จาก โพสต์ทูเดย์
รุมชำแหละร่างกฎหมายชุมนุมสาธารณะ ฉบับรัฐบาลชี้เสี่ยงขัดรัฐธรรมนูญหลายข้อ จำกัดสิทธิประชาชนเกินเหตุ แถมโยนภาระให้ศาลทำงานมากเกินไป “สุริยะใส” แขวะเนื้อหาจำกัดยิบย่อย เหมือนให้นั่งพับเพียบชุมนุม
เมื่อวันที่ 8 ก.ค. ที่ห้องคอนเวนชั่นฮอลล์ สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ คณะกรรมการปฏิรูป กฎหมาย ร่วมกับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) จัดเวทีรับฟังความคิดเห็น ร่างพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.... (ฉบับรัฐบาล)ครั้งที่ 1/2553
นายคณิต ณ นคร ประธานกรรมการปฏิรูปกฎหมาย กล่าวปาฐกถานำว่า การเปิดเวทีเพื่อรับฟังความคิดเห็นร่างพ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.....เป็นการดำเนินการควบคู่กับการพิจารณาของของฝ่ายนิติบัญญัติ เนื่องจากที่ผ่านมาประชาชนซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับกฎหมาย ฉบับนี้ ยังขาดการมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็น
ภาพ ประกอบข่าว
นายพรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ กล่าวว่า ร่างพ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.....(ฉบับรัฐบาล)เป็นร่างที่เสนอโดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เคยมีการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับกฎหมายฉบับนี้หลายครั้งแต่ยังไม่มีความ ชัดเจน มองว่าร่างกฎหมายฉบับนี้ มีปัญหาสุ่มเสี่ยงขัดรัฐธรรมนูญ เช่น ในมาตรา 14 ที่กำหนดให้มีการแจ้งการชุมนุมภายใน 72 ชั่วโมง หากไม่สามารถแจ้งได้ในเวลาที่กำหนด ให้ยื่นคำขอผ่อนผัน ซึ่งดูเป็นการขออนุญาตมากกว่าการแจ้ง เป็นการขออนุญาตที่ซ้อนรูป ซึ่งขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 29 ที่ไม่ให้เจ้าหน้าที่รัฐจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนเกินกว่าเหตุ
นอกจากนี้ในมาตรา 13 กำหนดให้ศาลเป็นผู้มีคำสั่งห้ามการชุมนุม แต่เป็นการขัดกับหลักการแบ่งแยกอำนาจ โดยโยนภาระให้ศาลเข้าไปวินิจฉัยการสั่งห้ามการชุมนุม ทั้งที่อำนาจตรงนี้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารมากกว่า และให้คำสั่งศาลเป็นที่สุด เสมือนศาลทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองเอง ควรให้เจ้าหน้าที่ของรัฐรายบุคคล หรือคณะบุคคลแทน
นายพรสันต์ กล่าวว่า ร่างกฎหมายยังมีความไม่ชัดเจน อาทิ มาตรา 5 การให้คำนิยามการชุมนุม ไม่ได้บอกจำนวนผู้เข้าร่วมการชุมนุม แต่ถ้าเป็นกฎหมายในต่างประเทศ เช่น อังกฤษ จะเขียนระบุว่าต้องมีตั้งแต่ 20 คนขึ้นไป ส่วนมาตรา 8 ของร่างกฎหมายบอกว่า ห้ามกีดขวางทางเข้าออกสถานที่สำคัญ ซึ่งการพิจารณาว่าทางเข้าออกคืออะไร สามารถตีความได้กว้าง นอกจากนี้ในส่วนการเข้าสลายการชุมนุมก็ไม่ได้บอกรายละเอียด อย่างไรก็ตามเห็นว่าการบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้อาจทับซ้อนกฎหมาย อื่นๆ ที่มีอยู่แล้ว และไม่สามารถควบคุมการประกาศภาวะฉุกเฉินที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายในภาวะฉุก เฉินได้
นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับการออกกฎหมายฉบับนี้ ถ้าผ่านการพิจารณาออกมาเป็นกฎหมาย ก็คงบังคับใช้ไม่ได้ เพราะขัดกับธรรมชาติของการชุมนุม การ แจ้งล่วงหน้า 72 ชั่วโมงทำได้ยาก เพราะผู้ชุมนุมที่หวังผลการเมืองระดับสูงจะไม่แจ้งล่วงหน้า เพราะรัฐบาลซึ่งเป็นคู่กรณีจะรับมือทัน มาตรานี้จะทำให้ประโยชน์และน้ำหนักการกดดันรัฐบาลหายไป จนกลายเป็นเหมือนการออกแบบ จัดฉาก แต่ที่เป็นห่วงที่สุดคือ ร่างกฎหมายดังกล่าว เหมือนกับการนำการชุมนุมของกลุ่มเสื้อเหลืองและกลุ่มเสื้อแดงมาเป็นโมเดล ร่างกฎหมาย ซึ่งจะผิดทาง จะกลายเป็นการริดรอนสิทธิของประชาชนโดยไม่ตั้งใจ ไม่สอดคล้องเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญอย่างแท้จริง
“ถ้าใช้โมเดลแบบนี้ ชาวบ้านที่เดือดร้อนเรื่องปากท้องต้องมาแจ้งก่อนชุมนุม จะต้องเหนื่อยมากกว่าเดิม การมีกฎหมายฉบับนี้ไม่มั่นใจว่าจะเป็นการอำนวย ความสะดวกและคุ้มครองบุคคลที่สาม ได้อย่างแท้จริง และจะกลายเป็นเครื่องมือใหม่ของเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งที่การชุมนุมของชาวบ้านเป็นการเป็นการหอบปัญหาจากชายขอบมาให้รัฐบาลได้ รับทราบ ตามระบอบประชาธิปไตย อยากให้จำแนกการชุมนุม ให้ครอบคลุม ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นกฎหมายห้ามการชุมนุม กลายเป็นว่าการชุมนุมต้องนั่งพับเพียบ ทั้งที่ธรรมชาติการชุมนุมมีการแตกต่างหลากหลาย ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ”นาย สุริยะใส กล่าว
ด้าน พ.ต.ท.เฉลิมชัย วงษ์เจียม พนักงานสอบสวน สน.นางเลิ้ง กล่าวว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้ระบุว่าต้องไม่ กระทบความสะดวกบุคคลที่ 3 แต่การชุมนุมจะต้องชุมนุมบนถนน ในที่สาธารณะ กระทบคนอื่นแน่ แต่ถ้ารัฐบาลทุกรัฐบาลเปิดใจกว้างรับฟังความเห็น และแก้ปัญหาตามข้อเรียกร้อง ก็ไม่จำเป็นต้องมีกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งในส่วนของหน้าที่ของตำรวจไม่ว่าแจ้งหรือไม่แจ้งการชุมนุม ตำรวจก็รู้ โดยเฉพาะตำรวจสันติบาลจะรู้ก่อน ดังนั้นเมื่อมีการชุมนุมตำรวจต้องไปอำนวยความสะดวก คุ้มครอง เจรจา การใช้พื้นที่
“ต่อไปอาจถึงขนาดออกระเบียบว่าผู้ชุมนุมต้องแต่งกายสีอะไร มีแต่เรื่องที่ห้ามผู้ชุมนุม แต่ไม่ห้าม การใช้อำนาจของรัฐ เลย เช่น กฎหมายของประเทศ เกาหลี ห้ามไม่ให้รัฐหรือบุคคลอื่นเข้าไปข่มขู่คุกคามการชุมนุม ถ้าจะออกกฎหมายนี้รัฐต้องเปิดใจกว้างและอย่าจำกัดสิทธิผู้ชุมนุม ผู้มีอำนาจอย่านำกฎหมายนี้ไปใช้เหมือน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จะเป็นการห้ามชุมนุม มากกว่า อำนวยการชุมนุม” พนักงานสอบสวนสน.นางเลิ้ง กล่าว