จากประชาชาติธุรกิจ

ชื่อ เสียงของ "โตโยต้า" ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของโลกต้องมัวหมองลงอย่างหนักใน 1 ปีที่ผ่านมากับปัญหาการเรียกคืนรถ (รีคอล) กว่า 1.5 ล้านคัน จากปัญหาระบบเบรกและระบบหัวฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีปัญหา ทำให้โตโยต้าต้องระมัดระวังและเพิ่มความพยายามเป็นอย่างยิ่งในการแก้ไขปัญหา ที่ยังค้างคานี้มาเป็นเวลานาน

ผู้ผลิตรถอันดับหนึ่งของโลกยืนยันว่า การเรียกรถคืนดังกล่าวยังไม่มีลูกค้า รายใดประสบอุบัติเหตุ ทั้งจากรถยนต์ของเลกซัสและโตโยต้าที่เรียกคืนในรุ่น นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547-2549 ทั้งในสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นโดยมีการเรียกคืนในสหรัฐอเมริกา 740,000 คัน และในญี่ปุ่น 599,000 คัน

การเรียกคืนรถครั้งล่าสุดได้ ทำลายภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นที่ดีของลูกค้าโตโยต้าเป็นอย่างมาก ทั้งจากปัญหาของระบบเบรกและระบบคันเร่งที่กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของ ลูกค้าและในอุตสาหกรรมรถยนต์

"มันเป็นจุดเริ่มต้นที่ร้ายแรงและยาก ที่จะเชื่อว่ามันจะไม่ส่งผลกระทบต่อกลุ่มลูกค้า รวมไปถึงการรับรู้ในชื่อเสียงของโตโยต้าที่ลูกค้าให้ความไว้วางใจมาอย่างยาว นาน ซึ่งปัญหาการเรียกคืนรถแม้จะยังไม่มีผู้ได้รับอุบัติเหตุร้ายแรง แต่ก็ทำให้ชื่อของโตโยต้าได้รับความเชื่อมั่นลดน้อยลงในระยะยาว" ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดของมหาวิทยาลัยชิคาโกกล่าว

ผู้เชี่ยวชาญด้าน ความปลอดภัยกล่าวว่า กรณีของโตโยต้าจะกลายเป็นกรณีศึกษาครั้งสำคัญที่ผู้ผลิตรถยนต์หลาย ๆ ค่ายต้องให้ความสำคัญ หลังจากที่ โตโยต้าเริ่มได้รับรายงานปัญหาเกี่ยวกับน้ำมันเบรกรั่วในรถยนต์บางรุ่น ตั้งแต่ในเดือนกุมภาพันธ์

พ.ศ. 2548 และเป็นเวลาอีกกว่า 5 ปีถึงปัจจุบันที่โตโยต้าต้องทำการเรียกรถยนต์คืนจากลูกค้าเพื่อตรวจสอบปัญหา ดังกล่าว ทำให้โตโยต้ามียอดการเรียกคืนรถแล้วกว่า 11 ล้านคันทั้งจากรถนั่งและรถบรรทุก

และล่าสุดโตโยต้าได้ส่งจดหมายชี้ แจงไปถึง "หน่วยงานควบคุมอุบัติภัยบนท้องถนนอเมริกัน" (National Highway Traffic Safety Administration) เพื่อเริ่มอธิบายถึงปัญหาระบบเบรกที่ทำให้โตโยต้าต้องเรียกคืนรถยนต์ที่เกิด ขึ้นตั้งแต่ในปี พ.ศ. 2548 รวมถึงชี้แจงว่าปัญหาน้ำมันเบรกรั่วนั้น ส่วนหนึ่งเกิดจากลูกค้าหรือช่างซ่อมรถบางรายเลือกใช้น้ำมันเบรกที่ผิดประเภท รวมถึงการเสื่อมสภาพของชิ้นส่วน แต่อย่างไรก็ตามโตโยต้าก็เตรียมใช้เงินลงทุนเพื่อแก้ไขระบบดังกล่าวในปีหน้า ด้วย

ทำให้โตโยต้าต้องใช้เงินเฉลี่ยกว่าคันละ 2,100 ดอลลาร์สหรัฐสำหรับการแก้ไขปัญหาเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ต้องใช้เงิน 1,500 ดอลลาร์สหรัฐในปีที่แล้ว ซึ่งเป็นช่วงที่อุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลกยังชะลอตัว

ซึ่งจากการเรียก คืนรถยนต์ครั้งล่าสุด ทำให้ตัวเลขยอดขาย 9 เดือนแรกของโตโยต้าในปีนี้เติบโตขึ้นเพียง 1.4% จากตลาดในสหรัฐอเมริกาที่เติบโตขึ้นมากกว่า 10% ล่าสุดผลประกอบการของโตโยต้าทั่วโลกต่างก็ได้รับผลกระทบจากการเรียกคืนรถดัง กล่าว ทำให้บริษัทมีรายได้ลดลงถึง 1.2 พันล้านเหรียญจากเดือนมกราคม-มีนาคมที่ผ่านมา

นักวิเคราะห์หลายราย สรุปว่า สิ่งที่โตโยต้าควรทำนอกจากการพยายามแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นแล้ว ยังต้องพยายามมองหาความบกพร่องในทุก ๆ ด้าน ทั้งการออกแบบและการผลิต ด้านวิศวกรรม รวมไปถึงการควบคุมความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตเพื่อแก้ไขและป้องกัน ปัญหา