สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

บิ๊กซีพีแนะแก้วิกฤติต้องสร้างความเป็นธรรมทุกฝ่าย

จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

"ธนินท์ เจียรวนนท์ "แนะแก้วิกฤตชาติ รัฐบาลให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย-สังคมรู้จักให้อภัย-ตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน มั่นใจเศรษฐกิจไทยยังเติบโตได้

นายธนินท์   เจียรวนนท์  ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ให้สัมภาษณ์ภายหลัง เป็นประธานในพิธีในงานฉลองการสำเร็จการศึกษาของนักเรียนเกรด 12 รุ่นที่ 1 และสุนทรพจน์พิเศษหัวข้อ"จริยธรรมของผู้นำ"ที่โรงเรียนนานาชาติ คอนคอร์เดียน  เขตบางนา กทม.เกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันว่า ตนมองโลกในแง่ดีไว้ก่อน  และเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจของเมืองไทยเวลานี้รุ่งที่สุดในประวัติศาสตร์  ประเทศไทยมีเงินตราต่างประเทศเหลืออยู่กว่า 1 แสนล้านยูเอสดอลล่าร์และการส่งออกยังเกินดุล ขนาดการเมืองแบบนี้หุ้นก็ยังขึ้นเรื่อยๆเพิ่งมาตกเพราะการเงินของโลกมีปัญหา

"เมืองไทยผลิตอาหารเลี้ยงโลก  ผลิตข้าวขายและยางพารามากที่สุดในโลก ไทยเป็นพระเอกในสินค้าเกษตรสองประเภทนี้ทั้งที่ประเทศไทยมีคนแค่กว่า 60 ล้านคนแต่มีสินค้าสองชนิดที่ขายไปต่างประเทศมากที่สุด ผมเชื่อว่ายางพารายังต้องเติบโตไปอีก และข้าวราคายังต้องสูงขึ้น ราคาข้าวในขณะนี้ยังไม่ใช่ราคาที่ถูกต้อง และถ้าราคาข้าวสูงขึ้น หากรัฐบาลเข้าใจก็ต้องปรับเงินเดือนขั้นต่ำของข้า ราชการให้สูงขึ้น ผมยังยืนยันว่าถ้าใช้สองสูงนี้ไม่ผิดพลาดแน่" นายธนินท์  กล่าว

นายธนินท์  กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันการพัฒนาเศรษฐกิจนั้นรัฐบาลไม่ควรดูตัวอย่างไกลจนเกินไป แต่ควรเรียนรู้จากประเทศใกล้ๆเรียนรู้จากญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศที่แพ้สงคราม โลกครั้งที่ 2 เป็นหนี้สินรุงรัง ยากจนมากแต่หลายสิบปีก่อนจนถึงวันนี้เศรษฐกิจของญี่ปุ่นเป็นที่หนึ่งของโลก แล้วโดยใช้ญี่ปุ่นใช้หลักสองสูงนี้อย่างชัดเจน  ที่ดินราคาสูงและสินค้าเกษตรราคาสูงโดยสองอย่างเป็นทรัพย์สมบัติของญี่ปุ่น  ซึ่งที่ดินก็งอกไม่ได้มีเท่าไหร่ก็เท่านั้นและถือเป็นทรัพย์สมบัติของชาติ และสินค้าเกษตรเป็นน้ำมันบนดิน  ซึ่งสำคัญกว่าน้ำมันดิบและประเทศไทยเป็นผู้ผลิตน้ำมันบนดินสำคัญกว่าน้ำมัน ดิบเพราะผลิตมาเลี้ยงมนุษย์เป็นพลังงานของมนุษย์แล้วผู้ผลิตพลังงานเลี้ยง มนุษย์จะยากจนได้อย่างไร  ถ้านโยบายของรัฐบาลถูกต้อง

"รัฐบาลอย่าไปเรียนรู้อะไร เรียนรู้จากญี่ปุ่นซึ่งเกษตรไปเที่ยวทั่วโลกได้ อยู่โรงแรมห้าดาว ตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีก่อนแล้ว  ข้าวไทยไปขายกิโลละกว่า 10 บาทแต่ญี่ปุ่นไม่ซื้อเพราะต้องการให้คนญี่ปุ่นกินข้าวกว่า 100 บาทเพราะญี่ปุ่นใช้หลักสองสูง  ถ้าใช้สองสูงเมื่อไหร่เราไม่ได้เสียเปรียบใครเพราะเราซื้อน้ำมันก็ซื้อจาก โลก ทำไมเรากดราคาน้ำมันบนเดินของเราต่ำแล้วคนไทยจะไปรวยได้อย่างไร" นายธนินท์  กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า สถานการณ์การเมืองในปัจจุบันค่อนข้างรุนแรงจะต้องหาแนวทางมาสนับสนุนนโยบาย สองสูงนี้ให้ใช้งานได้ดีขึ้นหรือไม่  นายธนินทร์ กล่าวว่า  รัฐบาลจะต้องเข้าใจทำโดยไปดูประวัติศาสตร์ว่าญี่ปุ่น  ไต้หวันทำอย่างไรเช่น เกษตรกรไต้หวันมีไต้ฝุ่นเข้า ภูเขาก็เยอะ ที่ดินทำกินก็น้อยและยังมาเจอหน้าหนาวอีก แต่ทำไมไต้หวันใช้เวลา 20 ปีเท่านั้นจากที่เดิมที่ยากจนกว่าเมือไทยหลายเท่า  แต่วันนี้เกษตรกรไต้หวันไปเที่ยวทั่วโลกได้  แต่ทำไมเกษตรกรไทยยังไปเที่ยวทั่วโลกไม่ได้ทั้งที่ทุกอย่างประเทศไทยดีกว่า

นายธนินท์  กล่าวอีกว่า  ขณะเดียวกันรัฐบาลอย่าเข้าใจผิดเพราะหากเกษตรกรหลายสิบล้านคนร่ำรวยขึ้น จะทำให้อุตสาหกรรมในประเทศไทยร่ำรวยขึ้นด้วยเพราะไทยมีความสามารถไปแข่งขัน กับโลกก็เท่ากับไทยมีความสามารถผลิตสินค้าที่ต้นถูก คุณภาพดีมาขายให้แก่เกษตรกร ถ้าเกษตรกรมีกำลังซื้อสินค้าเราส่วนหนึ่งโดยคนไทยหลายสิบล้านคนมาซื้อสินค้า จะทำให้อุตสาหกรรมของเรายิ่งเจริญรุ่งเรือง และธุรกิจบริการยิ่งมากขึ้นและดีขึ้น  ซึ่งหมายความว่า จะต้องเอาจากภาคเกษตรมาเป็นพนักงาน ถ้าเป็นพนักงานก็อยู่ห้องแอร์  เงินเดือนสูง ทาลิปติก นุ่งกระโปรง เพราะฉะนั้นหากกำลังซื้อของคนยากจนมากขึ้น ประเทศชาติได้และนักธุรกิจได้หมดโดยเฉพาะข้าราชการเงินเดือนต้องสูงเพราะตาม กันไป

"เราบอกว่ามีคอร์รัปชั่น อะไรต่ออะไร แต่เรื่องยากจนเราไม่แก้ไข  ประเทศไทยวันนี้ขาดการทำให้คนยากจนร่ำรวย พออะไรแพงก็บอกไม่ไหว ต้องบอกว่าอะไรแพงต้องคอนโทรลให้ถูกให้รัฐบาลเข้าใจและขึ้นเงินเดือนข้า ราชการและราคาสินค้าเกษตรปล่อยให้สูงเพื่อให้บาร์ลานซ์กัน อย่าไปกดทรัพย์สมบัติของเราให้น้อย  ประเทศน้ำมันถ้าไปคอนโทรลราคาน้ำมันให้ถูกๆ ผมไม่เชื่อว่าอาหรับจะมีเงิน ประเทศเขายิ่งจนกว่าเมืองไทยเราอีก" นายธนินท์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า หมายความว่าการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลยังไม่ถูกทางใช้หรือไม่ นายธนินทร์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้รัฐบาลยังไม่เข้าใจและอย่าไปมองอะไรไกลไป ขอให้เอาประวัติศาสตร์ของประเทศใกล้ๆเช่น เกาหลีใต้  ซึ่งดินฟ้าอากาศจะมาสู้อะไรกับเมืองไทยและความสามารถของเกษตรกรไทยไม่ได้แพ้ ใครเลย เราเลี้ยงและส่งไก่ไม่ได้แพ้จีน อเมริกา

"ผมกล้าพูดว่าประเทศไทยเหนือกว่าประเทศอื่น เหนือกว่าอินเดียอีกเพราะมีผู้นำอย่างซีพีเป็นให้เทคโนโลยีและตลาด พอธนาคารเห็นว่าหลักประกันตรงนี้ดี ธนาคารก็กล้ากู้เงินให้ แต่ถ้าเราไปกดราคาสินค้าต่ำๆ  ความเสี่ยงสูง ราคาถูกซึ่งผิดหลักการแล้ว ความเสี่ยงสูงต้องกำไรมาก แต่ของเราความเสี่ยงสูง ราคาถูกเพื่อเอาใจคนในเมือง ไม่ใช่เมื่อไข่แพง ไข่รัฐบาล นายกรัฐมนตรีคนไหนนั้นไม่ใช่เพราะเกษตรเขามีอาชีพอยู่ เช่น เลี้ยงสุกร เกษตรกรไม่ได้บังคับว่าต้องกินต้องซื้อ แต่จะไปบังคับเขาให้ขายหมูราคาถูกซึ่งถ้าขายถูกแต่ขาดทุนใครไปช่วยเขา  ไม่มี  แต่เวลากำไรคืนเขาต้องขายสูงเพราะเขาเสียหายไปแล้ว จะคืนได้ก็ต้องขายราคาสูง เพราะฉะนั้น คนที่อยู่ในเมืองต้องหลีกเลี่ยง เช่น ไม่ทานหมูสัก 1 ปีจะเป็นอะไรไป ผมเลือกอย่างอื่น ทำไมต้องบังคับราคาหมูต้องถูก ถ้าเกษตรกรมีรายได้สูง เขาจะมีกำลังซื้อ จะซื้อวัตถุดิบจากเกษตรกรราคาสูง แต่ถ้าเรากดต่ำทุกอย่างต่ำไปหมด  ทรัพย์สมบัติของชาติต่ำลง" นายธนินท์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า ประเมินภาพรวมแล้วเศรษฐกิจไทยยังเติบโตได้อีกหรือไม่ นายธนินทร์ กล่าวว่า ตนมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยเติบโตอีกได้แน่  ถ้ารัฐบาลคำนวณไว้เท่าไหร่ ตนว่าสูงกว่าที่รัฐบาลตั้งเป้าเอาไว้ ซึ่งกี่เปอร์เซ็นต์ตนคงบอกไม่ได้เพราะไม่ใช่นักวิชาการ แต่จากประสบการณ์ตนมองว่าเวลาเศรษฐกิจทั่วโลกเอื้ออำนวยให้แก่ประเทศไทยมาก เช่น ไทยไปทำสัญญากับเอเชีย 5 ประเทศทั้งมาเลเซีย สิงคโปร์  อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์และบรูไน  ขอถามว่า ถ้าจะเลือกตั้งโรงงาน ก็เข้ามาตั้งโรงงานผลิตสินค้าในเมืองไทยส่งออกนอกเช่น ญี่ปุ่นก็ส่งฟรีเพราะไทยไปทำสัญญากับญี่ปุ่นไว้   แต่จีนส่งสินค้าไปขายญี่ปุ่นมีภาษี  จีนเข้ามาลงทุนในเมืองไทยผลิตจากเมืองไทยไปญี่ปุ่นและในเอเชีย 5 ประเทศไม่มีภาษี  ดังนั้น  จีนจะต้องมาลงทุนที่เมืองไทยแน่ หรืออเมริกาผลิตสินค้าไปขายญี่ปุ่น แต่อเมริกมาลงทุนเมืองไทยผลิตไปขายจีน ญี่ปุ่นนั้นไม่มีภาษี

นายธนินท์  กล่าวต่อไปว่า  ตนจึงมองว่าปัญหาของโครงการอุตสาหกรรมาบตาพุด จึงต้องแก้ไขให้ถูกต้อง ไม่ใช่อยู่ก็ให้หยุด จะต้องให้เวลาเพราะไทยอนุมัติให้เขาแล้ว จะต้องให้เวลาเขาปรับปรุง ทำให้ทั่วโลกเขาเชื่อว่าประเทศไทยมีกฎหมายที่คุ้มครองอยู่  แค่นี้ตนเชื่อว่าเมืองไทยน่าจะดีมากแต่การเมืองต้องนิ่ง

ผู้สื่อข่าวถามว่า มองเศรษฐกิจใดเสียหายมากที่สุด นายธนินทร์ กล่าวอีกว่า ตนมองว่าธุรกิจท่องเที่ยวเสียหายมากที่สุด แต่ถ้ารัฐบาลเข้าใจตอนที่การเมืองไม่นิ่ง จะต้องขึ้นเอทานอลมาทดแทนน้ำมันที่มีก่อนและใช้สินค้าเกษตรมาผลิตเอทานอลแทน น้ำมันเพราะธุรกิจท่องเที่ยวหายไป 4 แสนล้านบาท จะต้องใช้น้ำมันบนดินมาทดแทน 4 แสนล้านบาท ซึ่งการขาดดุลการค้าก็ไม่เกิดแล้วก็ทำให้ข้าว อ้อย มันสำปะหลังราคาดีขึ้น   เกษตรกรมีรายได้มากขึ้น มีเงินจับจ่ายมากขึ้น  และหากไม่รีบแก้ไขลูกหลานเกษตรกรพอจบมัธยมไม่มีใครอยากกลับไปทำนาทำไร่เพราะ ลำบาก กำไรน้อย ความเสี่ยงสูง

ผู้สื่อข่าวถามว่า มองสถานการณ์บ้านเมืองที่มีปัญหาและมีขบวนการก่อการร้ายอยู่ใต้ดินอย่างไร นายธนินท์ กล่าวอีกว่า รัฐบาลจะต้องดูแลให้เกิดความเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย   ตนเชื่อว่าปัญหาขบวนการใต้ดินก็จะหมด

ผู้สื่อข่าวถามว่า มองว่าในว่าบ้านเมืองวิกฤตผู้นำต้องมีจริยธรรมอย่างไรบ้าง  นายธนินท์  กล่าวว่า  ไม่ใช่แค่ผู้นำเท่านั้น แต่ประชาชนทั้งประเทศต้องมีคุณธรรม จริยธรรมและรู้จักตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน และรู้อภัยพ่อแม่ ไม่มีพ่อแม่คนไหนถูกหมด ถ้าเราจะไปหาความผิดของพ่อแม่เราก็มีเหมือนกันเพราะทุกคนต่างมีจุดอ่อนและ จุดแข็ง  เราต้องไปดูจุดแข็งของพ่อแม่แล้วพ่อแม่ก็มีผิดบ้าง เราต้องอภัย เพื่อนฝูงและสังคมก็เหมือนกันต้องรู้จักอภัยซึ่งกันและกัน อยู่ด้วยความสันติ

view