สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

ไทยกับแบบอย่างการลุกฮืออาเซียนตั้งการ์ดหวั่นระบาดเข้าตัว

จาก โพสต์ทูเดย์   

ขณะนี้ความกังวลอย่างใหม่กำลังก่อตัวขึ้นในหลายประเทศที่รายรอบ ไทยที่เริ่มกังวลว่าการลุกฮือของกลุ่มคนเสื้อแดงอาจกลายเป็นตัวอย่างให้ ประชาชนในประเทศพากันลุกฮือต่อต้านรัฐบาล

โดย...ทีมข่าวต่างประเทศ

แม้ว่าม่านควันของความรุนแรงในกรุงเทพฯ จะเริ่มสลายลงไป และการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ยืดเยื้อมานานถึงกว่า 2 เดือนจะจบสิ้นลงในที่สุด แต่ขณะนี้ความกังวลอย่างใหม่กำลังก่อตัวขึ้นในหลายประเทศที่รายรอบเรา

เพราะบางประเทศเริ่มกังวลว่า การลุกฮือของกลุ่มคนเสื้อแดงอาจกลายเป็นตัวอย่างให้ประชาชนในประเทศตนพากัน ลุกฮือต่อต้านรัฐบาลขึ้นมาบ้าง

สถานการณ์เช่นนี้ง่ายที่จะเกิดอารมณ์ร่วมสำหรับผู้ที่เห็นใจฝ่ายต่อต้าน รัฐ และนักเคลื่อนไหวทางการเมืองในฝ่ายต่อต้านรัฐบาลก็พร้อมที่จะกระโจนเข้า ข้างกลุ่มต่อต้านรัฐบาลไทยในทันที ในฐานที่มีเป้าหมายร่วมกัน แม้จะต่างกันในจุดประสงค์และอุดมการณ์ก็ตาม

ดังเช่นบทความหนึ่งที่เผยแพร่ทางเว็บไซต์ links.org ซึ่งเป็นเว็บไซต์ของกลุ่มนักเคลื่อนไหวฝ่ายซ้าย ที่ระบุว่า การต่อสู้ของคนเสื้อแดงไม่ใช่การต่อสู้เพื่อคนไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นการต่อสู้เพื่อฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียด้วย

น้ำเสียงเช่นนี้สะท้อนความพยายามที่จะผลักดันให้การต่อสู้ของคนเสื้อแดง เป็นการต่อสู้เพื่อความเป็นสากลแห่งชนชั้นที่ถูกกดขี่ทั่วโลก หรือนัยหนึ่งก็คือ เป็นการทำให้คนเสื้อแดงเป็นนักเคลื่อนไหวฝ่ายซ้าย

นอกจากนี้ ยังจะเห็นได้จากบรรดาความเห็นของนักวิเคราะห์และทัศนะต่างๆ ที่โพสต์ไว้ตามเว็บไซต์สื่อชั้นนำของโลก ซึ่งบางข้อความมี|น้ำเสียงปลุกเร้า ดังเช่นความเห็นของผู้อ่านบทความเรื่อง The battle of Bangkok ที่ตีพิมพ์ในเว็บไซต์ของนิตยสาร ดิ อีโคโนมิสต์ ที่ชื่อว่า BIN SAFI ระบุว่า “นักต่อต้านแห่งสยามโบราณเหล่านี้ ได้กระทำตนเป็นตัวอย่าง ซึ่งจะจุด|ประกายไปทั่วโลก”

แต่ไม่เฉพาะฝ่ายซ้ายเท่านั้น นักเคลื่อนไหวฝ่ายใดก็ตามที่เชิดชูการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยต่างมองการ ต่อสู้ของคนเสื้อแดงเป็นตัวอย่างของการต่อสู้ของตนเช่นกัน ดังที่บทความของ Rizal Sukma ที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ The Jakarta Post ที่ระบุว่า

“ภาวะคับขันทางการเมืองของไทยถูกบางฝ่ายนำไปใช้เป็นสัญลักษณ์การต่อสู้ เพื่อประชาธิปไตยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พัฒนาการของประชาธิปไตยของไทยมักเป็นแรงบันดาลใจสำหรับนักเคลื่อนไหวเพื่อ ประชาธิปไตยจำนวนไม่น้อยในภูมิภาคนี้ รวมถึงอินโดนีเซีย”

สำหรับประเด็นนี้ รูปธรรมที่สุดคือ สมาชิกบางส่วนของ BNP พรรคฝ่ายค้านในบังกลาเทศ ที่เรียกให้หัวหน้าพรรคใช้ยุทธวิธีปิดล้อมในเมือง และใช้กองกำลังติดอาวุธต่อสู้ไปตามท้องถนน เช่นเดียวกับพลพรรคเสื้อแดง เพื่อขับไล่รัฐบาลพรรคสันนิบาตอาวามี

สมาชิกพรรค BNP รายหนึ่งถึงกับยืนยันกับหัวหน้าพรรคว่า “เราสามารถเปลี่ยนกรุงธากาให้เป็นเหมือนกรุงเทพฯ หากเราต้องการ”

แน่นอนว่า ข้อเสนอที่จะนำไปสู่ภาวะมิคสัญญีเช่นนี้ย่อมได้รับการต่อต้าน แม้กระทั่งสมาชิกพรรคเดียวกันเอง และยังแน่นอนว่า หลายฝ่ายที่เชิดชูการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างแท้จริงย่อมไม่ต้องการ เลียนแบบหายนะที่กรุงเทพฯ ประสบเช่นกัน

และที่สำคัญก็คือ แม้แต่นักสังเกตการณ์ต่างชาติยังไม่แน่ใจว่า กลุ่มเสื้อแดงที่ไม่ได้ต่อสู้เพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่ต่อสู้เพื่อหลักการอื่นๆ ถือเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองระดับรากหญ้าอย่างแท้จริงหรือไม่

ประเด็นนี้นี่เองที่อาจคลายความกังวลของบางประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียง ใต้โดยเฉพาะในแถบอินโดจีน อันได้แก่ ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ที่กังวลว่าไทยอาจเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้กับกลุ่มต่อต้านรัฐบาลในประเทศตน

เพราะแนวโน้มที่ไทยจะกลายเป็นตัวอย่างให้กับการลุกฮือของประชาชนในอินโด จีนมีน้อยมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ยังไม่ชัดเจนว่ากลุ่มคนเสื้อแดงเป็นกลุ่มราก หญ้าอย่างแท้จริงหรือไม่

เหตุผลแรกก็คือ ขบวนการที่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐบาลในอินโดจีนมีขนาดเล็ก และส่วนใหญ่มีฐานการเคลื่อนไหวอยู่ในต่างแดน

เหตุผลประการที่สอง คือ รัฐบาลประเทศเหล่านี้จะพยายามประโคมข่าวเหตุวุ่นวายในไทยเพื่อย้ำเตือนให้ ประชาชนตระหนักถึงราคาที่จะต้องจ่าย หากปรารถนาประชาธิปไตยแบบครึ่งๆ กลางๆ เหมือนกับไทย และราคานั้นคือความโกลาหลที่จะตามมาจากการปล่อยให้ประชาชนแสดงความเห็นอย่าง เสรี

กล่าวโดยย่อก็คือ จงภักดีต่อระบอบเผด็จการพรรคเดียวเข้าไว้ หาไม่แล้วบ้านเมืองจะลุกเป็นไฟเหมือนบางกอก

น่าสนใจก็คือ รัฐบาลจีนได้นำวิธีการนี้มาใช้เช่นกัน ดังจะเห็นได้จากความเห็นของอดีตผู้สื่อข่าวในสังกัดรัฐบาลจีนที่ให้สัมภาษณ์ กับสื่อต่างชาติสำนักหนึ่งว่า รัฐบาลจีนจะพยายามประโคมข่าวความวุ่นวายในไทยเพื่อย้ำเตือนให้ชาวจีนได้ซาบ ซึ้งถึงผลพวงที่จะตามมาหากจีนเป็นประชาธิปไตยมากเกินไป

หากจะชี้ให้เห็นถึงผลกระทบของวิกฤตการเมืองไทยต่อประเทศเพื่อนบ้าน สิ่งที่ชัดเจนที่สุดก็คือ หากไทยคว่ำคะมำจากวิกฤตการเมือง จะยังผลให้ภาวะเศรษฐกิจของประเทศในแถบอินโดจีนต้องสะดุดลงด้วย เนื่องจากไทยเป็นศูนย์กลางของเครือข่ายคมนาคมขนส่งในภูมิภาคนี้

ด้วยเหตุนี้จึงมีเสียงสะท้อนถึงความกังวลแว่วมาจากนายกรัฐมนตรี บัวสอน บุบผาวัน แห่งลาว ซึ่งกังวลว่าเศรษฐกิจลาวต้องพลอยเป็นอัมพาตเพราะไม่อาจขนส่งสินค้านำ เข้า-ส่งออกผ่านไทยได้

อย่างไรก็ตาม ที่ระบุไว้ว่าประเทศในอินโดจีนมีโอกาสน้อยมากที่จะติดเชื้อการลุกฮือของภาค ประชาชนตามรอยไทยนั้น ยังมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นเช่นกัน เพราะคำว่าโอกาสน้อยมาก ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นเสียเลย

เพราะสิ่งที่รัฐบาลลาวต้องตระหนักอย่างหนึ่งนอกเหนือผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ก็คือ ประชาชนชาวลาวเสพสื่อไทยจนเป็นเรื่องสามัญประจำชีวิต ความเคลื่อนไหวที่กำลังเกิดขึ้นในไทย อาจทำให้ชาวลาวรู้สึกไม่ต้องการให้เกิดขึ้นในบ้านเมืองของตน แต่ขณะเดียวกันอาจไปจี้จุดให้บางคนรู้สึกฮึกเหิมกับการต่อสู้ในลักษณะนี้ เช่นเดียวกับที่ฝ่ายซ้ายทั่วโลกกำลังชูคนเสื้อแดงเป็นตัวอย่าง

ทั้งนี้ทั้งนั้น การลุกฮือของประชาชนเพื่อโค่นล้มรัฐบาลย่อมต้องมีเงื่อนไข และต้องเป็นเงื่อนไขที่ไม่ผูกมัดเฉพาะบุคคล แต่เกี่ยวพันในเชิงหลักการ อาทิ การลุกฮือของประชาชนที่ไม่อาจทนกับภาวะแร้นแค้นท่ามกลางความเฉยเมยของรัฐบาล อีกต่อไป

การลุกฮือของคนเสื้อแดงจะกลายเป็นตัวอย่างให้กับประเทศอื่นในอินโดจีน หรือประเทศอาเซียนส่วนแผ่นดินใหญ่ หรืออาเซียนส่วนหมู่เกาะ หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่ากลุ่มคนเสื้อแดงมีจุดประสงค์ร่วมกับประชาชนที่ถูกกดขี่ใน ประเทศอื่นๆ หรือไม่ และประเทศนั้นๆ เปิดโอกาสให้กับการต่อต้านรัฐบาลด้วยกระบวนการที่ถูกกฎหมายหรือไม่

ในกรณีนี้ กลุ่มประเทศอินโดจีน ซึ่งควบคุมโดยรัฐบาลอย่างเข้มงวด ย่อมไม่อาจต่อติดกับขบวนการเคลื่อนไหวทางการเมืองในไทย

กระนั้นก็ตาม หากตัดทอน พ.ต.ท.ทักษิณ และกลุ่มคนเสื้อแดง (ซึ่งบัดนี้กลายเป็นหลากสีเสียแล้ว) ที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ออกไป จะพบว่าไทยมีเงื่อนไขให้เกิดการชุมนุมใหญ่ นั่นคือปัญหาความไม่เท่าเทียมกันทางสังคม ซึ่งถูกหยิบยกมาเป็นประเด็นสำหรับบางฝ่ายที่เข้าร่วมกับกลุ่มคนเสื้อแดง

ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจประการหนึ่งก็คือ ลาวและกัมพูชายังถือเป็นประเทศที่ยากจนที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และข้อเท็จจริงอีกประการก็คือ ไทยและฟิลิปปินส์ ถือเป็นประเทศที่มีช่องว่างความมั่งคั่งที่กว้างที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย เฉพาะประเทศไทย ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนอยู่ในระดับสูงถึง 8 จากเต็ม 10

หากจะกล่าวว่า คนเสื้อแดงที่สู้เพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ จะเป็นตัวอย่าง “ที่ไม่ดี” ให้กับประชาชนของประเทศเพื่อนบ้าน ย่อมเป็นไปได้ยากจนถึงขั้นเป็นไปไม่ได้เอาเสียเลย

แต่หากจะกล่าวว่า เพราะความแร้นแค้นที่บีบบังคับให้ผู้ชุมนุมกรูกันเข้ามาในเมืองหลวง ย่อมมีโอกาสเป็นไปได้ ทั้งยังเคยเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า

เพราะไม่ว่าวันนี้หรือวันไหน ปัญหาความยากจนยังเป็นเชื้อไฟอย่างดีสำหรับขบวนการการโค่นล้มรัฐบาล

view