้วได้ส่งต่อพนักงานสอบสวนทำการสอบปากคำผู้ร้อง ไว้เป็นหลักฐานเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไปตามกระบวน การโดยยืนยันจะมีการสอบสวนอย่างเป็นธรรมกับทุกฝ่าย


สำนักพุทธฯส่งหนังสือแจงมติมหาเถรถึงดีเอสไอแล้ว

จาก โพสต์ทูเดย์

สำนักงานพระพุทธศาสนาส่งหนังสือแจงมติมหาเถรฯปมพระลิขิตสังฆราชถึงดีเอสไอแล้ว จำนวน 100 หน้า

เมื่อวันที่ 16 ก.พ. พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยว่า  สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.)ได้ส่งหนังสือตอบข้อซักถาม 2 ประเด็น ที่ดีเอสไอ สอบถามไปว่าพศ.และ มหาเถรสมาคม (มส.) ได้ดำเนินการอย่างไรแล้วบ้าง จากพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช กรณีอาบัติปาราชิกของพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย โดยหนังสือได้ส่งมาทางไปรษณีย์ ถึงอธิบดีดีเอสไอนี้ มีจำนวน ประมาณ100 หน้ากระดาษ เอ 4
"เท่าที่ทราบเป็นเรื่องเกี่ยวกับมติ มส. ผมได้มอบหมายให้พนักงานสอบสวนสำนักคดีความมั่นคงรับไปศึกษารายละเอียด ว่าประเด็นครบถ้วนหรือไม่ จากนั้นจะมีการเรียกประชุมพนักงานสอบสวน"พ.ต.อ.ไพสิฐกล่าว
พ.ต.อ.ไพสิฐ กล่าวว่า สำหรับประเด็นการแถลงข่าว การตรวจสอบรถโบราณของ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์นั้น ดีเอสไอจะแถลงรายละเอียดในวันที่ 18 ก.พ. เวลา 9.00 น. ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ไม่มีการเลื่อนแถลงข่าวแต่อย่างใด


จ่อเรียก "ธัมมชโย-เครือข่ายพระ" ทราบข้อหารับของโจร

จาก โพสต์ทูเดย์

ดีเอสไอเตรียมเรียกธัมมชโยพร้อมเครือข่ายพระรับทราบข้อหารับของโจร จากการรับเช็คเงินยักยอกสหกรณ์คลองจั่น

เมื่อวันที่ 16 ก.พ. คณะพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ร่วมประชุมกับพนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ เพื่อพิจารณาสำนวนคดีข้อหารับของโจรและฟอกเงิน ซึ่งเป็นคดีเกี่ยวเนื่องเกี่ยวพันจากการยักยอกทรัพย์สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด เฉพาะในส่วนที่ปรากฏหลักฐานจากการเซ็นเช็คบริจาคเงินของนายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์ ให้กับวัดพระธรรมกาย พระธัมมชโย และเครือข่ายพระสงฆ์วัดพระธรรมกายสาขาต่างๆ วงเงิน 2,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการจ่ายเช็คให้โดยไม่มีมูลหนี้ต่อกัน

พ.ต.อ.ไพสิฐวงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ เปิดเผยว่า ที่ประชุมได้สรุปประเด็นข้อกฎหมายต่างๆ เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปเป็นการทยอยเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องเข้ารับทราบข้อกล่าวหา ส่วนจะเป็นการไปแจ้งข้อกล่าวหาที่วัดหรือไม่นั้น ยังไม่ได้พิจารณา แต่โดยปกติดีเอสไอจะออกหมายเรียกให้มาพบพนักงานสอบสวน. ในส่วนของรายละเอียดอื่นๆ จะแถลงข่าวชี้แจงในวันที่ 18 ก.พ.นี้ เวลา. 09.30 น.


“สมศักดิ์ เจียมฯ” ซัดม็อบสงฆ์ไร้สาระ สร้าง “ระบอบอำมาตย์พระ” เหนือการตรวจสอบ

โดย MGR Online

        อดีตอาจารย์ธรรมศาสตร์ ตำหนิการเคลื่อนไหวม็อบพระที่นำโดยพระเมธีธรรมาจารย์ ชี้ข้อเรียกร้องแย่ทุกข้อ บางข้อไร้สาระ ห้ามรัฐก้าวก่ายทำตัวอภิสิทธิชนเหนือการตรวจสอบ เอาแต่ได้ฝ่ายเดียว ชี้ข้อเรียกร้องพระพุทธศาสนาประจำชาติเป็นปัญหาระดับสถาบัน หยันเสื้อแดงด่า “พุทธะอิสระ” กลบขี้ ขัดที่อ้างตัวว่ารักประชาธิปไตย แต่นำพระไปสู่อำนาจนิยม
       
       เฟซบุ๊ก “Somsak Jeamteerasakul” ของนายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อดีตอาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกรณีที่กลุ่มพระสงค์ที่นำโดยพระเมธีธรรมา จารย์ เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย นำผู้ชุมนุมรวมตัวกันที่พุทธมณฑล วานนี้ (15 ก.พ.) ว่า ข้อเรียกร้อง 5 ข้อของการชุมนุมสงฆ์ แย่เกือบทุกข้อ บางข้อก็เสนอผิดจุด เช่น เรื่องการแต่งตั้งสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วงเป็นพระสังฆราช โดยรวมคือ ม็อบพระครั้งนี้ความคิดชี้นำไม่เอาไหน แม้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ไม่มีสิทธิไปห้ามหรือสลายการชุมนุม เพราะละเมิดสิทธิ แต่พระไม่ควรมีเกราะเรื่องบาป บุญ คุ้มกันเป็นพิเศษในการชุมนุม
       
       ส่วนเรื่องศาสนาประจำชาติเป็นเรื่องที่ผิด เหมือนกับเรื่องให้ปฏิบัติต่อสงฆ์ด้วยความเคารพ ที่เป็นข้อเรียกร้องไร้สาระ พระไม่ควรเรียกร้องในลักษณะให้รัฐปฏิบัติต่อตัวเองมาก หรือเป็นพิเศษกว่าที่ปฏิบัติต่อประชาชนทั่วไป ขณะที่เรื่อง ห้ามหน่วยงานรัฐเข้ามาก้าวก่ายเรื่องทางสงฆ์ ก็เป็นเรื่องที่ผิด เพราะในบริบทไทยที่สงฆ์อาศัยอำนาจรัฐ แม้แต่มหาเถรสมาคมก็เป็นองค์กรของรัฐ แต่บอกว่า อย่ามาก้าวก่าย เป็นการเรียกร้องเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว
       
       “ผมเสนอมาแต่ไหนแต่ไรว่า ต้องแยกศาสนาจากรัฐโดยเด็ดขาด หมายความว่า สงฆ์ก็จะกลายเป็นองค์กรเอกชนเหมือนบริษัท รัฐก็มีหน้าทีคุ้มครองหรือตรวจสอบ เท่าที่ทำเหมือนกับบริษัทเอกชนอื่นๆ ไม่มากหรือน้อยกว่า แต่ยิ่งในปริบทปัจจุบันที่สงฆ์เองอาศัยรัฐ ข้อเรียกร้องนี้ยิ่งแย่ใหญ่ ประมาณว่าอีกหน่อย ใครเกิดเรียกร้องให้มีการตรวจสอบเรื่องการเงิน ซึ่งมาจากงบสาธารณะ ตามข้อเรียกร้องนี้ ก็จะเข้าข่ายรัฐก้าวก่ายเรื่องทางสงฆ์” นายสมศักดิ์กล่าว
       
       นายสมศักดิ์กล่าวอีกว่า คนที่ต้องการอนาคตสังคมไทยตามหลักการเสรีประชาธิปไตยแท้จริง ต้องช่วยกันออกมาพูดว่า ในขณะที่ไม่เอา คสช. ไม่เอาพระพุทธะอิสระ ก็ไม่เอาการเคลื่อนไหวภายใต้ความคิดชี้นำแบบสงฆ์กลุ่มนี้เช่นกัน เป็นเรื่องชวนหดหูที่การออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองของสงฆ์ในหลายปีนี้ มีแต่แค่สองฟากที่ไม่เอาไหนทั้งคู่แบบนี้
       
       นายสมศักดิ์กล่าวต่อว่า ข้อโจมตีที่ว่าม็อบพระมีนายทักษิณ ชินวัตร สั่งการเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าแกนนำเคลื่อนไหวหลายคนเป็นพันธมิตรทางการเมืองกับค่าย นายทักษิณ และไม่อาจปฏิเสธเลยว่ากลุ่มคนเสื้อแดงโดยเฉพาะในระดับแกนนำสนับสนุนการ เคลื่อนไหวซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง เพราะข้อเรียกร้อง ทิศทาง และแนวคิดนำของม็อบและขบวนพระนี้ เป็นอำนาจนิยม ตั้งแต่ข้อเรียกร้องเรื่องศาสนาประจำชาติ ไปถึงการพยายามรักษา การปกครองของสงฆ์ แบบปัจจุบันที่มีลักษณะอภิสิทธิ์ เหนือการตรวจสอบ
       
       “จริงๆ การปกครองของสงฆ์ที่เสื้อแดงหรือ นปช. กำลังดีเฟนด์นี้เป็นระบอบอำมาตย์อย่างหนึ่งเลย เป็น ตลกร้ายมากๆ ที่ขบวนการที่อ้างว่าสู้กับระบอบอำมาตย์ยังคงมาเชียร์ระบอบอำมาตย์ของพระแบบ นี้” นายสมศักดิ์กล่าว
       
       นายสมศักดิ์ ล่าวว่า ตนมองว่าเสื้อแดงจำนวนมากกำลังอาศัยข้ออ้างเรื่องด่าพระพุทธะอิสระมากลบความจริงข้อนี้ด้วย
       
       “พุทธะอิสระน่ะด่าไปเลย ผมไม่ว่า ผมเสนอไปนานแล้วด้วยว่าเขาควรถูกจับ ถูกดำเนินคดีไปนานแล้ว แต่อันนี้เป็นคนละเรื่องกับความจริงที่กล่าวข้างต้นที่ว่าทิศทางม็อบพระนี้ เป็นทิศทางอำนาจนิยม ซึ่งใครที่อ้างว่ารักประชาธิปไตยต้องคัดค้านอย่างชัดเจน” นายสมศักดิ์กล่าว
       
       นายสมศักดิ์กล่าวอีกว่า กรณีพุทธะอิสระเป็นปัญหาระดับเรื่องแอกติวิสต์ (นักเคลื่อนไหวกิจกรรม) คนหนึ่ง แต่ปัญหาธรรมกาย มหาเถรสมาคม และขบวนพระ เป็นปัญหาระดับสถาบัน ระดับองค์กรรัฐ โดยเฉพาะข้อเรียกร้องเรื่องศาสนาประจำชาติอย่างเดียว ก็เป็นเรื่องระดับรัฐแบบถาวรแล้ว ยิ่งกว่าเรื่องการเปลี่ยนรัฐบาลเป็นครั้งๆ แต่มันมากกว่านั้นอีก ในเรื่องการจัดตั้งองค์กรรัฐส่วนที่เกี่ยวกับศาสนา สถานะของสงฆ์ในฐานะสถาบันรัฐ
       
       “เสื้อแดงที่เอาแต่ด่าพุทธะอิสระ โดยทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นปัญหาหลังที่ว่ามา หรือที่แย่ไปกว่านั้น ไปเชียร์เลย เป็นอะไรที่ไม่ถูกต้อง คุณกำลังเชียร์อะไรที่นำไปสู่ทิศทางแบบอำนาจนิยม” นายสมศักดิ์กล่าว
       
       นายสมศักดิ์กล่าวอีกว่า แกนนำพระเมื่อวานบางคนที่ใกล้ชิดเสื้อแดงมีลักษณะอำนาจนิยมขนาดไหน กรณีด่า น.ส.ลักขณา ปันวิชัย เจ้าของนามปากกา คำ ผกา ว่าปทุมถันมีสีดำ ไปถึงใช้ความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตระกูลชินวัตรไปกดดันสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี เรื่องการแสดงความเห็นของคำ ผกา เรื่องสวดมนต์ข้ามคืน จนคำ ผกาต้องออกมาขอโทษ


สื่อ ทั่วโลกรายงาน “ม็อบสงฆ์ไทยนับพัน” นำโดยพระเมธีฯและคนวัดธรรมกาย ตะลุมบอนปะทะเจ้าหน้าที่ ประท้วงชนวนเหตุแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช

โดย MGR Online

In Pics&Clips:  สื่อทั่วโลกรายงาน “ม็อบสงฆ์ไทยนับพัน” นำโดยพระเมธีฯและคนวัดธรรมกาย ตะลุมบอนปะทะเจ้าหน้าที่ ประท้วงชนวนเหตุแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช

        เอเอฟพี/เอพี/รอยเตอร์/ASTVผู้จัดการออนไลน์ – เหตุการณ์ประท้วงสงฆ์ไทยเป็นข่าวไปทั่วโลกเมื่อล่าสุด เมื่อกำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงปะทะกับม็อบพระสงฆ์จำนวน 3,000 รูปที่มีพระเมธีธรรมาจารย์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร เป็นแกนนำ พร้อมกลุ่มผู้สนับสนุนจากวัดพระธรรมกาย ในวันจันทร์(15 กพ.) บริเวณพุทธมณฑล จ.นครปฐม ในเหตุไม่พอใจปัญหาแต่งตั้งพระสังฆราชองค์ใหม่ โดยอ้างว่า “ฝ่ายบ้านเมืองเข้ามาก้าวก่ายศาสนาจักร”
       
       เมื่อวานนี้(15 กพ.)เกิดเหตุการณ์ประท้วงของกลุ่มพระสงฆ์จำนวน 3,000 รูปบริเวณพุทธมณฑล จ.นครปฐม ชุมนุมเคลื่อนไหวแต่งตั้ง "สมเด็จช่วง" เป็นพระสังฆราช ใช้กำลังผลักดันกองกำลังทหารที่เข้ามาสกัดกั้นไม่ให้ชุมนุมขัดคำสั่ง คสช. จนเกิดการปะทะถึงขั้นชกต่อยกัน
       
       ทั้งนี้มีรายงานว่า พระเมธีธรรมาจารย์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร ในฐานะเลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ได้นำพระสงฆ์และฆราวาส ในนามเครือข่ายคณะสงฆ์และองค์กรภาคีพุทธบริษัท 4 ทั่วประเทศ (คสพ.)เป็นผู้นำการเคลื่อนไหวครั้งนี้
       
       รายงานข่าวแจ้งว่า ก่อนหน้านี้เมื่อเวลา 08.00 น.ของวันจันทร์(15 กพ.) ทหารและตำรวจ สภ.พุทธมณฑล ได้สั่งปิดประตูทางเข้า ด้านถนนพุทธมณฑล สาย 4 ไม่ให้รถยนต์ทุกชนิดเข้าไปด้านในพุทธมณฑล และชี้แจงทำความเข้าใจเพื่อร้องขอไม่ให้เข้าร่วมชุมนุม เนื่องจากเป็นการขัดคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แต่พระสงฆ์และฆราวาสใช้วิธีเดินเท้าเพื่อเข้าไปด้านในองค์พระแทน ทั้งนี้ สำหรับการเคลื่อนไหวดังกล่าวจะเริ่มต้นชุมนุมในเวลา 13.00 น. และจะออกแถลงการณ์แสดงจุดยืนในเวลา 17.30 น. โดยมีกำหนดที่จะปักหลักเคลื่อนไหวไปจนถึงค่ำวันที่ 16 กพ. เวลา 19.00 น.
       
       โดยในเวลาช่วงบ่ายของวันจันทร์(15 กพ.) เอเอฟพีรายงานว่า ขบวนพระสงฆ์จำนวน 3,000 รูปจากศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นองค์กรอิสระไม่ได้ขึ้นอยู่กับมหาเถระสมาคม หรือเป็นส่วนหนึ่งของภาครัฐ รวมตัวอยู่ด้านนอกเพื่อต้องการเดินทางเข้าร่วมแสดงประกาศจุดยืนต่อรัฐบาลใน การแต่งตั้งพระประมุขแห่งพุทธศาสนจักรของไทยองค์ใหม่ บริเวณด้านในของตัวพุทธมณฑล
       
       ทั้งนี้มีรายงานว่า ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทยมีที่ตั้งอยู่ที่วัดราชาธิวา สวิหาร(คณะใต้) ถ.สามเสน กรุงเทพฯ ซึ่งจากเว็บไซต์อย่างเป็นทางการขององค์กรแห่งนี้พบว่า มีผู้นำคือศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ดำรงตำแหน่งประธานศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย และระบุว่ามีสมาชิกเครือข่ายจำนวน 3,541คน
       
       และเหตุการณ์เริ่มตรึงเครียดเมื่อเจ้าหน้าที่ทหารกองพันทหารราบที่ 9 จำนวนกว่า 50 นายที่นำแผงเหล็กกั้น และมีรถตรวจการมาจอด พร้อมประกาศห้ามไม่ให้ผู้ประท้วงสงฆ์จากศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาเข้าไปด้าน ใน ที่จะนำไปสู่สำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐที่ทำหน้าที่ดูแลและกำกับกิจการด้านพุทธศาสนา ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้การดูแลของนายกรัฐมนตรี ซึ่งในวันเกิดเหตุ ที่ตั้งของหน่วยงานรัฐแห่งนี้เป็นสถานที่ถวายภัตตาหารของเหล่าสงฆ์ เอเอฟพีรายงาน
       
       เอเอฟพีรายงานต่อว่า สื่อไทยรายงานภาพข่าว และเหตุการณ์ทางโทรทัศน์มีภาพสงห์กำลังใช้มือล็อกคอทหารหนึ่งนายที่กำลังปฎิ บัติหน้าที่รักษาความสงบอยู่ด้านนอก ในขณะที่ฝูงม็อบพระที่สวมจีวรเหลืองพยายามฝ่าแผงกั้น เพื่อเข้าไปด้านใน ซึ่งสื่อไทยชี้ว่า เจ้าหน้าที่ทหารไม่ได้ใช้กำลังกับกลุ่มพระ ในขณะที่มีภาพกลุ่มพระสงฆ์ฮือเข้ารุมล้อมเจ้าหน้าที่ รวมไปถึงรถตรวจการทหารคล้ายกับว่าจะพยายามเคลื่อนย้ายรถที่จอดอยู่ออกไป
       
       ด้านรอยเตอร์รายงานเพิ่มเติมว่า มีเสียงตะโกนดังสั่งทหาร “อย่าแตะพระ!!” พร้อมทั้งฆราวาสที่ร่วมในการประท้วงของพระเมธีธรรมาจารย์ถือป้ายประท้วงข้อ ความ “ขอให้กำหนดให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ”
       
       ด้านเลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า “ทางเราจะยังไม่หยุดการเคลื่อนไหวจนกว่ารัฐบาลจะเลิกเข้ามาแทรกแซงศาสนจักร”
       
       อย่างไรก็ตาม รอยเตอร์รายงานว่า การประท้วงที่ส่วนใหญ่สงบ ในช่วงหลังจากเกิดการงัดข้อขึ้นระหว่างทั้งฝ่ายม็อบสงฆ์และกำลังเจ้า มีจำนวนพระเข้าร่วมการประท้วงเพิ่มมากขึ้น ซึ่งมีภาพพระบางส่วนนั่งกับพื้นสนามหญ้า และสวดภาวนา
       
       เอเอฟพีรายงานต่อว่า สมชาย สุรชาตรี โฆษกสำนักงานพุทธศาสนา ได้เปิดเผยว่า “มีพระสงฆ์จำนวน 3,000 คนเข้าร่วมการสัมมนา” และยังให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า “มีประชาชนทั่วไปที่ต้องการเข้าร่วมเพื่อตักบาตร แต่ถูกกลุ่มทหารขวางไว้ ดังนั้นจึงมีปากเสียงและเกิดการผลักไปมา”
       
       ซึ่งคำกล่าวของสมชายสอดคล้องกับวิดีโอคลิปที่ลงยูทิวบ์ที่ถูกถ่ายและเผยแพร่ภายใต้ชื่อ “ทหารห้ามไม่ให้ประชาชนเข้าไปตักบาตร”
       
       การให้ความเห็นของโฆษกสำนักงานพุทธศาสนาสอดคล้องกับตัวแทนจากวัดพระธรรมกาย เอเอฟพีชี้
       
       อย่างไรก็ตาม สื่อไทยรายงานว่า ในช่วงท้ายกลุ่มเจ้าหน้าที่ทหารอนุญาตให้รถบรรทุกและรถตู้เดินทางเข้าไปได้ สร้างความพอใจให้กับทุกฝ่าย
       
       รอยเตอร์รายงานว่า การปะทะระหว่างสงห์ไทยและทหารเมื่อวานนี้(15 กพ.)เป็นเสมือนสงครามตัวแทนระหว่างสีเสื้อในเมืองไทยที่ยังไม่จบ
       
       และเอเอฟพีรายงานต่อว่า สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็น ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช และมีความคาดหมายว่า จะเป็นสมเด็จพระสงฆราชองค์ต่อไป นั้นมีความเกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งกับวัดธรรมกาย ที่เอเอฟีชี้ว่า ถึงแม้วัดแห่งนี้จะเป็นวัดแต่มีอำนาจการต่อรองคล้ายเสมือนกับจะเป็นอีกหนึ่ง นิกายในศาสนจักรของไทย
       
       โดยเอพีชี้ว่า ในการประท้วงที่พุทธมณฆลจะมีหลายกลุ่มที่ประกาศเข้าร่วม แต่พบว่ากลุ่มผู้สนับสนุนวัดพระธรรมกายเป็นแกนหลักในการชุมนุมครั้งนี้ และเพื่อให้สมเด็จช่วงได้รับการแต่งตั้ง ทางกลุ่มผู้ประท้วงประกาศขออย่าให้รัฐบาลไทยเข้ามาแทรกแซง พร้อมยังต้องการกำหนดให้กฎหมายรัฐธรรมนูญไทยระบุว่า พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติอย่างเป็นทางการ
       
       ถึงแม้ไทยจะเป็นเมืองพุทธแต่ไม่มีการกำหนดให้พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ
       
       เอเอฟพีรายงานต่อว่า มีนักวิจารณ์จำนวนมากให้ความเห็นเกี่ยวกับวัดพระธรรมกายว่า วัดแห่งนี้มีความใกล้ชิดกับอดีตนายกรัฐมนตรีไทยที่อื้อฉาว ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความขัดแย้งทางการเมืองหลายสิบปีที่ผ่านมาล่าสุด
       
       และยังมีการกล่าวหาว่า วัดพระธรรมกายต้องการที่จะควบคุมศาสนจักรในไทยทั้งหมด
       
       โดยเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย พระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย)มีปัญหาคดีฉ้อโกงเงินบริจาคครั้งมโหฬาร แต่ไม่มีการระบุความผิดอย่างเป็นทางการ โดยในเดือนเมษายน 2015 วัดพระธรรมกายได้คืนเงินจำนวน 20 ล้านดอลลาร์ให้กับผู้เกี่ยวข้องเกี่ยวข้องกับคดีฉ้อโกง
       
       โดยในวันนี้(16 กพ.) สื่อไทยรายงานว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ DSI ที่อยู่ในการทำคดีสหกรณ์คลองจั่น ซึ่งเกี่ยวข้องกับเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เตรียมดำเนินคดีวัดชื่อดังแห่งนี้ โดยในรายงานระบุว่า ที่ประชุมที่สอบสวนเส้นทางการรับเช็คจำนวน 878 ฉบับของสหกรณ์คลองจั่น เพื่อพิจารณาว่ากลุ่มใดหรือบุคคลใดเกี่ยวข้องในการรับเช็ค หรืออยู่ในกระบวนการฟอกเงิน
       
       และมีรายงานว่า อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ DSI ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อไทยในวันอังคาร(16 กพ.)โดยเผยว่า ได้รับหนังสือตอบกลับจากสำนักงานพุทธศาสนาถึงคดีปมพระธัมมชโยว่าด้วย เรื่องมติมหาเถรสมาคม จากพระลิขิตของพระสังฆราชกรณีอาบัติปาราชิกของเจ้าอาวาสพระธรรมกาย
       
       ซึงปัญหาวัดพระธรรมกายเคยมีนักวิจัยชาติตะวันได้ทำการศึกษาปราก ฎการณ์วัดพระธรรมกายต่อศาสนจักรในไทยในรูปแบบผลงานทางวิชาการตีพิมพ์มาแล้ว
       
       รองศาสตราจารย์ ราเชล เอ็ม สก็อตต์ แห่งมหาวิทยาลัยเทนเนสซี เจ้าของผลงาน “Nirvana For Sale” ตีแผ่ปัญหาพุทธศาสนาในไทย โดยเฉพาะกรณีวัดธรรมกายที่ใช้กรอบแนวความคิดสมัยนิยมใหม่ แทนความเชื่อดั้งเดิมตามแบบพุทธนิกายเถรวาท ที่แพร่หลายในศรีลังกา ไทย กัมพูชา ลาว และพม่า ที่ว่าด้วยการทำบุญอย่างเรียบง่ายและการนั่งสมาธิ มาเป็นการใช้นิพพานเป็นเป้าหมายหลอกล่อเพื่อให้ชาวพุทธที่มีจิตศรัทธาติดกับ ในลัทธิบริโภคนิยม ตามนโยบายจ่ายมากได้บุญมากเพื่อเสริมสร้างความมั่งคั่งและสมบูรณ์พูนสุขต่อ ตนเอง
       
       โดยสก็อตต์ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อ Religion & Ethics Newsweekly's Lucky Severson ว่า “คนพวกนั้นเชื่อว่า จุดมุ่งหมายหลักของศาสนาคือ การเรียไรเงินบริจาคเพื่อความยิ่งใหญ่ และเพื่อนำไปสู่ความเป็นสากลนานาชาติ”
       
       ในงานเขียน Nirvana For Sale ของสก็อตต์ แบ่งเป็น 5 หัวข้อคือ (1) พุทธศาสนา การปฎิเสธ และความมั่งคั่ง (2)สมัยนิยม ความมั่งคั่ง และวัดธรรมกาย (3) มหาธรรมกายเจดีย์ และการทำบุญในรูปแบบโพสต์โมเดิร์น (4)ข่าวอื้อฉาวของวัดธรรมกาย : ความศรัทธา ความมั่งคั่ง และอำนาจ (authority) และ (5) บริโภคนิยมและพาณิชยกรรมทางการค้าของพุทธศาสนา
       
       และหนังสือเล่มนี้ถูกนำมาวิเคราะห์โดย จอร์แดน จอห์นสัน จากมหาวิทยาลัยแอริโซนา สเตท และได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร buddhistethics เล่มที่ 20 ปี 2013 จอห์นสันกล่าวว่า สก็อตต์สนใจต่อการถือกำเนิดและการเคลื่อนไหวของลัทธิธรรมกายในไทยเป็นพิเศษ ซึ่งวัดธรรมกายถือเป็นตัวอย่างที่ดีในการอธิบายใน "มิติทุนนิยมและความศรัทธาทางศาสนา" ร่วมกันเหมือนครั้งหนึ่งในยุคกลางที่มีความเกี่ยวเนื่องระหว่างอำนาจ เงินทอง และวาติกัน โดยเธอได้มองความเคลื่อนไหวของลัทธิธรรมกายเป็นเสมือนการเปลี่ยนแปลงพุทธ ศาสนจักรในไทยที่ไม่ได้หยุดนิ่ง แต่ยังคงเคลื่อนที่ไปตลอดเวลา


สำนักงานสอบบัญชี,#สอบบัญชี,สำนักงานบัญชี,#ทำบัญชี,#ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : บิ๊กต๊อก งง เรียกร้อง ห้ามรัฐบาลยุ่ง กิจการสงฆ์ พระ ฆราวาส หากทำผิด ต้องถูกดำเนินคดี

view