“คนดี” VS “คนเก่ง”
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
บุญชัย โชควัฒนา
กรรมการอำนวยการบริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด
ผู้นำองค์กรขนาดใหญ่หลายๆ คน ก็จะบอกว่า ถ้าจะเลือกคนมาทำงานด้วย ก็อยากจะเลือก “คนเก่ง”
เพราะคนเก่งจะทำให้องค์กรนั้นๆ ประสบความสำเร็จได้เร็วและง่ายกว่า แต่ผมไม่ค่อยเห็นด้วยกับความคิดที่ว่านี้ ในส่วนตัวผม ผมกลับคิดว่า “คนดี” ต้องมาก่อน นอกเสียจากว่าได้คนดีที่ฉลาดและเก่งด้วยยิ่งดี แต่ผมจะให้ความสำคัญกับคนดีก่อนเสมอ
ลักษณะของ “คนดี” คือ คนที่มีนิสัยเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ยินดีในการให้ ยินดีในการให้ความช่วยเหลือผู้อื่น ไม่คิดเห็นแก่ตัว แต่เห็นแก่ประโยชน์และความสุขของส่วนรวมตลอดเวลา การได้คนดีมาทำงานคนหนึ่ง ต้องถือว่าผู้บริหารหรือผู้นำคนนั้นโชคดี และจะมีความสำเร็จระยะยาวในอนาคต ในขณะที่คนเก่งอาจ จะเป็นคนไม่ดีก็ได้ และคนไม่ดีนั้นก็มีสิทธิที่จะทำให้ธุรกิจนั้นมีปัญหา เช่น ทำงานได้สักระยะหนึ่งก็อาจจะเอางานส่วนตัวมาทำ หรือทุจริตคดโกงบริษัท ทำให้บริษัทเกิดความเสียหาย ซึ่งมีตัวอย่างมากมายที่เห็นได้โดยทั่วไป โดยเฉพาะในองค์กรที่ต้องการเติบโตเร็ว ก็จะไปจ้างมืออาชีพมาบริหาร โดยไม่ได้พิจารณาถึงความเหมาะสมว่าเป็นคนดี มีคุณธรรม จริยธรรมหรือไม่
ผมเห็นธุรกิจที่เติบโตมาแบบใช้มืออาชีพมาบริหารที่ธุรกิจเจริญรุ่งเรือง ดีอยู่พักหนึ่ง และสุดท้ายก็ต้องล่มสลายไปมีอยู่มากมาย รวมถึงธุรกิจในเครือของสหพัฒน์เองก็ตาม ในขณะที่ผมก็เห็นธุรกิจที่ใช้คนดีมาบ ริหาร อย่างบริษัทสหพัฒน์เอง ที่ดำเนินธุรกิจมาได้ยาวนาน ก็เพราะ ดร.เทียม โชควัฒนา ประธานคนแรกและเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท ใช้นโยบายการเลือกคนที่มีพื้นฐานที่เป็นคนดีมาเป็นผู้บริหารและพนักงาน ซึ่งตัวท่านเองก็กระทำตนเป็นคนดี เป็นแบบอย่างที่ดี ให้แนวทางการประพฤติปฏิบัติในทางที่ดีกับผู้บริหารที่มีอยู่ โดยยึดมั่นที่จะทำธุรกิจที่ดี ไม่ดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับของมึนเมา และไม่ผิดศีลธรรม นั่นคือสิ่งที่เราได้รับการปลูกฝังมา และเป็นสาเหตุที่ทำให้องค์กรยั่งยืนมาจนถึงทุกวันนี้
ธุรกิจไม่ได้สำเร็จได้จากผู้นำ หรือบุคคลใดบุคคลหนึ่งเท่านั้น ผมเห็นว่าทีมงานมีความสำคัญกว่าตัวผู้นำด้วยซ้ำที่จะทำให้งานประสบความ สำเร็จ เพราะผู้นำซึ่งมีคนเดียวนั้นทำได้แต่เพียงคิดและสั่งงาน แต่ผู้ที่จะนำความคิดนั้นไปปฏิบัติให้เกิดผล คือทีมงาน ซึ่งก็ต้องเป็นผู้มีความคิด สติปัญญา ที่จะนำเอาความคิดของผู้นำไปปฏิบัติ ดังนั้นถ้าผู้ปฏิบัติงานเป็นคนที่เก่งด้วย เป็นคนดี มีคุณธรรมด้วย งานก็จะยิ่งก้าวหน้า และประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน เพราะคนดีจะเป็นผู้ที่มีความระมัดระวังสูงที่จะไม่ทำอะไรผิด มีความละเอียดรอบคอบ คิดหน้าคิดหลัง ทำให้ธุรกิจไม่พลาดพลั้งได้ง่ายๆ คนดีจะเป็นคนที่ทำงานเพื่อองค์กรมากกว่าเพื่อตนเอง ดังนั้นองค์กรที่มีคนดีอยู่มากก็จะทำให้องค์กรมีความมั่นคงต่อไปเป็น 100 ปี
ฉะนั้นผมจึงคิดว่า ถ้ามีโอกาสเลือกคน 2 คนเข้าทำงานในองค์กร ผมจะให้ความสำคัญกับคนดีก่อน แต่ต้องเป็นคนดีที่มีสติปัญญาและความสามารถที่จะพัฒนาได้ด้วย แต่การที่จะได้คนดีมา ทำงานนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เจ้าสัวบางท่านใช้วิธีดูโหงวเฮ้ง หรือเอาซินแสมาดู สมัยคุณพ่อของผมจะใช้วิธีดูโหงวเฮ้งร่วมกับการสอบถามถึงพื้นฐานครอบครัว ซึ่งพื้นฐานครอบครัวสามารถบอกได้ถึงการเป็นคนดีหรือไม่ ในส่วนตัวผม ผมจะใช้วิธีการพูดคุยและตั้งคำถามให้ตอบ ซึ่งคำตอบที่ได้มานั้นจะสามารถสะท้อนถึงความคิดว่าเขาเป็นคนดีหรือ ไม่ได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังสามารถทราบได้จากพฤติกรรมส่วนตัว เช่นการเข้าวัดทำบุญบ่อยแค่ไหนอย่างไร การดูแลพ่อ-แม่ดีหรือไม่ดี ความรักที่มีต่อพ่อ-แม่ รักครอบครัว หรือผู้อื่น ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถสะท้อนตัวตนออกมาได้ว่าคนคนนั้นเป็นคนดีหรือไม่เช่นกัน
ส่วนเรื่องความรู้ ความสามารถนั้นดูไม่ยาก สามารถดูได้จากประวัติการทำงาน ความสำเร็จในงานที่ผ่านมา ความมุ่งมั่นในการทำงาน ความทะเยอทะยานที่จะก้าวหน้าในงาน ความรักที่จะอยู่กับองค์กร ดังนั้นอาจจะกล่าวได้ว่าความเก่งเป็นสิ่งที่สังเกตได้ง่ายกว่าความดี ความดีของคนไม่ได้อยู่ที่การกระทำแต่เพียงอย่างเดียว ลึกๆ อยู่ที่หัวใจของคนคนนั้น ว่า เป็นคนที่มีสำนึกดีหรือไม่ และการที่จะวัดหัวใจคน ก็วัดได้ไม่ยาก ถ้าเราหมั่นศึกษา พูดคุย สอบถาม และสนใจพฤติกรรมของเขา เราก็จะทราบได้ว่าเขาเป็นคนอย่างไร ดังนั้นความมุ่งหมายขององค์กรของผมก็คือ การหาคนดีมาทำงาน การสร้างคนดีเพื่อเป็นพื้นฐานในอนาคตของบริษัท เพื่อให้เค้าพร้อมที่จะสืบสานธุรกิจของเราต่อไปได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนตลอดไป
“ถ้ามีคนสองคนเดินผ่านมา
ทุกเรื่องราวสามารถสอนข้าพเจ้าได้
สำหรับคนดีข้าพเจ้าจะเอาอย่างเขา
สำหรับคนเลวข้าพเจ้าจะไม่เอาอย่าง”
คำกล่าวจาก ขงจื๊อ นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ชาวจีน