จากประชาชาติธุรกิจ
คอลัมน์ CSR Talk
โดย ดร.โสภณ พรโชคชัย กรรมการหอการค้าไทย สาขา CSR กรรมการสภาองค์การนายจ้างแห่งประเทศไทย และประธานกรรมการบริหาร บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส
เมื่อวัน ที่ 10 พฤศจิกายน 2553 ผมไปร่วมงานนิทรรศการของการสัมมนานานาชาติเรื่องคอร์รัปชั่น (the 14th International Anti-Corruption Conference) ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งจัดโดยสำนักงาน ป.ป.ช.ที่ผมได้รับเชิญให้ไปบรรยายเป็นระยะ ๆ นั้น ผมได้ข้อคิดอย่างหนึ่งว่า "สวัสดิการที่ดีเกินไปคือคอร์รัปชั่นขาด CSR"
บางท่านอาจจะงงว่า สวัสดิการที่ดีเกินไปเกี่ยวอะไรกับ CSR เพราะนึกว่า CSR คือการอาสาทำดีกับสิ่งแวดล้อมและสังคมเป็นหลัก แต่ในความเป็นจริง ประเด็นหลักของ CSR ก็คือ การมีวินัยไม่ข้องแวะกับการคอร์รัปชั่นหรือการโกงกิน
สวัสดิการที่ ดีเกินไปย่อมเป็นต้นทุนที่สูง ส่งผลเสียโดยตรงต่อผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เช่น ผู้ถือหุ้นทั้งหลายโดยเฉพาะผู้ถือหน่วยลงทุนรายย่อยในกรณีบริษัทมหาชน ตลอดจนผู้บริโภคเพราะต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้นนั่นเอง
เราคงเคยได้ ยินว่าสายการบินบางประเทศให้สิทธิอดีตแอร์โฮสเตสที่ลาออกไปแล้ว ขึ้นเครื่องบินข้ามทวีปเกือบ 20 ชั่วโมงโดยเสียค่าธรรมเนียมเพียง 500 บาท จากค่าโดยสารที่เก็บตามอัตราปกติราว 50,000 บาท โดยแจ้งล่วงหน้าเพียง วันเดียวก็ได้ที่นั่งแล้ว ถ้าหากเป็นอดีตกัปตันที่ลาออกแล้วก็เสียค่าธรรมเนียมไม่เกิน 1,000 บาท แถมได้นั่งชั้นธุรกิจราคา 130,000 บาท
กรณีอย่างนี้เมื่อมีผู้ไปใช้ (อภิ) สิทธิ์กันมาก ๆ รวมทั้งสมาชิกครอบครัวอีกต่างหาก อาจคิดเป็นเงินไม่รู้กี่สิบล้านบาทที่สูญเสียไปในแต่ละปี เงินเหล่านี้ควรเอามาแบ่งให้ผู้ถือหุ้นเป็นเงินปันผล แบ่งให้พนักงานทั่วไปเป็นโบนัส แบ่งให้ผู้บริโภคเป็นส่วนลด หรือแบ่งให้สังคมเป็นการคืนกำไรจะดีกว่าไม่น้อย
นอกจากนี้ เรายังคงเคยได้ยินวิสาหกิจขนาดใหญ่ในบางประเทศ ให้พนักงานใช้สาธารณูปโภคที่ตนเองเป็น ผู้ผลิตขึ้นในราคาถูกหรือฟรีกันแทบไม่ต้องยั้ง อย่างนี้ผู้ถือหุ้นและผู้บริโภคเดือดร้อนเพราะต้องแบกรับภาระมากมาย สุดท้ายพนักงานเหล่านี้กลายเป็นอภิสิทธิ์ชนที่กีดขวางการพัฒนาประเทศ ไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงให้สังคมดีขึ้น แต่ตนเองขาดอภิสิทธิ์
จะสังเกต ได้ว่าวิสาหกิจขนาดใหญ่ที่มีกำไรงาม ๆ ในบางประเทศ มักจะแบ่งผลประโยชน์มาให้พนักงานได้ "เสพสุข" กันอย่างเต็มอิ่ม ในแง่หนึ่งเป็นการ "ปิดปาก" ไม่ให้
พนักงานก่อหวอดในเรื่องที่กระทบต่อการโกงกินในระดับสูง ถือเป็นการโกงกินแบบ "บุฟเฟต์" หรือแบบทั่วถึง "ตามลำดับขั้น"
วิสาหกิจ ขนาดใหญ่ในบางประเทศ อาจสร้างที่จอดรถใหญ่โตไว้ให้พนักงานจอดรถ คงกลัวสีรถพนักงานเสียหาย แต่สำหรับลูกค้าผู้มีอุปการคุณกลับให้จอดกลางแดด สู้เทสโก้ โลตัสไม่ได้ที่เขาทำที่จอดรถให้ลูกค้าอย่างเพียงพอ และยังทำตะแกรงหลังคาให้ลูกค้าอีกด้วย นอกจากนี้วิสาหกิจขนาดใหญ่หลายต่อหลายแห่งยังปรนเปรอ ผู้บริหารระดับสูงด้วยงบประมาณ "เลี้ยงดู ปูเสี่อ" กันอย่าง "อิ่มหมีพีมัน" แม้แต่เงินติดกัณฑ์เทศน์ยังมีงบประมาณจัดหาให้ หรือเบิกได้ !
การ โกงกันจนเป็นปกติวิสัยก็เห็นได้จากการที่ข้าราชการระดับสูงในบางประเทศได้ รับสิทธิไปนั่งในคณะกรรมการของรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ บางคนถ่างนั่งหลายเก้าอี้ ซึ่งแค่นั้นก็ไม่รู้จะ "อู้ฟู่" จากเบี้ยประชุมและอภิสิทธิ์อื่น ๆ กันขนาดไหนแล้ว รัฐวิสาหกิจบางแห่งกำหนดกรรมการได้ใช้บริการของรัฐวิสาหกิจไปตลอดชั่วชีวิต แม้จะพ้นจากตำแหน่งแล้วก็ตาม
อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือ เรื่องรถประจำตำแหน่ง จะเห็นได้ว่ากรรมการและผู้บริหารของหน่วยราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือบริษัทมหาชนใหญ่โตบางประเทศ ได้งบฯซื้อรถประจำตำแหน่งราคาหลายล้านบาท นี่ยังไม่นับรวมค่าซ่อม ค่าน้ำมันที่ "ซด" กันมหาศาลต่างน้ำ
นอกจากนี้ ในเวลาเดินทางบิ๊ก ๆ ทั้งหลายยังได้ตั๋วเครื่องบินชั้นธุรกิจ และโรงแรมชั้นหนึ่ง กลายเป็นอภิสิทธิ์ชน จะสังเกตได้ว่าผู้บริหารรัฐวิสาหกิจบางประเทศบินไปไหนต่อไหนบ่อยจนเสมือนการ ทำงานที่รัฐวิสาหกิจนั้นเป็นงานอดิเรก ทุกวันนี้คงหาใครได้ยากที่จะใจแข็งถอนตัวจากอภิสิทธิ์มหาศาลเหล่านี้ เพราะต่างถือหลัก "น้ำขึ้นให้รีบตัก" หรือ "T who T it" (ทีใครทีมัน)
บาง ท่านอาจสงสัยว่า ทำไมวิสาหกิจขนาดใหญ่จึง "ปรนเปรอ" พนักงานได้อย่าง "น่าอิจฉา" ทั้งเงินเดือน สวัสดิการ โบนัส และอื่น ๆ ที่สูงกว่าวิสาหกิจทั่วไป เรื่องนี้คงไม่ใช่เพราะผู้บริหารของวิสาหกิจเหล่านั้นมีความเก่งกล้าสามารถ เหนือมนุษย์ที่ตรงไหน แต่เป็นเพราะวิสาหกิจเหล่านั้นเป็นวิสาหกิจ (กึ่ง) ผูกขาด เช่น สาธารณูปโภค สถาบันการเงิน หรือเป็นวิสาหกิจที่ได้รับสัมปทานจากรัฐ เป็นต้น
วิสาหกิจเหล่านี้ อาศัยต้นทุนที่ต่ำจากสถานะ (กึ่ง) ผูกขาดหรือจากการขุดทรัพยากรธรรมชาติมาใช้ ทำให้ได้กำไรงามจึง "โยน" ผลประโยชน์มาให้พนักงาน อย่างไรก็ตามจะสังเกตได้ว่าพนักงานของวิสาหกิจเหล่านี้ไม่ใช่ปัจจัยการผลิต หลักเลย ปัจจัยการผลิตหลักกลับเป็นอสังหาริมทรัพย์ เครื่องจักร หรือกระทั่งใบอนุญาตหรือสัมปทานต่างหาก พนักงานอภิสิทธิ์ชน เหล่านี้จึงเป็นแค่ "เบี้ย" เท่านั้น
อาจสรุปได้ว่าการกระทำในทำนอง โกงเช่นนี้ นอกจากไม่อาจสร้างแบรนด์ให้กับวิสาหกิจแล้ว ยังเป็นการกัดกร่อนทำลายแบรนด์ของตนเอง สังคมสูญเสียความ เชื่อมั่น ทำให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้รับความเสียหาย เงินปันผลก็อาจไม่ได้รับ หรือได้รับไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ที่สำคัญผู้บริโภคก็ต้องแบกรับภาระมากขึ้น เป็นต้น
ดังนั้น ต่อให้วิสาหกิจเหล่านี้ทำกิจกรรม CSR ประเภทอาสาทำดี ช่วยเหลือสังคม ปลูกป่า บริจาคกันเป็นบ้าเป็นหลังอย่างไรก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น นอกจากเป็นเพียงการ "แก้ผ้าเอาหน้ารอด" "ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ" หรือกระทั่ง "ลูบหน้าปะจมูก" หรือกลายเป็นการสร้างโอกาสให้กับผู้บริหารวิสาหกิจนั้น ๆ ได้สร้างชื่อเสียงเพื่อปูทางสู่การเมือง หรือสู่การมีสถานะชั้นสูงในสังคม
วิสาหกิจ ทั้งภาครัฐและเอกชนในทุกประเทศที่จะเติบโตอย่างยั่งยืนและมี CSR จึงต้องแก้ไขปัญหาการโกงในมิติของการให้สวัสดิการที่เกินพอดีนั่นเอง