รัฐสวัสดิการ-คนในอยากออก คนนอกอยากเข้า
โดย : ดร.ไสว บุญมา
จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ในช่วงนี้มีการพูดถึง "รัฐสวัสดิการ" กันมาก นักการเมืองดูจะแย่งกันชูเรื่องนี้ ทั้งที่พวกเขาอาจเข้าใจไม่ตรงกันด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร
ผู้ พูดมักวาดภาพอันสวยหรูเรื่องประโยชน์ที่ประชาชนทั่วไปจะได้รับเพื่อหวังเอา หน้า ทว่าไม่ยอมพูดถึงต้นทุนของมัน ที่ประชาชนจะต้องร่วมกันรับผิดชอบในรูปของการจ่ายภาษี ซึ่งจะเก็บได้มากแค่ไหนขึ้นอยู่กับสภาพของเศรษฐกิจและสังคม
รัฐสวัสดิการอาจหมายถึงแนวคิดที่ว่า รัฐเป็นผู้รับผิดชอบต่อความเป็นอยู่เบื้องต้นของประชาชนซึ่งทุกคนมี "สิทธิ" ที่จะได้รับ หรืออาจหมายถึงการสร้างเครือข่ายของความปลอดภัยทางสังคม ซึ่งประกอบด้วยสวัสดิการรูปแบบต่างๆ ก็ได้
แนวคิดเรื่องรัฐสวัสดิการมีประวัติยาวนานมาก จากอาณาจักรโรมันและยุคพระเจ้าอโศก ซึ่งต่างมีระบบบำนาญให้แก่ทหารของตน สำหรับในยุคปัจจุบัน รัฐสวัสดิการวิวัฒน์ขึ้นในเยอรมนีในรูปของการประกันสังคมเมื่อร้อยกว่าปีที่ แล้ว นอกจากนั้น ก็มีวิวัฒนาการในแถบสแกนดิเนเวียในรูปของการก่อตั้งองค์กรอิสระขึ้นเพื่อรับ ผิดชอบด้านสวัสดิการของบรรดาสมาชิกในกลุ่ม หลังจากเกิดความถดถอยทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่เมื่อตอนก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งสร้างความอดอยากยากจนให้แก่ประชาชนในสังคมตะวันตกอย่างกว้างขวาง แนวคิดที่จะให้รัฐรับผิดชอบต่อสวัสดิการของประชาชนเพิ่มความเข้มข้นขึ้นอีก ทั้งในยุโรปและอเมริกา ต่อมาเมื่อน้ำมันปิโตรเลียมขึ้นราคาแบบก้าวกระโดดหลายครั้งซึ่งสร้างรายได้ มากมายให้แก่ประเทศส่งน้ำมันออก ประเทศเหล่านั้นก็เริ่มเข้าแบกรับสวัสดิการของประชาชนของตนอย่างทั่วถึง
รัฐสวัสดิการมีด้วยกันหลายแบบ ซึ่งอาจแยกได้เป็นสองแนวหลักๆ จากวิธีการปฏิบัติ นั่นคือ แนวแรกเป็นการเลือกส่งความช่วยเหลือไปยังกลุ่มที่ขาดปัจจัยในการดำรงชีวิต เบื้องต้นเท่านั้น รัฐตั้งองค์กรขึ้นมา เพื่อรับผิดชอบในการทดสอบอย่างเข้มงวดว่าใครควรได้รับความช่วยเหลือ และเพื่อป้องกันมิให้ความช่วยเหลือนั้นรั่วไหลไปถึงผู้ไม่สมควรได้รับ แนวนี้ไม่จำเป็นต้องเก็บภาษีในอัตราสูงมากนัก และมีสหรัฐอเมริกาเป็นหัวจักรใหญ่
แนวที่สอง วางอยู่บรรทัดฐานของการไม่ค่อยเข้มงวดเรื่องการขาดปัจจัย ผู้ที่มีลูก หรือผู้ที่เจ็บป่วยอาจได้รับความช่วยเหลือจากรัฐทันทีไม่ว่าเขาจะเป็นเศรษฐี หรือยาจก ฉะนั้น ประชาชนส่วนใหญ่จึงได้รับความช่วยเหลือซึ่งนำไปสู่ความจำเป็นต้องเก็บภาษีใน อัตราสูงมาก หัวจักรใหญ่ของการใช้แนวนี้ คือ ประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวีย โดยเฉพาะสวีเดนซึ่งมักเป็นตัวอย่างที่อ้างถึงกันเป็นประจำ ตอนนี้มีเรื่องน่าสนใจเกิดขึ้นในประเทศนั้น จึงขอนำมาเล่าสู่กันเป็นกรณีพิเศษ
สวีเดนเพิ่งมีการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 19 กันยายน ผลปรากฏว่าไม่มีพรรคใดได้เสียงข้างมาก พรรคสังคมประชาธิปไตย (Social Democracy Party) ซึ่งมีบทบาทสูงสุดในการสร้างระบบรัฐสวัสดิการ และมีอำนาจมาเป็นเวลานานเกือบร้อยปี รวมกับพันธมิตรของตนเข้ามาเป็นที่สอง คือ ได้ 156 ที่นั่งจาก 349 ที่นั่งในรัฐสภา พรรคสายกลาง (Moderate Party) และพันธมิตรได้ 173 ที่นั่ง และพรรคประชาธิปไตยแห่งสวีเดน (Sweden Democracy Party) ได้ 20 ที่นั่ง พรรคสังคมประชาธิปไตยเสียอำนาจตั้งแต่การเลือกตั้งครั้งที่แล้วเมื่อ 4 ปีก่อน ยังผลให้พรรคสายกลางเป็นรัฐบาลตั้งแต่นั้นมา คราวนี้พรรคสังคมประชาธิปไตยหวังจะได้อำนาจคืน แต่ชาวสวีเดนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย ยิ่งกว่านั้น ชาวสวีเดนยังให้ความไว้วางใจแก่พรรคประชาธิปไตยแห่งสวีเดนเป็นครั้งแรก โดยเลือกผู้สมัครของพรรคนี้ถึง 20 ที่นั่ง พรรคนี้มีจุดเด่น คือ เป็นชาตินิยมตกขอบซึ่งต่อต้านการเปิดรับผู้อพยพจากต่างประเทศ เพราะมองว่าพวกเขาเป็นภาระต่อสังคม
เมื่อไม่มีกลุ่มใดได้ชัยชนะเด็ดขาดเช่นนี้ กลุ่มที่มีเสียงมากสุด ซึ่งได้แก่ ฝ่ายรัฐบาลมีเวลาถึงวันที่ 5 ตุลาคมเพื่อหาพันธมิตรเพิ่มขึ้นจนเป็นเสียงส่วนใหญ่สำหรับตั้งรัฐบาลใหม่ ขึ้นมา ถ้าหาไม่ได้ อาจต้องตั้งรัฐบาลเสียงส่วนน้อยซึ่งก็เป็นไปได้เพราะในขณะนี้ทั้งฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้าน ต่างไม่ต้องการเชิญพรรคประชาธิปไตยแห่งสวีเดนมาร่วมตั้งรัฐบาลด้วย
ผลการเลือกตั้งเช่นนี้เป็นที่วิพากษ์กันอย่างกว้างขวางว่าเพราะอะไรชาว สวีเดนจึงไม่เต็มใจที่จะกลับไปเลือกพรรคสังคมประชาธิปไตยอีก ปัจจัยที่มักถูกอ้างถึงได้แก่แนวโน้มที่เกิดขึ้นทั่วไปในยุโรปโดยเฉพาะใน กลุ่มสแกนดิเนเวียที่บ่งชี้ว่า ประชาชนเริ่มเอือมระอาต่อแนวคิดสังคมประชาธิปไตย ซึ่งชูรัฐสวัสดิการเป็นจุดขายมาเป็นเวลาหลายสิบปี เนื่องจากรัฐสวัสดิการไม่ใช่ได้มาเปล่าๆ พวกเขาจึงต้องจ่ายภาษีสูงมาก จาก 40% ถึง 50% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (จีดีพี) ในขณะที่คนไทยจ่ายแค่ 17% และชาวอเมริกันจ่าย 28% สวีเดนเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่เก็บภาษีในอัตรา 50% ของจีดีพี ซึ่งประกอบด้วย ภาษีหลายอย่าง เช่น ภาษีรายได้ระบบก้าวหน้าที่มีอัตราสูงสุดถึง 59% และภาษีมูลค่าเพิ่มซึ่งส่วนใหญ่ใช้อัตราสูงถึง 25% แม้แต่อาหารก็เก็บ 12%
เมื่อแนวโน้มเป็นเช่นนี้ คำถามสำคัญที่สังคมไทยต้องถามตัวเองก่อน คือ แน่ใจหรือว่าจะทำรัฐสวัสดิการเช่นนั้นได้ ตอนนี้เราเก็บภาษีในอัตรา 17% ของจีดีพี เรามีโอกาสเก็บได้ในอัตราสูงๆ เช่นในประเทศสแกนดิเนเวียเชียวหรือ อีกอย่างหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะเก็บถึง 50% เราก็อาจมีรายได้ไม่พอต่อการทำรัฐสวัสดิการ เพราะคนไทยมีรายได้เฉลี่ยไม่ถึง 20% ของพวกเขา ส่วนค่าใช้จ่าย เช่น การรักษาพยาบาลสูงมาก เนื่องจากเราต้องนำเข้าเครื่องมือเครื่องใช้ที่เราผลิตไม่ได้เอง ยิ่งกว่านั้น ความฉ้อฉลของสังคมเราต่างกับของเขาราวฟ้ากับดิน ฉะนั้น เมื่อนักการเมืองกำมะลอ ซึ่งมักมีความฉ้อฉลอยู่ในกมลสันดานออกมาให้คำมั่นสัญญาว่าจะให้สวัสดิการ ทุกอย่าง จงถามพวกเขาว่า จะเอาเงินมาจากไหน หรือใครจะเป็นผู้ควักกระเป๋า อย่าลืมว่า โลกนี้ไม่มีของเปล่าแน่นอน การสร้างความหวังลมๆ แล้งๆ ก่อให้เกิดปัญหาหนักหนาสาหัสมามากต่อมากแล้ว และกำลังจะถูกสร้างโดยนักการเมืองขี้ฉ้อ จึงขอย้ำอีกทีว่าโลกนี้ไม่มีของเปล่า โลกนี้ไม่มีของเปล่า และโลกนี้ไม่มีของเปล่า