เรียนรู้จากคู่แข่ง
จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
สิงคโปร์เป็นประเทศเล็กๆ ขนาดใกล้เคียงกับจังหวัดนนทบุรี และมีพลเมืองเพียง 5 ล้านคน
ด้วย ทรัพยากรที่มีน้อยนิด กับความเป็นที่สุดของภูมิภาคและโลกในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นศูนย์กลางทางการเงิน การลงทุน และความโปร่งใส ดูไม่ธรรมดา
มีหลายประเด็นที่เราน่าศึกษาว่าเขาทำอย่างไร
ในช่วงสัปดาห์ที่แล้วดิฉันอยู่สิงค์โปร์ จึงได้มีโอกาสสอบถามนักบริหารและผู้นำกิจการหลายท่านว่า อะไรหนอเป็นสาเหตุทำให้สิงค์โปร์ประสบความสำเร็จโดดเด่นเช่นนี้
คนส่วนใหญ่ยกนิ้วให้รัฐบาล เพราะเขามีผู้นำที่แข็งแกร่ง มีความต่อเนื่อง ทั้งยังมีวิสัยทัศน์ที่ก้าวไกล
ที่สำคัญ คือมุมมอง และใจ เขาไม่เอาข้อจำกัดมาเป็นตัววัดว่าทำอะไรได้หรือไม่ได้ แต่ใช้ข้อจำกัดเป็นแรงผลักดันเพราะฉันไม่ใหญ่ ฉันไม่มีอะไรไปสู้กับรุ่นพี่ที่ใหญ่กว่า จึงตระหนักว่าอยู่นิ่ง อยู่เฉย อยู่สบายไม่ได้
เพื่อนชาวสิงค์โปร์คนหนึ่งบอกว่า ทั้งชีวิต เขาไม่เคยอยู่ใน “Comfort Zone”
Comfort Zone คือ บริเวณแสนสบาย อยู่ได้ดีมีความสุข อยู่นิ่งๆ กับสิ่งที่คุ้นเคย อยู่เฉยๆเพราะทุกอย่างไปได้ดี
ผลลัพธ์คือสิงค์โปร์ไม่เคยอยู่นิ่ง จนทิ้งห่างพี่ใหญ่ใกล้ตัว ที่มัวแต่สบายอกสบายใจ จนแพ้ภัยตัวเองอยู่เนืองๆ
ที่น่าสนใจคือ เขาตระหนักว่าต้องสู้ด้วยสมอง เพราะทรัพยากรธรรมชาติเป็นรองใครๆ
เมื่อไม่นานมานี้ สิงค์โปร์เริ่มโครงการดึง World Talent หรือคนเก่งของโลก ให้มาทำมาหากินในบ้านเขาอย่างเอาจริงเอาจัง เหมือนดังเช่นองค์กรหนึ่งๆพึงทำในการเสาะแสวงหาคนเก่งมาเร่งพัฒนาหน่วยงาน
หากใครมีคุณสมบัติเข้าตาสิงค์โปร์ อาทิมีประสบการณ์ช่ำชอง มีการศึกษา มีปริญญาจากสถาบันโดดเด่นของโลก เขาสัญญาว่าการมาทำงานในสิงค์โปร์จะสะดวกง่ายดาย ไม่ยุ่งยาก แถมมีแรงจูงใจด้วยสวัสดิการมากมาย ประกอบกับนโยบายอื่นของรัฐที่สอดคล้องกับการดูด “ดาว” คือการมุ่งเน้นดึงให้บริษัทข้ามชาติที่สนใจตลาดเอเชียให้ไปตั้งศูนย์ บัญชาการหรือ Headquarter ที่เมืองน้อยๆของเขา เมื่อสำนักงานใหญ่ไปอยู่ที่ใด พนักงานและผู้บริหารก็ย่อมตามมา
อูลาล่า! นโยบายต่างกระทรวงของเขาสอดคล้องเข้าขากันดี ไม่บรรเลง(ละเลง)กันคนละหลายเพลงเดียวกัน เหมือนรัฐบาลทั่วๆไป
ที่น่าสนใจอีกหนึ่งเรื่อง คือการที่มีประชาชนหลากหลายหลั่งไหลไปอยู่ในสิงค์โปร์ เขาดูแลให้อยู่กันอย่างปรองดองน้องพี่ได้อย่างไร
สิงค์โปร์เป็นหนึ่งในประเทศที่น่าจะมีแรงเสียดทานที่เกิดจากความขัดแย้ง ระหว่างคนในประเทศสูงกว่า “พี่ใหญ่” เช่นไทยแลนด์แดนยิ้มมากมายหลายเท่านัก
ทั้งนี้เป็นเพราะประเทศเขาประกอบด้วยคนถึง 4 กลุ่ม คือ จีน มาเลย์ อินเดีย และกลุ่มอื่นๆที่ส่วนใหญ่คือฝรั่ง โดยมีสัดส่วน 76% 15% 6% และ 3% ตามลำดับ ภาษาทางการจึงมีถึง 4 ภาษาเช่นเดียวกัน คือ จีน มาเลย์ ทามิล และ อังกฤษ
ความหลากหลาย ในแง่ดี คือ ความสวยงาม และความสมบูรณ์แบบ แต่ในแง่ร้าย หากปล่อยตามยถากรรม อาจเป็นเชื้อไฟได้อย่างดี เขาไม่ใช่เรา เราไม่ใช่เขา ห่างกันทั้งศาสนา ภาษา การทำมาหากิน และถิ่นที่อยู่ จะเชื่อใจกันได้อย่างไร
รัฐบาลสิงค์โปร์จึงไม่นิ่งดูดาย ลุกขึ้นมาตั้งกฎกติกามากมายเพื่อสยบผลลบที่อาจเกิดจากความแตกต่าง เช่นมีแนวทาง Affirmative Action กล่าวคือ มีการจัดสรรปันส่วนโอกาสหลักๆให้กระจายไปทั่วถึงทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงโอกาสการทำงานของภาครัฐ การศึกษา หรือที่อยู่อาศัย
บ้าน ในประเทศเล็กๆเช่นสิงค์โปร์ ย่อมเป็นสิ่งที่หายากและราคาแพง รัฐจึงเข้ามามีบทบาทอย่างเต็มที่ ผลคือคนส่วนใหญ่ถึง 85% อาศัยในอพาร์ตเมนท์ของรัฐ ที่น่าสนใจคือ ที่อยู่ทั้งหมดที่รัฐจัดสรร มีการแบ่งปันอย่างชัดเจนว่าคนทั้ง 4 กลุ่มจะต้องอยู่ร่วมกัน ดังนั้นจึงไม่มีว่าตึกนี้มีเฉพาะคนจีน ตึกโน้นอยากอยู่เพราะคนมาเลย์เหมา เพราะเขาบังคับว่าทุกตึกต้องมีสัดส่วนคนอยู่สะท้อนสัดส่วนของประชากรแต่ละ เชื้อชาติ
โรงเรียนก็เช่นเดียวกัน นักเรียนแต่ละชั้น แต่ละโรงเรียน ก็ต้องให้ทุกกลุ่มเรียนด้วยกัน เขาจะได้เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันตั้งแต่เป็นเด็ก กิจกรรมของโรงเรียนก็ต้องเน้นให้ต่างเข้าใจในความแตกต่าง แม้หน้าตาสีผิวจะหลากหลาย แต่เราก็ใช้นามสกุล “สิงค์โปร์” เดียวกัน
ผลลัพธ์ก็อย่างที่ท่านผู้อ่านและชาวโลกเห็น เขามีความเป็นหนึ่งเดียวที่หลากหลายและน่าภาคภูมิใจ ไม่ต้องยอมสยบให้ใคร เป็นหนึ่งได้โดยไม่ยอมแพ้โชคชะตา
สะท้อนกลับมาองค์กรเรา ไม่ว่าจะเป็นระดับประเทศ หรือหน่วยงาน ย้ำว่า ผู้บริหาร นโยบาย และระบบ เป็นขาสำคัญของการบริหารองค์กร เพียงเน้นพัฒนาคน โดยกฎไม่เอื้อ กติกาไม่โปร่งใส ผู้นำไม่เป็นธรรม ขำไม่ออก
นั่นคือ องค์กรต้องใช้ทั้งระบบการบริหารองค์กรและทรัพยากรมนุษย์ – Human Resource Management ควบคู่ไปกับการพัฒนาบุคคลากร – Human Resource Development อย่างสมดุลย์
ทั้งนี้ ไม่ว่าอย่างไร ไม่เคยมีใครได้อะไรมาฟรีๆ พรรคพวกชาวสิงค์โปร์ของดิฉัน พร้อมใจกันอิจฉาผู้ที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย ที่สบายๆ อะไรก็ได้ เปรียบเทียบกับคนสิงค์โปร์ ที่ต้องอยู่ในวินัย และกฎกติกาจนชาชิน ในสิงค์โปร์ทุกอย่าง “fine fine fine” ที่ภาษาคนทั่วไปแปลว่า “ดี ดี ดี” แต่ในประเทศนี้ fine ใช้ความหมายว่า “ค่าปรับ ค่าปรับ ค่าปรับ” ครับผม
กฎหมายล่าสุดที่กำลังจะเริ่มบังคับใช้ในสิงค์โปร์ คือหมาสิงค์โปร์ต้องเข้าโรงเรียน ดิฉันกลับบ้านมาเจอเจ้าชาขิง ลูกหมาที่คอยต้อนรับด้วยความดีใจเพราะแม่ชอบไปไหนนานๆ เขาดื้อมั่ง เกมั่ง เพราะไม่เคยถูกสอนถูกตี จึงไม่ค่อยมีวินัย
เมื่อแม่ลูกหารือกันแล้ว เห็นพ้องต้องกันพันเปอร์เซ็นต์ว่า แม้เกิดในสิงค์โปร์จะได้เข้าเรียนในโรงเรียนหรู แต่ทั้งคู่ยืนยันว่าชาติหน้า ชาติไหน ก็ขอเกิดในแผ่นดินไทย...ไม่เปลี่ยนใจค่ะ!