สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

ภูมิปัญญาตำรวจไทย(บางคน)

จาก โพสต์ทูเดย์

คนที่เขารักพระเจ้าอยู่หัว และเขาอยากร้องตะโกนดังๆ ออกมา ก็เต้นไปว่าเขาหมิ่นสถาบัน ทีไอ้ที่รวมตัวกันเป็นกระบวนการมีแผนภูมิโยงใยเป็นเครือข่ายใหญ่โต กลับทำเงียบๆ ไป

โดย...ทวี สุรฤทธิกุล

ว่ากันว่า “หลักรัฐศาสตร์” จะเน้นการลื่นไหลให้กระบวนการต่างๆ เคลื่อนที่ไปสู่เป้าหมายอย่างสะดวกสบาย ในขณะที่ “หลักนิติศาสตร์” จะเน้นการกลั่นกรองตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนรอบคอบ จึงดูเหมือนจะเป็นอุปสรรคเก็บกักให้สิ่งต่างๆ ไม่ให้ดำเนินไปได้อย่างราบรื่น

นักวิชาการด้วยกันก็บอกว่า นักรัฐศาสตร์นั้น “หัวกลม” ส่วนนักนิติศาสตร์จะ “หัวสี่เหลี่ยม” ก็ด้วยเหตุที่นักรัฐศาสตร์พยายามหาช่องทางที่จะลบเหลี่ยมมุมที่เป็นอุปสรรค ในทางการเมืองการปกครอง แล้วสร้าง “ความเป็นไปได้” ให้การบริหารการงานเพื่อประชาชนทั้งหลายไปสู่เป้าหมายที่ทุกคนต้องการ ในขณะที่นักนิติศาสตร์พยายามที่จะหาทางปกป้องคุ้มครองสร้าง “กรอบความยุติธรรม” เพื่อให้สังคมอยู่ร่วมกันอย่างสันติ

แล้วก็ช่างบังเอิญที่ตำรวจไทยนั้น ท่านเก่งทั้งทางนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์

ที่ว่าเก่งนิติศาสตร์ก็คือ ตำรวจเป็นผู้รักษาและบังคับใช้กฎหมาย ถ้ากฎหมายคืออาวุธ ตำรวจก็กำลังถืออาวุธที่ขึ้นอยู่กับว่าตำรวจจะใช้ฟาดฟันใคร ผู้ที่ถืออาวุธเช่นกฎหมายนี้จึงต้องเป็น “มืออาชีพ” นั่นก็คือต้องรู้จักอาวุธของตนเป็นอย่างดี ซึ่งก็คือความรอบรู้และช่ำชองในการใช้กฎหมาย ในขณะเดียวกันเมื่อจะใช้ฟาดฟันออกไป ก็ต้องรู้จักเป้าหมาย แล้วยังต้องรู้ต่อไปว่า “ฟัน” ไปแล้วจะเกิดผลอย่างไร

เพราะรู้กฎหมายและใช้กฎหมายเป็น จึงได้ชื่อว่า “เก่งนิติศาสตร์”

ส่วนที่ว่าเก่งรัฐศาสตร์ก็คือ ตำรวจเป็นเครื่องมือในการบริหารราชการ เป็นกลไกของรัฐ ต้องตอบสนองต่อนโยบายของผู้มีอำนาจ ในขณะเดียวกันก็ต้องรักษาผลประโยชน์ของรัฐ ซึ่งในระบอบประชาธิปไตย เจ้าของอำนาจที่แท้จริง (ตามทฤษฎี) นั้นคือ ประชาชน รวมทั้งผลประโยชน์ของรัฐซึ่งเป็นเรื่องของส่วนรวมนั้น ก็คือผลประโยชน์ของประชาชนนั่นเอง
ตำรวจที่สนองต่อประโยชน์ทั้งภาครัฐและ ประชาชน จึงได้ชื่อว่า “เก่งรัฐศาสตร์”

แต่ตำรวจไทย (บางคน) มีความรู้ “น้อยมากๆ” ทั้งทางนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ ดังที่จะได้อธิบายและยกตัวอย่างให้เห็น (ทั้งนี้จะขอใช้นามสมมติเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหาย-ไปมากกว่านี้-แก่นาย ตำรวจดังกล่าว)

อ้อ มีเรื่องโจ๊กในอีเมลที่เพื่อนๆ ขี้เล่นชอบส่งมาให้อ่านเพื่อคลายเครียด ข้อหนึ่งถามว่า “ผู้หญิงคนไหนที่ถูกข่มขืนมากที่สุด” คำตอบก็คือ “ผู้ที่ใช้ชื่อว่านามสมมติ”

หลายท่านที่ติดตามข่าวสารบ้านเมืองมาอย่างต่อเนื่อง อาจจะสังเกตเห็นได้พอสมควรว่า ในระยะ 3-4 ปีนี้ มีเรื่อง “เห่ยๆ” จากการกระทำของนายตำรวจหลายๆ นายที่ “ปล่อยไก่” ให้ชาวบ้านเห็นอยู่บ่อยๆ

ลำพังตำรวจเหล่านั้นเกิดความเสียหายหรือเสียชื่อก็ไม่เป็นไร แต่สิ่งที่นายตำรวจทำส่วนหนึ่งได้สร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติอยู่ด้วย ที่บางครั้งก็ “ร้ายแรง” จนทำให้สังคมต้องถอยหลังไปสู่ความป่าเถื่อนต่างๆ อย่างเช่น การเป็นสมุนนักการเมือง ตำรวจมะเขือเทศ และล่าสุด “ตำรวจเป่าปี่”

จะด้วยแกล้งโง่หรือฉลาดล้ำก็ไม่ทราบได้ ตำรวจจำนวนมากจะอาศัยนักการเมือง“ไต่เต้า” (ที่ปัจจุบันนี้อาจจะต้องเรียกว่า “ห้อยโหน” เพื่อให้เข้ากับนักการเมืองที่ตำรวจต้องไปเกี่ยวเกาะ) ขึ้นสู่ยศและตำแหน่งต่างๆ พร้อมกับแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ให้กับนักการเมือง คือให้ความคุ้มครองดูแลและรักษาพื้นที่ เพื่อสร้าง “อิทธิพล” ให้นักการเมืองเหล่านั้นแลดูยิ่งใหญ่

ในขณะเดียวกันก็ใช้อิทธิพลดังกล่าวเก็บเกี่ยวหากินในทุกเรื่อง รวมทั้งการหากินกับตำรวจด้วยกันเอง อย่างที่มีการร้องเรียนมายังนายกรัฐมนตรี จนต้องตั้งกรรมการที่มี พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร เป็นประธาน และมีผู้เขียนร่วมอยู่ด้วยนี้ ซึ่งกำลังจะเสร็จออกมาเป็นรายงานถึงนายกรัฐมนตรี ที่มีข้อเสนอให้ใช้ “ดาบสอง” คือเมื่อพบว่ามีการทุจริตและมีความไม่เป็นธรรม ก็จะต้องนำเรื่องไปสู่ ป.ป.ช. และ ก.ตร. รวมทั้งบางกรณีที่พัวพันผู้มีอิทธิพลอาจจะต้องให้ DSI มารับไปชำระด้วย ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าท่านนายกฯ จะ “กล้า” แค่ไหน

มาถึงกรณี “ตำรวจมะเขือเทศ” หลายท่านก็พอจะเข้าใจแล้วว่า การที่ตำรวจ “งอมืองอเท้า” ได้สร้างความเสียหายให้กับประเทศไทยนี้มากมายมหาศาลเพียงไร ซึ่งความเป็นมะเขือเทศของตำรวจไม่ใช่จะเพิ่งมาเป็นในเหตุการณ์เดินขบวนของสี ต่างๆ ในระยะ 3-4 ปีนี้เท่านั้น แต่มีมานานแล้ว จนกลายเป็นวัฒนธรรมของตำรวจอย่างหนึ่งที่สังคมตั้งข้อกล่าวหา คือเรื่องของ “หลายมาตรฐาน”

พี่น้อง (ขอยืมศัพท์ในม็อบสักหน่อย) คงจะเคยเห็นว่า ตามท้องถนนตำรวจได้ปฏิบัติกับรถราประเภทต่างๆ อย่างไร ถ้ารถที่มีล้อมากหรือน้อยเกินไป (พูดตรงๆ ก็คือรถจักรยานยนต์ที่มี 2 ล้อ และรถบรรทุกที่มีมากกว่า 4 ล้อ) มักจะเป็นเป้าหมายของท่านหัวปิงปองอย่างชาชิน ส่วนรถ 4 ล้อที่มียี่ห้อดีๆ ท่านก็จะหันหลังให้เสีย เหมือนคนเหล่านี้เป็นคนดีโดยยี่ห้อรถเหล่านั้น

ท่านที่อยู่ตามตรอกซอกซอยอาจจะเห็นบ้านหลังโตๆ หรือบริษัทห้างร้านโก้ๆ จะมี “ตู้แดง” ให้ตำรวจสายตรวจมาวนเวียน “ตอม” ทุกค่ำเช้าเหมือนผึ้งหวงรัง เพราะนี่คือแหล่งรายได้ที่แม้จะไม่มาก แต่ก็เป็นน้ำซึมบ่อทรายที่ดื่มกินได้ไม่สิ้นสุด และถ้าตู้ใดขาดน้ำหล่อเลี้ยงก็จะย้ายตู้ไปติด ณ ที่ใหม่ อย่างที่บ้านผู้เขียนเมื่อครั้งที่มีตำแหน่งทางการเมืองก็เคยมีติดโชว์ให้ ชาวบ้านอิจฉาอยู่ 2-3 เดือน แต่พอไม่มีใครมา “เติมน้ำ” ตู้นี้ก็หายไปในเวลาต่อมา

ตำรวจมะเขือเทศยังพบได้อีกทีในโรงพัก ที่ใครเคยไปแจ้งความเช่นบ้านถูกขโมยขึ้น ถ้าอยากจะให้ “ได้เรื่องได้ราว” ก็ต้อง “อัดฉีด” หรือ “หล่อลื่น” บ้าง นัยว่าเป็นสินน้ำใจ นอกจากนี้ตำรวจ “ดังๆ” บางคนยังถือคติว่า “เล็กๆ ไม่” เอ๊ย “เงียบๆ ไม่ ใหญ่ๆ และดังๆ ทำ” จึงเลือกทำแต่คดีที่ “ได้หน้าได้ตา” รวมทั้งที่เห็นชอบลากตัวผู้ต้องหานำมาประจานผ่านสื่อด้วยรูปแบบต่างๆ (จนสื่อบางคนชอบเอาอย่าง นำความน่าสมเพชของผู้คนมาประจานผ่านรายการคุยข่าวของตน) รวมทั้งที่ลูกน้องทำงานจนเกือบตาย แต่เวลาได้ความดีความชอบนายกลับเอาไปหมด

มาถึงกรณีตำรวจ “เป่าปี่” ก็คล้ายๆ กับตำรวจอยากดังข้างต้น แต่พวกชอบเป่าปี่นี้จะสร้างความน่ารำคาญมากกว่า (คล้ายๆ กับวูวูเซลาในฟุตบอลโลกที่ผ่านมา) คือเอาเรื่องไม่เป็นเรื่องมาขยาย สร้างกระแสก่อความระส่ำระสายในสังคม ทำนองว่า “ใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง” ขอข้าได้มันและสะใจเป็นพอ

นายตำรวจเหล่านี้อาจจะมีสภาพจิตที่ไม่ค่อยจะปกติ และมีภาพหลอนอยู่ตลอดเวลาว่า ถูกสังคมเหยียบย่ำทำลาย (ซึ่งก็เป็นเพราะความเห่ยที่มีอยู่เป็นประจำนี่แหละ) เพราะฉะนั้นเวลาที่เห็นใคร “ได้ดีมีสุข” จึงเกิดภาวะ “ปมด้อย” และแสดงอาการไม่สมประกอบดังกล่าวออกมา

คนที่เขารักพระเจ้าอยู่หัว และเขาอยากร้องตะโกนดังๆ ออกมา ก็เต้นไปว่าเขาหมิ่นสถาบัน ทำขึงขังคึกคักเหมือนยักษ์เห็นเหยื่อ แต่พอคนรู้เข้าเท่าทัน ก็หันรีหันขวางว่ายังไม่ตั้งข้อหา เพียงแต่ว่าอยากคุยด้วย ทีไอ้ที่รวมตัวกันเป็นกระบวนการมีแผนภูมิโยงใยเป็นเครือข่ายใหญ่โต กลับทำเงียบๆ ไป

ไม่รู้นะเนี่ยว่าตัวเองก็ชอบพระเอกบึ้กๆ อย่างพี่อ๊อฟนี้ด้วย!

Tags : ภูมิปัญญา ตำรวจไทย

view