สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

มะกันจุดกระแส ภาษีออนไลน์ ประเด็นร้อนของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ

จากประชาชาติธุรกิจ

Click World


ไม่ใช่แค่เพียงแต่ประเทศไทยเท่านั้นที่กำลังถกเถียงประเด็นการเก็บภาษี การทำธุรกิจบนโลกออนไลน์และอีคอมเมิร์ซ ขนาดประเทศยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกาที่มีความก้าวหน้าในโลกไซเบอร์อย่าง มากก็ยังถกเถียงประเด็นดังกล่าวนี้ไม่แตกต่างกัน  

ล่าสุด ′บิล ดาลาฮันท์′ ตัวแทนจากพรรคเดโมแครต รัฐแมสซาชูเซตส์ ผลักดันร่างกฎหมายใหม่เข้าสู่สภาคองเกรส เกี่ยวกับการเรียกเก็บภาษีขายสินค้าทางอินเทอร์เน็ต หลังจากมีการรวบรวมข้อมูลแล้วพบว่า รัฐต้องสูญเสียรายได้จากภาษีการขายสินค้าบนอินเทอร์เน็ตประมาณ 23 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเพราะกฎหมายไม่ให้อำนาจในการเรียกเก็บได้ 

ร่างกฎหมายดังกล่าวอาจทำให้สิ้นสุดยุคของการตักตวงผลประโยชน์จากการช็อปปิ้ง ออนไลน์ครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา จากเดิมที่ไม่เคยมีการเรียกเก็บภาษีการขายออนไลน์มาก่อน โดยร่างกฎหมายใหม่จะส่งผลให้แต่ละรัฐสามารถบังคับให้ผู้ประกอบการเก็บภาษี ขายที่เกิดจากธุรกรรมออนไลน์ พร้อมกับสร้างกฎระเบียบที่เป็นแบบแผนเดียวกัน       

ทุกรัฐเพื่อให้การจัดเก็บนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น   โดยปัจจุบันมีรัฐประมาณ 24 รัฐที่เห็นชอบที่จะใช้ร่างกฎหมายดังกล่าว ขณะที่รัฐอื่น ๆ ยังคงลังเลที่จะรับเรื่อง     ดังกล่าว หากปราศจากอำนาจจากสภากำหนดอย่างชัดเจน  ที่ผ่านมาอาจกล่าวได้ว่า สหรัฐไม่มีการเก็บภาษีสำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซหรืออีกนัยหนึ่งคือไม่สามารถ บีบบังคับผู้ค้าออนไลน์จ่ายภาษีการขายได้เพราะเมื่อปี 1992 ศาลสูงสุดในสหรัฐได้มีคำพิพากษาไว้ว่า ร้านค้าที่มีหน้าที่ต้องจัดเก็บภาษีขาย คือผู้ประกอบการที่มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นอยู่ทางกายภาพ  เช่น ออฟฟิศ ร้านค้า หรือโกดังเท่านั้น    

โดยศาลระบุว่า เป็นการยากและสิ้นเปลืองสำหรับผู้ประกอบการในการตัดสินใจว่าควรจะเก็บภาษี หรือไม่เนื่องจากกฎระเบียบภาษีนั้นมีความหลากหลายและแตกต่างกันในแต่ละรัฐมี ความซับซ้อน และจะเป็นภาระอย่างมากสำหรับร้านค้าปลีกที่มีการซื้อขายข้ามเขต ซึ่งในช่วงเวลานั้นสหรัฐมีมลรัฐทั้งสิ้น 45 รัฐ มีระบบภาษีท้องถิ่นจำนวนกว่า 7,600 ระบบทั่วประเทศ ทำให้ภาระจ่ายภาษีตกอยู่ที่ผู้บริโภคผู้ซื้อสินค้ามากกว่า    

อย่างไรก็ตามคำวินิจฉัยของศาลครั้งนั้นกระทบกับผู้ประกอบการที่มีแค็ตตาล็อก เลือกซื้อสินค้าและโฮมช็อปปิ้งตามทีวี     เป็นหลัก เพราะเพิ่งเข้าสู่ยุคเริ่มต้นของการใช้อินเทอร์เน็ต แต่หลังจากนั้นเมื่ออินเทอร์เน็ตเติบโตขึ้นเรื่อย ได้รับ   ความนิยมพุ่งสูงขึ้น บวกกับธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่มีมูลค่าสูงกว่า 130 พันล้าน ในปัจจุบัน ทำให้ประเด็นการพูดถึง      

ภาษีอินเทอร์เน็ตถูกหยิบยกขึ้นมาอีกครั้ง   ′เมื่อลูกค้าเข้ามาในร้านค้า ลูกค้ารู้อยู่แล้วว่ามูลค่าของภาษีนั้นถูกรวมอยู่ในสินค้าแล้ว แต่หากลูกค้าซื้อสินค้าชนิดเดียวกันทางอินเทอร์เน็ตกลับไม่ต้องเสียภาษี ทำให้นักธุรกิจที่ค้าขายปกตินั้นเริ่มจะเสียเปรียบ และร่างกฎหมายนี้ถือเป็นการทำให้ธุรกิจร้านค้าที่มีหน้าร้านของตัวเองได้รับ ความยุติธรรม′ดาลาฮันท์กล่าว  

ด้าน ′ไมค์ ราวด์′ ตัวแทนจากพรรครีพับลิกัน รัฐเซาท์ดาโคตาเป็นอีกบุคคลหนึ่งที่สนับสนุนร่างกฎหมายนี้เช่นกัน ได้อ้างถึงสถานการณ์ในรัฐ เซาท์ดาโคตาว่า ไม่มีใครต้องการจะเสียภาษีเพิ่มขึ้น ดังนั้นสิ่งนี้จะเป็นเสมือนยานพาหนะที่จะเข้ามาบรรเทาทุกข์ให้กับรัฐ ที่จะมีช่องทางในการหารายได้เพิ่มเติม   โดยแนวทางการเก็บภาษีดังกล่าวจะสามารถช่วยให้เงินภาษีของรัฐเซาท์ดาโคตา เพิ่มขึ้นประมาณ 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี หรือประมาณ 3% ของงบประมาณของรัฐ 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เบื้องต้นเซาท์ดาโคตาทำงานร่วมกับผู้ค้าปลีกที่อยู่นอกเขตรัฐประมาณ 1,200 แห่ง ที่ต้องการเก็บภาษีการขายอย่างสมัครใจ  

อย่างไรก็ตามยังมีมลรัฐอีกจำนวนหลายสิบแห่ง เช่น รัฐแมริแลนด์และเวอร์จิเนียที่มีการพิจารณาร่างกฎหมาย  ภาษีการขายในปีนี้ในรูปแบบที่หลากหลายแตกต่างกัน โดยบางรัฐพยายามที่จะขยายคำจำกัดความของคำว่า ′มีเห็นอยู่ทางกายภาพ′ ตามที่ศาลสูงสุดกำหนดไว้ ให้คลอบคลุมการโฆษณารูปแบบต่าง ๆ ขณะที่บางรัฐหวังที่จะเช็กบิลกับผู้บริโภคโดยตรงเพื่อเก็บภาษีที่สูญเสียไป  

สำหรับร้านค้าที่ให้บริการออนไลน์และมีหน้าร้านเป็นของตัวเองเช่นวอล-มาร์ต และเบสท์บายต่างถูกบังคับให้มีการเก็บภาษีการขายออนไลน์อยู่แล้ว แต่ร้านค้าปลีกที่มีเฉพาะการขายทางออนไลน์อย่างเดียวนั้น เช่น อะเมซอนและอีเบย์ซึ่งมีการซื้อขายเป็นมูลค่า   มหาศาลนั้น ยังไม่ถูกบังคับให้ต้องเก็บภาษี  แน่นอนว่า หลังจากร่างกฎหมายเก็บภาษีธุรกรรมออนไลน์ถูกเสนอขึ้นย่อมถูกแรงคัดค้านเป็น ธรรมดา โดยเฉพาะจากร้านค้าออนไลน์ทั้งรายใหญ่และรายเล็กที่ล้วนต่างไม่เห็นด้วย  

′สตีฟ เดลเบียนโค′ ผู้อำนวยการจาก ′NetChoice′ กลุ่มผู้ทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซ กล่าวว่า การบังคับให้ผู้ค้า  ออนไลน์เก็บภาษีขายจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องลงทุนระบบใหม่ ๆ ตามมา เช่น การเปลี่ยนระบบซอฟต์แวร์หลายพันดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงการถูกตรวจสอบบัญชี เป็นต้น และจากผลวิจัยของสถาบันบรู๊กกิ้ง พบว่าปี 2008 มีการสูญเสียภาษีการขายประมาณ 3.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งน้อยกว่าที่ผู้ให้การสนับสนุนร่างกฎหมายเก็บภาษีระบุไว้ 

อย่างไรก็ดีข้อเสนอดังกล่าวยังต้องอาศัยกระบวนการอีกยาวนานโดย ส.ส.ดาลาฮันท์เสนอร่างกฎหมาย เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2553  และกำลังอยู่ในชั้นคณะกรรมาธิการด้านกฎหมายของสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา แต่หากร่างกฎหมายนี้ถูกบังคับใช้จริงในเร็ว ๆ นี้ มลรัฐต่าง ๆ อาจต้องเข้าสู่กระบวนการออกกฎหมายให้สอดคล้องกับท้องถิ่นของแต่ละรัฐด้วย นั่นหมายความว่าผลกระทบที่จะเกิดกับคอนซูเมอร์นั้นจะใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 ปีจากนี้

Tags : มะกัน จุดกระแส ภาษีออนไลน์ ประเด็นร้อน ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ

view