จากประชาชาติธุรกิจ
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา หมอประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส และ ลุงประยงค์ รณรงค์ ปราชญ์ชาวบ้าน โคจรมาพบกันกลางกรุงเทพ
ลุงยงค์ เดินทางมาจาก ตำบลไม้เรียง อำเภอฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราช เอ่ยว่า ผมปีนี้ อายุ 73 ปีแล้ว ไม่ค่อยอยากเดินทางไกลแล้ว อยากอยู่บ้าน
" หลายปีทีผ่านมา ผมเดินทางบ่อยมาก เพื่อไปบอกเล่าประสบการณ์ของผม แต่ช่วงหลังผมเริ่มปฎิเสธบ้างแล้ว อยากอยู่บ้าน" ลุงยงค์ กล่าว
หมอประเวศ รีบสวนกลับว่า " ภริยาผมเตือนว่า ปีหน้า ผมอายุ 80 ปีแล้ว ควรให้ใช้ชีวิตสบายๆ ได้แล้ว ผมก็บอกภริยาไปว่า ยุคนี้เขาพยายามใช้คนแก่ให้มากขึ้น" (ฮา)
จากนั้นวงสนทนา ระหว่าง ราษฎรอาวุโส วัย 79 ปี กับ ปราชญ์ชาวบ้านวัย 73 ปีก็เปิดฉากขึ้น อย่างสนุกสนาน และเป็นกันเอง
"นักข่าว "รีบกด เครื่องบันทึก เอ็มพี 3 เพื่อถ่ายทอด บนสนทนาระหว่าง 2 กูรูใหญ่ ที่เต็มไปด้วยแง่มุมมองและวิธีคิดที่เก็บเกี่ยวประสบการณ์มาอย่างยาวนาน
ลุงประยงค์ : ทุกวันนี้ เขาคิดว่าผมจะเป็นส่วนหนึ่งที่เขาจะต้องปรึกษาหารือ แต่ผมก็รู้สึกว่า อายุขนาดนี้แล้ว ให้ผม สมบุกสมบันเหมือนแต่ก่อนคงไม่ได้
หมอประเวศ : แต่ก็ยังน้อยกว่าผมนะ ลุงยงค์อายุแค่ 73 แต่ผม 79 แล้ว (หัวเราะ) เชื่อมั๊ยครับ เมื่อวันก่อน ผมต้องตื่นก่อนตี 4 ต้องบินไปบรรยายที่ข่อนแก่น เพราะเครื่องบินออก 6 โมง 5 นาที ที่สุวรรณภูมิ สงสัยชาติก่อนผมทำกรรมไว้เยอะ ชาตินี้เลยถูกใช้งานหนัก (หัวเราะ)
ลุงประยงค์ : ผมถูกเชิญไปพูด ผมก็เล่าได้เพียงประสบการณ์ของผมเท่านั้น
หมอประเวศ : นี่ๆ ผมมีเรื่องเล่าให้ฟังระหว่างไปขอนแก่น ก็มีพยาบาลคนหนึ่ง เขาทำไร่ เลี้ยงวัวด้วย ทีนี้ อาทิตย์ที่แล้วฝนตกหนัก วัวของเขาตัวหนึ่งก็หายไป วัวตัวนี้ มันชื่อ"เกรท" เขาก็ส่องไฟตามหา ปรากฏว่าวัวตัวนี้กำลังคลอดลูกอยู่ใต้ต้นไม้ เขาเป็นพยาบาล ก็คิดเหมือนคนว่าเจ้าลูกวัวมันจะหนาว เพราะฝนตกหนัก ก็ไปอุ้มลูกวัวออกมา ปรากฏว่า แม่วัวไล่ขวิดเข้าให้ เขาก็ล้มไปที่พื้น แม่วัวก็ยิ่งตะกุยเขาเข้าไปใต้ท้องมันอีก จากนั้น เขาก็หลุดเข้าไปอยู่ใต้ท้องแม่วัวออกมาไม่ได้ เขาจะออก วัวก็ตะกุยไม่ให้ออก ตั้งแต่ 3 ทุ่ม จนถึง ตี 4 เขาก็ให้ดูว่าแม่วัวเหยียบเขาจนตัวเขียว ก็นึกว่าเขาไม่รอดแล้ว พอตี 4 เขาสังเกตท่าทางแม่วัวมันจะเหนื่อย เพราะมันเพิ่งคลอดลูก เขาก็อาศัยจังหวะวิ่งหนีออกจากใต้ท้องวัว แต่มันก็วิ่งไล่ตามอีก เขาก็ปีนขึ้นต้นไม้ (หัวเราะ) วัวมันก็เดินวนอยู่ใต้ต้นไม้ สุดท้ายมา ก็ต้องมารักษาตัวอยู่โรงพยาบาล บอบช้ำมาก ที่เล่าให้ฟัง ก็เป็นตัวอย่างว่า เขาคิดแบบคน ถ้าเด็กเกิดมา อุณหภูมิมันต่ำ เดี๋ยวไม่สบาย แต่ลืมนึกไปว่ามันเป็นสัตว์
ลุงประยงค์ : คือคิดแบบคนแต่ไม่เข้าใจสัตว์ เพราะสัตว์ทุกชนิด พอคลอดลูกอ่อนมันจะหวงลูก ส่วนใหญ่แล้ว แม่วัวอย่างนี้ เขาของมันยังไม่แหลมคม ขวิดคนไม่ตายหรอก
หมอประเวศ : ผมก็บอกว่า ถ้าหายดีแล้ว ก็กลับไปคืนดีกับมันสิ พยาบาลบอกว่า ไม่กล้าค่ะ เพราะไม่รู้จะมันหายโกรธ หรือยัง (หัวเราะ)
ลุงประยงค์ : จริงๆ แล้ว กรณีอย่างที่คุณหมอเล่า มีบ่อยนะครับ เพราะแม่วัวลูกอ่อน ส่วนใหญ่แล้วถ้าเป็นวัวพื้นเมือง มันจะไปหาที่สุ่มรกๆ เพื่อคลอดลูก แต่เดี๋ยวนี้ เจ้าของวัวเก่งขึ้น เขารู้ว่าวัวจะคลอดเมื่อไหร่ เขาสามารถนับได้ ตั้งแต่วันผสมพันธุ์แล้วเขาก็เตรียมการ สร้างสิ่งแวดล้อมอย่างดี ให้วัวเกิดในที่ที่ดี แต่ไม่ต้อง เป็นห่วงมัน
หมอประเวศ : มันไม่ต้องการหมอตำแย (หัวเราะ)
นักข่าว : อาจารย์หมอประเวศครับ แล้วการปฏิรูปประเทศไทย ต้องการหมอตำแย หรือ เปล่า
หมอประเวศ : ก็คงต้องให้เวลา แล้วก็ทำเรื่องดี ทำสิ่งดีๆ แล้วเรื่องดีๆ มันจะช่วยเยียวยา
ลุงประยงค์ : ผมคิดว่า ต่างฝ่ายต่างได้บทเรียนกันมา ถึงแม้ยังรู้สึกเกลียดชังกันอยู่ แต่ก็น่าจะมีประสบการณ์
หมอประเวศ : ผมคิดว่า การเกลียดชังกัน เป็นเพียงส่วนเดียว(นะ) แต่คนส่วนใหญ่ไม่ ฉะนั้น เราก็ต้องเริ่มจากคนส่วนใหญ่ ในการทำเรื่องดีๆ มันก็จะสร้างพื้นที่ของสันติวิธีให้ขยายออกไป แล้วก็จะค่อยลดพื้นที่ที่มันขัดแย้งกัน แล้วบางทีก็อาจจะมาร่วมกันทำเรื่องดีๆ ผมพูดมานานเป็น 10 ปีว่า การเมืองนำไม่สำเร็จ เพราะการเมืองนำ คนจะต่อต้าน ต้องสังคมนำแล้วการเมืองตาม อย่างนี้สบาย แต่ถ้ารัฐบาลนำ ไม่สำเร็จ
นักข่าว : พลังสังคมที่อาจารย์คาดหวัง จะปฎิรูปประเทศไทย ได้จริงๆ หรือ
หมอประเวศ : ก็น่าจะได้ เพราะตอนนี้คนตื่นตัวเยอะมาก หลังจากวิกฤตเรามีเวทีปฏิรูปต่างๆ มากมายเยอะแยะไปหมด แต่ก็ต้องจัดการเรื่องความรู้ เรื่องประเด็นให้มันชัด เพราะถ้ารวมตัวกันมาก แต่ประเด็นไม่ชัด ก็ไม่รู้จะเคลื่อนยังไง ฉะนั้นต้องมาคุยกัน สังเคราะห์ประเด็นให้ดี
ลุงประยงค์ : ผมมีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องสภาชุมชนผู้นำ(ครับ) ซึ่งเป็นเรื่องดีมากเลย แต่ก่อน เราไม่เคยคิดว่าเรื่องนี้จะเป็นเครื่องมือที่ดี ที่จะทำให้แก้ปัญหาเรื่องความขัดแย้งของคนได้ แต่ระยะหลังเกิดการเลือกตั้งอบต. เลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านขึ้นมา ซึ่งเลือกตั้งทุกครั้งก็มีปัญหาทุกที ความขัดแย้งก็เกิดขึ้น
หมอประเวศ : สภาผู้นำชุมชนระดับหมู่บ้าน หรือระดับตำบลก็แล้วแต่ ที่ตำบลไม้เรียงของลุงยงค์เป็นระดับตำบล ซึ่งวันที่ผมไปบรรยายที่ขอนแก่น ก็บอกว่า ที่ไม้เรียงมี 10 หมู่บ้าน ผู้นำแต่ละหมู่บ้าน 5 คน ก็มี 50 คน ทีนี้สภาผู้นำชุมชน ก็สำรวจข้อมูลชุมชน ว่ามีคนเท่าไหร่ ยากจนกี่คน มีที่ทำกินมั๊ย นี่คือการทำวิจัย ขั้นตอนเป็นอย่างนี้ ก็คือ สำรวจ ซึ่งการสำรวจก็คือวิจัยนั่นเอง ถ้ามานั่งพูดไม่สำรวจข้อมูลชุมชน ไม่สำเร็จครับ เมื่อสำรวจแล้ว ก็ไปทำแผนชุมชน บางทีก็เรียกแผนแม่บท ซึ่งคนระดับบนถ้าไม่ลงมาดูจะไม่เข้าใจ เพราะขนาดมหาวิทยาลัยยังไม่เข้าใจเลย ซึ่งจริงๆ นี่แหละคือกระบวนการประชาธิปไตย
ลุงประยงค์ : ผู้สำรวจนั่นแหละ ที่มาเป็นสมาชิกสภาผู้นำชุมชน แล้วดึงผลตรงนี้มาร่วมกันวิเคราะห์ หมอประเวศ : เมื่อทำแผนชุมชนแล้วยังไม่พอ ก็ไปให้ประชาชนดู อาจจะเรียกว่า สภาประชาชน ให้ประชาชนทำประชาพิจารณ์ ก็เป็นประชาธิปไตยโดยตรง แล้วพอชุมชนทั้งหมดเขารับรองว่ามันเป็นแผนชุมชนของเขา เขาก็จะขับเคลื่อนกันทั้งหมด ถ้าเป็นแผนสภาพัฒน์ ฯ เขาก็ขับเคลื่อนไม่ได้ เขาไม่เข้าใจ แต่ในชุมชนเขาร่วมทำ เขาก็ขับเคลื่อนไป ทุกอย่างก็จะเริ่มดีขึ้นไปเรื่อยๆ เศรษฐกิจก็ดีขึ้น สังคมก็ดีขึ้น สิ่งแวดล้อมก็ดีขึ้น แล้วแผนนี้ก็จะเป็นแผน พัฒนาอย่างบูรณาการ ไม่ใช่เรื่องใดเรื่องเดียว ที่ผมจับได้ มี 8 เรื่องเข้ามาเชื่อมกันอย่างบูรณาการ คือ 1. เศรษฐกิจ แก้ความยากจน 2 จิตใจ ก็ดีขึ้น ความรุนแรงลดลง
3. สังคม ครอบครัวเข้มแข็งขึ้น สังคมมารวมตัวกัน 4. วัฒนธรรม คิดถึงภูมิปัญญา สมมติลูกซื้อขนมกิน นี่ไม่ใช่วัฒนธรรมแล้ว แต่ถ้าตั้งคำถามว่า เราทำขนมให้ลูกกินได้มั๊ย นี่คือกลับไปหาวัฒนธรรม พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย เคยทำอะไรให้เรากิน เยอะแยะ เราก็มาทำให้ลูกกิน เหลือก็นำมาขายได้อีก นี่คือ หันกลับไปหาวัฒนธรรม ลุงประยงค์ : ทำให้เรารู้รายจ่ายในครอบครัวว่าใน 1 ปี เรามีรายจ่ายในครอบครัวอย่างไรบ้าง ตัวเลขตรงนี้ ที่บอกว่า หาเงินไม่พอจ่าย ก็ ไปดูสิว่าเรามีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง
หมอประเวศ : อย่างบางตำบล พอไปรวมตัวเลขมา ซื้อน้ำปลา 7 แสนบาทต่อปี แต่ถ้าทำเอง 1 แสนบาท ก็ได้กำไรมา 6 แสน ค่าขนมเท่าไหร่ ค่าเครื่องดื่มเท่าไหร่ ตัวอย่างที่ตำบลเขาคราม 25 ล้าน / ปี ตำบลเดียว พอเห็นตัวเลขก็ตกใจ ไม่นับอื่นๆ อีก ต่อมา เรื่องที่ 5. คือ สิ่งแวดล้อม 6. สุขภาพ 7. การศึกษา 8. ประชาธิปไตย ผมคิดว่า 8 เรื่องนี้ต้องบูรณาการกัน ถ้าแยกเรื่องทำจะไม่สำเร็จ แล้วเวลามันเกิดขึ้น อย่างกับสวรรค์บนดิน
นักข่าว : แต่ก็ไม่ง่ายที่จะหาผู้นำ ที่มีความสามารถอย่างลุงยงค์ หรือ หมอประเวศ
หมอประเวศ : ผมว่าข้างบนน่ะ หายาก (หัวเราะ) เพราะผู้นำข้างล่างเขาเป็นผู้นำธรรมชาติ มีเยอะครับ
ลุงประยงค์ : สำหรับผม ผมใช้วิธีหาอย่างนี้ครับ คือ สมมุติว่าผมอยู่ในหมู่ที่ 9 ผมไปหาคนที่รู้จักกันในหมู่ที่ 1 ก็ไปนั่งคุยกับเขาว่า หมู่บ้านนี้นะ คนในหมู่บ้าน เขามีปัญหาขึ้นมา เขาไปปรึกษาใคร แล้วใครบ้างในหมู่บ้านนี้ ที่พูดแล้วชาวบ้านเชื่อถือ นั่นก็คือผู้นำที่เราได้มาโดยธรรมชาติ
หมอประเวศ : แล้วก็เป็นคนดี เป็นคนเก่งด้วย ซึ่งฐานข้างล่างมีเยอะ ไม่ต้องห่วงครับ ข้างบนซิ หายาก (หัวเราะ) จบบทสนทนา หมอประเวศ รีบเดินทางไปประชุมต่อ ส่วนลุงยงค์ เตรียมเดินทางกลับบ้าน .