สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

มาบตาพุด : อย่าให้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย

จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
โดย : จับกระแส : ประนอม บุญล้ำ pranom_b@nationgroup.com


การที่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติที่มีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเป็นประธานได้อนุมัติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.)
ออกประกาศกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ 11 ประเภท ต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) และ สุขภาพ (เอชไอเอ) ตามมาตรา 67 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญ เมื่อสัปดาห์ก่อน กำลังจะกลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นอีกเมื่อเครือข่ายชุมชนภาคตะวันออกที่มี นายสุทธิ อัชฌาศัย เป็นแกนนำ ไม่เห็นด้วยกับมติดังกล่าวและมีแผนจะออกมาชุมนุมประท้วงรัฐบาล เช่นเดียวกับสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนที่มี ศรีสุวรรณ จรรยา เป็นหัวหอกที่มีแผนจะฟ้องศาลปกครอง เพื่อให้มีคำสั่งยกเลิกประกาศกิจการรุนแรงดังกล่าว

ประเด็นจึงอยู่ที่ว่า กลุ่มมวลชนและกลุ่มเอ็นจีโอ กำลังต้องการให้รัฐบาลทำอะไรมากไปกว่านี้ เพราะจุดเริ่มต้นของปัญหาการลงทุนในพื้นที่มาบตาพุดก็มาจากการฟ้องศาลปกครองของสมาคมต่อต้านสภาวะแวดล้อมที่ระบุว่า ภาครัฐไม่ปฏิบัติตามมาตรา 67 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญปี 2550 จนเป็นที่มาของคำสั่งระงับโครงการลงทุน จำนวน 76 โครงการ ในมาบตาพุด และกลายเป็นปมประเด็นที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนภาพรวมของประเทศไปโดยปริยาย เพราะนักลงทุนต่างชาติไม่มั่นใจกับการลงทุนในไทย

สิ่งที่สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนและกลุ่มเครือข่ายชุมชนฯ ต้องการ คือ การปฏิบัติตามมาตรา 67 วรรคสอง ไม่ใช่เหรอ ?? ซึ่งรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ก็ได้แต่งตั้งคณะกรรมการ 4ฝ่าย ที่มีนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการ ภาคเอกชน เข้าร่วมเป็นกรรมการ รวมถึงภาคประชาชน และเอ็นจีโอ เพื่อพิจารณาหลักเกณฑ์ประเภทกิจการรุนแรง การตั้งองค์กรอิสระชั่วคราว

แต่เมื่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมฯ นำหลักเกณฑ์ประเภทกิจการรุนแรงที่คณะกรรมการ 4 ฝ่าย เสนอมาพิจารณาและประกาศออกเมื่อวันที่ 23 ส.ค. ที่ผ่านมา กลับไม่เป็นที่พอใจของภาคประชาชนและเอ็นจีโอ ทั้งๆ ที่คนเหล่านั้นก็อยู่ในกรรมการ 4 ฝ่าย ที่เป็นผู้เสนอหลักเกณฑ์กิจการรุนแรงเสนอบอร์ดสิ่งแวดล้อม สุดท้ายแม้กรรมการบางคนจะอ้างว่า 11 ประเภทกิจการที่ออกมาแตกต่างจากที่เสนอไป แต่โดยหลักใหญ่ๆ ก็ยังคงเป็นกิจการที่กรรมการ 4 ฝ่าย เสนออยู่นั่นเอง

ที่สำคัญเรื่องนี้ภาคเอกชน ก็เกือบจะยอมศิโรราบพร้อมปฏิบัติตามสิ่งที่ภาคประชาชนและเอ็นจีโอเรียกร้อง แม้ว่าบางเรื่องจะเป็นสิ่งที่ดำเนินการอยู่แล้วก็ตาม เช่น การจัดทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม หรือ อีไอเอ และพร้อมจะดำเนินการจัดทำรายงานผลกระทบด้านสุขภาพ (เอชไอเอ) เพิ่มเติมเข้าไปตามที่กฎหมายกำหนด ทั้งๆ ที่เป็นความผิดของภาครัฐที่ไม่ยอมออกประกาศหลักเกณฑ์ตามมาตรา 67 ทั้งเรื่อง เอชไอเอ และ องค์กรอิสระ

"เมื่อเขาทำผิด ภาครัฐก็ลงโทษทั้งปรับ ถอนใบอนุญาต ได้อยู่แล้ว แต่เมื่อภาคธุรกิจยอมทำในสิ่งที่มวลชนและเอ็นจีโอเรียกร้องทุกอย่างแล้ว ก็ควรจะอะลุ่มอล่วย ให้เขาเดินหน้าธุรกิจต่อได้ เพียงแต่ต้องตรวจสอบได้ เพื่อให้โรงงานอยู่ร่วมกับชุมชนให้ได้ ไม่ใช่เอะอะไร ก็นำมวลชนมาชุมนุมก่อม็อบกดดันรัฐบาล ทั้งๆ ที่กฎหมายก็มีอยู่...เราไม่ควรปล่อยให้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย"

Tags : มาบตาพุด อย่าให้กฎหมู่ อยู่เหนือกฎหมาย

view