สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

การดี เลียวไพโรจน์ Life in the Fast Lane

จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

โดย : สมสกุล เผ่าจินดามุข


ดร.การดี เลียวไพโรจน์ หญิงเก่งที่สวมหลากบทบาททั้งนักวิชาการ พิธีกรและที่ปรึกษารัฐมนตรี บอกว่าตัวเองเป็นคน Active แต่ไม่รู้ว่าไฮเปอร์ หรือไม่
 เธอกำลังนั่งอ่าน Microtrend ของมาร์ค .เจ. เพนน์ อยู่บนโซฟาภายในร้านทรูคอฟฟี่ แฟลก์ชิปช็อป สยามสแควร์
 นี่เป็น อิริยาบถนิ่งๆ ที่ลดดีกรีความเป็นผู้หญิงไฮเปอร์ลงแล้วสำหรับนักวิชาการ อาจารย์ พิธีกร ผู้ดำเนินรายการ ที่ปรึกษารัฐมนตรี  ดร.การดี เลียวไพโรจน์


 - ทำไมใครต่อใครมักพูดถึงคุณการดีว่าเป็นคนไฮเปอร์
 (คน ถูกถามส่งเสียงหัวเราะทันควัน)
 อ้อว่า อ้อเป็นคน Active น่ะคะ แต่ไม่รู้ว่าไฮเปอร์หรือเปล่า (เสียงหัวเราะยังคงกลั้วตามมา) เพื่อนจะไม่เคยเห็นอ้อนั่งนิ่งแล้วทอดสายตาไปยาวๆ โดยไม่ทำอะไร ถ้าไม่มีอะไรอ้อก็จะเอาหนังสือมานั่งอ่านรอ อย่างนี้ถือว่าเบสิกที่สุดแล้ว ต้องมีหนังสือเล่มหนึ่งอยู่ในกระเป๋าค่ะ ต้องมีอะไรทำอยู่ตลอดเวลา นั่งรถไฟฟ้าก็อ่านหนังสือ เป็นคนชอบทำงานมากกว่านั่งอยู่เฉยๆ มีอยู่ช่วงหนึ่งป่วยแล้วไม่ได้ทำงานก็รู้สึกว่ายิ่งป่วยหนักเข้าไปใหญ่

 - แล้วเป็นอย่างนี้กันทั้งบ้านหรือเปล่า
 พี่น้อง อ้อก็ทำอะไรเร็วๆ พอกัน แต่อ้อเป็นแบบนี้ส่วนหนึ่งเพราะเป็นคนอยากรู้เรื่องไม่สิ้นสุด ต้องเล่าให้ฟังก่อน สมัยอ้อเรียนจะเป็นคนเรียนหนัก เรียนทางด้านวิศวกรรม และรู้สึกว่าชีวิตของเราอยู่กับหนังสือ อยู่กับวิชาชีพเยอะมาก จนมองข้ามบางอย่างไป อ้อรู้สึกว่าช่วงชีวิตมหาวิทยาลัยเราพุ่งไปจุด เดียวมากเกินไป ตอนเรียนจบปุ๊บ ประเด็นหนึ่งที่อ้ออย่างทำคืออยากเรียนรู้โลกกว้างๆ อยากรู้เรื่องชาวบ้าน ก็จะอ่านหนังสืออะไรก็ได้ที่ไม่เกี่ยวกับวิชาการที่เรียน หรือสอนเลย อ่านสัปดาห์ละเล่ม และมีความรู้สึกว่าเราก็อยากจัดการเวลาให้มีประโยชน์สูงสุด เลยกลายเป็นแบบนี้
 
 - จะเป็นเพราะเรียนวิศวกรรมอุตสาหการ ซึ่งเน้นพวก Workflow, เน้น Efficiency หรือเปล่า
 ถูกเลยค่ะ มันถูกครอบด้วย Efficiency ทำอะไรมันต้องมีประสิทธิภาพ คือมีความรู้สึกว่า วันหนึ่งมีเวลาเท่ากัน มันอยู่ที่ว่า เราจะจัดการกับตัวเองให้มันได้ผลผลิต ได้มูลค่าเพิ่ม ไม่ใช่เรื่องเงินทองนะคะ แต่เป็นเรื่องมูลค่าชีวิตจิตใจ หรือกายใจของเราอย่างไรบ้าง โดนสอนมาอย่างนั้น และมันก็เป็นอย่างนั้น
 เชื่อ ไหมว่า เพื่อนอ้อที่ไม่ได้เรียนพวกนี้ก็จะบอกว่า ไอ้บ้าจะเอาอะไรกันนักกันหนา อยู่เฉยๆ บ้างได้ไหม

 - แต่ละวันต้องจดตารางเวลาไว้ด้วยไหม
 จดค่ะ ในโทรศัพท์ จะชัดเจนเลยว่าอยู่ที่ไหน เมื่อไร และก็มีสมุดโน้ตเปล่าๆ เล่มหนึ่งเอาไว้เขียนว่า Lesson Learn แต่ละวันมีอะไร เขียนสั้นๆ อะไรอย่างนี้ 
 อ้อรู้สึกว่า งานของอ้อใน 24 ชั่วโมง จริงๆ ดูเหมือนอ้อจะไฮเปอร์ แต่ก็มีเวลาพักผ่อน การพักผ่อนของอ้ออาจไม่เหมือนคนอื่น อ้อไม่ได้ไปเที่ยวผับบาร์กินเหล้า ไม่ค่อยไป แต่จะมีความสุขกับการนั่งอ่านหนังสือคนเดียว กินข้าว ชีวิตก็ไม่ได้เหนื่อยมากจนเกินไป คนอื่นอาจจะมองว่า ทำอะไรเยอะแยะ แต่อ้อว่ามันอยู่ที่การจัดการเวลามากกว่า

 - วันหยุดสุดสัปดาห์ หยุดไฮเปอร์ด้วยหรือเปล่า
 เสาร์-อาทิตย์ ไม่ทำอะไรเลยคะ วันเสาร์ไปเรียนขี่ม้ากับลูก เป็นวันเล่นกีฬา เล่นโรลเลอร์เบลดกับลูก วันอาทิตย์ก็พาลูกไปเรียนเปียโนนั่งรอ นั่งทำอะไรของตัวเองไป

 - ลูกสาว Active อย่างคุณแม่ไหม
 ลูกกับอ้อต่าง กันเลย เขาจะบอกว่า คุณแม่!!! อยู่เฉยๆ บ้างก็ได้ เขาเป็นคนติดบ้านไม่ยอมออกไปไหน สามารถอยู่กับโซฟา นอนดูการ์ตูนอ่านหนังสือของเขาไปเรื่อย อ้อจะเป็นคนที่บอกว่า เฮ้ยออกไปข้างนอกกันเร็ว วันนี้อากาศดีออกไปวิ่งกันที่สวน เขาก็จะบอกว่า เยอะไปหรือเปล่าคุณแม่

 ตารางเวลาประจำวันโดยมากทำงานถึง 6 โมงเย็น เป็นเรื่องปกติ แต่งานอ้อก็ไม่ใช่ว่า 9 โมง ถึง 5 โมงเย็นเป็นประจำทุกวัน มีสอนช่วงกลางวัน นอกนั้นก็หาความรู้เพิ่มเติมตามอิสระ อ้อพยายามจัดให้บาลานซ์ อย่างสมมุติว่า วันจันทร์ประชุมถึงทุ่มนึง ไม่ได้ไปรับลูกที่โรงเรียน วันอังคารก็จะพยายามเลิกเร็ว สักสี่โมงเย็นแล้วไปรับลูกที่โรงเรียนกลับบ้าน

 - นอกจากสอนหนังสือแล้วตอนนี้มีภารกิจอื่นอะไรบ้าง
 ทำ งานวิจัยค่ะ กำลังเก็บข้อมูลอยู่ มีสองเรื่อง เกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา ส่วนอีกเรื่องเกี่ยวกับ Creative  Economy
 
 -  ทำไมถึงคิดอยากเป็นอาจารย์
 ตอนเด็ก อ้อเรียนมหาวิทยาลัย อ้อไม่เคยคิดอยากเป็นอาจารย์เลย อยากทำงานบริษัทเป็นคอนซัลตามปกติทั่วไป สมัยเด็กอยากทำงานให้ได้เงินเดือนเยอะ อ้อไปเรียนที่อเมริกาได้มีโอกาสสอนหนังสือ พอได้สอนมันเกิดความรู้สึกดีที่เราให้ความรู้ในสิ่งที่เรารู้กับคนอื่น และคนที่รับเขาก็ซาบซึ้งกับสิ่งที่เราให้  และสอนช่วงตอนนั้นก็ได้รับรางวัล Teaching Award จากอเมริกา 2-3 ปีซ้อน ก็รู้สึกว่าเราน่าจะใช้ได้ทางด้านนี้

 อีกอย่างหนึ่งที่ทำให้รู้สึกว่าต้องกลับมาเมืองไทย และให้ความรู้มากที่สุด เพราะโชคดีมาก อ้อเรียนปริญญาตรี โท เอก ไม่ต้องเสียสตางค์เรียน เพราะมหาวิทยาลัยที่อเมริกาเขาจ่ายสตางค์ให้เราเรียน เรียนฟรีให้ทุนเราตลอด และไม่มีผูกมัด เลยคิดว่าเรามีโอกาสขนาดนี้ เราน่าจะมาทำอะไรให้กับประเทศไทยบ้าง ซึ่งตอนนั้นกำลังเผชิญกับวิกฤติ ก็เลยกลับมาด้วยความตั้งใจว่าอยากกลับมาเป็นอาจารย์

 - อาชีพอาจารย์คนมักคิดว่า Slow Life ไม่น่าจะเข้ากับคนไฮเปอร์
 คง แล้วแต่ค่ะ ที่คณะพาณิชยศาสตร์ (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) อาจารย์ Active โดยธรรมชาติ คนพันธุ์เดียวกันเต็มคณะเลย อ้อไม่ใช่คนแปลกในคณะ และแต่ละคนก็จะมีทางของตัวเอง คณะของเราออกไปทำนู่นทำนี่ข้างนอกค่อนข้างเยอะ สร้างองค์ความรู้สร้างชื่อเสียงด้วย อาจารย์คณะอื่นก็พูดเหมือนกันว่าอาจารย์คณะพาณิชย์  Active มากกกก

 - มีเทคนิคการสอนอย่างไร
 ในแง่ของปรัชญาการสอน วันนี้เปลี่ยนไปจากสิ่งที่อ้อเคยเรียนเมื่อก่อน อ้อต้องการให้เด็กพูดได้ คิดเองมากกว่ามาฟัง ต้องการให้เกิดการถกเถียงกันในสิ่งที่พวกเขาคิดว่าใช่ ให้พวกเขามีความรู้สึก ให้เขามีส่วนร่วมกับกระบวนการเรียนรู้ ให้มากที่สุด

 คือแทนที่จะบอกแต่ทฤษฎี เรามีกรณีศึกษาของโลกธุรกิจ ถ้าเราอยู่ในสถานการณ์แบบนี้เราจะแก้ไขสถานการณ์อย่างไร ให้ทุกคนถกเถียงขึ้นมา จากนั้นค่อยสอนหลักทฤษฎี ต้องให้เขาคิดให้ได้ก่อน ปกติคนจะบอกว่าบอกทางตรงก่อนแล้วให้เขาคิด กลายว่าคุณครอบความคิดเขาไปแล้วเสร็จสรรพ เขาคิดอย่างไรก็ไม่ต่างไปจากที่เราบอก แต่อ้อจะเริ่มให้พวกเขาพูดออกมาให้ได้ก่อน จากนั้นค่อยให้หลักความคิดตามไป นั่นเป็นแนวการสอนของอ้อมากกว่า

 - เราอาจมีเทคนิคสอนสไตล์ใหม่ แต่นักศึกษาอาจมีกรอบแบบเก่าครอบอยู่
 ต้องสร้างแนวคิด Paradigm Shift ของคนใหม่ เขาต้องเปลี่ยน อ้อบอกให้เขารู้ว่าเขาต้องเป็นที่พึ่งของคนรุ่นนี้ และรุ่นหน้า ถ้าร่วมมือกันหลายส่วนตั้งแต่กระบวนการ อ้อเชื่อว่ามันเปลี่ยนได้

 - เป็นอาจารย์เมืองไทย เงินเดือนต่ำไปหรือเปล่า
 เรื่อง เงินมันเรื่องหนึ่ง ถ้าเราขยันมันมีใช้อยู่แล้ว การเป็นอาจารย์ ชีวิตอาจารย์มหาวิทยาลัยรัฐ มันฟังดูน่ากลัว แต่ถ้าพูดกันตามจริงแล้ว อันนี้เป็นฐานเงินเดือนข้าราชก๊าน ข้าราชการ แต่คณะจะมีค่าสอน และอื่นๆ ทำงานวิจัย มันอยู่ได้ไม่ได้เดือดร้อน แต่ตัวเลขขั้นต่ำ 17,000 มันอาจดูน่ากลัว มันทำให้คนหลายคนไม่คิดอยากเป็นอาจารย์ และคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้ชีวิตอยู่อย่างที่มันสมควรจะเป็น ได้ แต่โดยรวมก็อยู่สบาย
 
 - มีอยู่ช่วงหนึ่งชื่อ ดร.การดี ไปข้องแวะกับแวดวงการเมือง
 บอกได้เลยค่ะว่า อ้อไม่เคยฝันมีตำแหน่งทางการเมืองเลย ที่ไปมีความเกี่ยวข้องกับการเมืองก็เพราะในเชิงนโยบาย เราไปให้บริการทางด้านวิชาการ ให้คำปรึกษาเขียนร่างนโยบายแนวคิด ก็เลยเข้าไปเกี่ยวข้อง ไปเป็นที่ปรึกษาของคุณอลงกรณ์ พลบุตร ในเรื่อง Creative Economy

 ที่จริงมันมาจากครั้งหนึ่งสมัยคุณอภิรักษ์ โกษะโยธิน เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เคยเสนอตัวว่าอยากช่วยชาติ มีอะไรบอกมาอ้อช่วยทำ แต่ไม่ลง สส. ไม่อยากลงเลือกตั้ง คุณอภิรักษ์เขาพูดคำหนึ่ง อ้อยังจำได้ถึงวันนี้ว่า เขากลัวว่า คนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถมีความตั้งใจจะรังเกียจการเมือง เขาไม่อยากให้คนเก่ง คนดี รังวเกียจการเมือง เพราะไม่เช่นนั้น การเมืองในอนาคตข้างหน้าจะไม่มีคนเก่ง และไม่มีคนดี

 - คงเป็นเพราะประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาทำให้คนรังเกียจการเมือง
 อ้อ ว่า มันไม่น่ารังเกียจ มันเป็นความรับผิดชอบของคนไทย น่าจะยื่นมือมาทำในสิ่งที่ดี สมัยก่อนคนเกิดมาอยากเป็นนักการเมือง เพราะอยากมีอำนาจ แต่ไม่สนใจทักษะ หรือสร้างองค์ความรู้ที่ประเทศชาติต้องการ ดั้นด้นเข้ามาเป็นนักการเมืองอย่างเดียว อ้อว่า คิดอย่างนั้นไม่ถูก

 แต่การเมืองที่ดีควรจะอยู่ที่ว่า ใครมีดีอะไร รู้อะไร เข้าใจอะไรดี มาทำให้ประเทศชาติ มันจะพลิกกลับกัน ปัจจุบัน คนมีความรู้มีความสามารถก็เข้ามาเยอะขึ้นกว่าสมัยก่อน เอาเถอะเรายังเห็นคนที่ขัดใจเราอยู่อีกก็ตาม แต่ก็ยังมีคนที่มีความตั้งใจ มีความสามารถ มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางที่จะมาช่วยประเทศชาติเราได้

 - เคยถูกยกตำแหน่งให้เป็นผู้หญิงคิดบวก
 เวลาทำ งานอ้อมีคติประจำใจว่า ไม่กลัวที่จะผิดพลาด ทำไปก่อน แล้วอะไรที่มันผิดพลาดมันจะเป็นบทเรียน เป็น Lesson Learn อ้อมีความรู้สึกว่า ได้ทำแล้วผิดพลาด ดีกว่ามานั่งเสียดายทั้งชีวิตว่า ทำไมมีโอกาสแล้วไม่ทำ นั่นถึงเป็นเหตุว่าทำไมอ้อถึงกระโดดไปอ่านข่าวบ้าง มาจัดรายการ คือทำหมดอะไรที่เราทำได้ก็ทำ แล้วเราค่อยมาประเมินว่าเราชอบ หรือไม่ชอบอะไรตรงไหนมากกว่า

 บางคนเห็นเราหลายบทบาทแล้วก็บอกว่า เฮ้ยมันจะทำอะไรกันนักกันหนา อ้อก็บอก ก็มันมีอะไรมาให้ทำ อ้อก็อยากลอง เป็นคนที่อยากลองไปเสียทุกเรื่อง ก็เลยลอง อันไหนไม่ถนัดก็ขอลาออกมา ไม่ได้เสียดายเวลา ทุกอย่างมันคือบทเรียนทั้งสิ้น งานหลักของอ้อ 7-8 ปีก็คือ อาจารย์ เป็นหลักการที่ไม่เคยเปลี่ยน แต่เรื่องประสบการณ์ทำนั่นทำนี่ มันเป็นเรื่องของโอกาสเราได้ลอง

 ส่วนเรื่องคิดทางบวกเป็นเรื่องที่เราควรมีอยู่แล้ว ทำให้เรามีกำลังใจเดินต่อไปข้างหน้า อย่างไรก็ดี เราไม่จำเป็นต้องคิดบวกแบบเพ้อเจ้อ เราต้องอยู่บนฐานความจริง ว่าเรามีเท่านี้ อะไรที่เราผิดหวังเราก็ไม่ได้ไปคิดว่ามันเป็นความผิดพลาด หรือคิดกับมันเชิงลบ แต่มันก็กลายเป็น บทเรียน กลับมามองในความเป็นจริง แล้วเราก็ลองไปทำทางอื่น มองชีวิตเป็นจริงเป็นหลัก

 - เคยคิดอยาก Slow Life บ้างไหม
 บางวันก็บ่นกับ คุณแม่ว่า ทำไมฉันต้องลำบาก และเหนื่อยกว่าพี่น้องคนอื่นนะ การอยู่เฉยๆ เราก็อยู่ได้ แต่เราไม่เลือกทำแบบนั้น สุดท้ายอยู่ที่เราเลือกเองแหละค่ะ และเราเลือกด้วยเรามีเหตุผลว่าทำไมเราถึงเลือกที่จะทำแบบนั้น แต่ปีนี้ที่จริงอ้อก็เริ่มจะเดินช้าลง ช้าลง โปรเจ็คต์งานวิจัยเริ่มปิดแล้ว เราก็ตั้งใจว่าจะไม่ Bid งานใหม่แล้ว พยายามที่จะ Slow นั่งเขียนหนังสือ งานอดิเรกนอกจากอ่านหนังสือ ส่วนใหญ่ใช้เวลากับลูก ไม่ได้เป็นงานอดิเรกอะไร

 - มีอะไรที่ยังไม่ได้ทำ และสักวันจะทำ
 อย่างหนึ่ง ที่อยากทำมากเลยคือ มีร้านหนังสือ ยังคิดไม่ออกยังคิดไม่ตกว่าเป็นโมเดลอะไร อ้อตั้งชื่อร้านหนังสือแล้วด้วยว่า Reading Nation คืออยากให้ประเทศนี้ เป็นประเทศที่รักการอ่าน ฝันไว้ว่าอยากเป็นที่มีหนังสือเยอะๆ ให้เด็กมาอ่าน ให้เด็กมีความรู้ ให้องค์ความรู้ ตอนนี้อ้อสอนเด็กโต แต่ว่ารากฐานของสิ่งเหล่านี้มันต้องส่งเสริมตั้งแต่เด็กเล็ก

 ไม่ได้อยากเปิดร้านหนังสือแข่งกับร้านหนังสือยักษ์ใหญ่อะไร แค่อยากสร้างสถานที่ที่เป็นมิตรกับเด็ก มีเด็กรุ่นพี่มาช่วยดู มีคนที่มีแนวคิดเดียวกัน มาเล่า มาเชื่อมต่อเจเนอเรชั่นให้เด็กรุ่นใหม่ มาเชื่อมความรู้ให้เด็ก พูดมานานแล้วตั้งแต่สามปีก่อน แต่ยังไม่มีโอกาสทำเพราะว่า ถ้าทำจริงมันต้องเป็นเชิงธุรกิจที่สามารถอยู่รอดเองได้ ไม่สามารถเป็นมูลนิธิแบบ Clinton Library ไม่ใช่แบบนั้น แต่คงจะเป็นธุรกิจเพื่อสังคม ที่ตอบโจทย์ความต้องการของสังคมเป็นหลัก และที่สำคัญตัวมันเองต้องอยู่ได้

 - ดูแลสุขภาพกายอย่างไรบ้าง
 ทาน อาหารที่ดี พยายามทานครบทั้งสามมื้อ ทำเองบ้างแต่น้อย ออกกำลังกาย ว่ายน้ำ เล่นกีฬา ถือเป็นขบวนการหนึ่งทำให้ร่างกายแข็งแรง แต่ไม่ค่อยได้ไปสปา  ด้วยความเป็นคนไฮเปอร์เวลานอนให้เขานวดชั่วโมงหนึ่ง ใจก็คิดว่า ช่วยนวดเร็วๆ ได้มั๊ยจะขาดใจตาย จะออกไปเล่นกีฬา ว่ายน้ำอะไรอย่างนั้นมากกว่า

Tags : การดี เลียวไพโรจน์ Life in the Fast Lane

view