จาก โพสต์ทูเดย์
เจตนารมณ์เหล่านี้ก็เพื่อเป็นระบบประกันความมั่นคงให้กับชีวิต ของสมาชิกรัฐสภา ผลงานที่ออกมาจะคุ้มค่ากับสิ่งที่ได้รับหรือไม่คงเป็นเรื่องที่สังคมต้อง เป็นผู้ตัดสิน
เรื่อง...ไพบูลย์ กระจ่างวุฒิชัย
กลายเป็นขี้ปากของสังคมอีกครั้งสำหรับการประกาศขึ้นเงินเดือนให้สมาชิก รัฐสภาทั้งส.ส.และส.ว. สะท้อนได้จากผลสำรวจของสวนดุสิตโพลกว่า 80 % แสดงความไม่เห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าว เพราะมองว่าเงินเดือนที่ได้รับก็พอสมควรอยู่แล้ว อีกทั้งยังมีเบี้ยประชุมและเบี้ยค่าตอบแทนอื่นๆ
แม้ว่าภาคการเมืองจะออกมาขอความเห็นใจจากสังคมในเรื่องนี้แต่ก็ไร้ผล เพราะด้านหนึ่งมาจากผลงานที่ไม่เข้าตาสังคมมากนัก หนำซ้ำสมาชิกรัฐสภายังแสดงพฤติกรรมไม่น่าเคารพออกมาอีก จนมีคำถามว่าทำงานคุ้มค่าเงินเดือนหรือไม่
ประเด็นหนึ่งที่บรรดาผู้ทรงเกียรติบอกว่ามีภาษีสังคมและรายจ่ายเยอะจน เงินไม่พอใช้ แต่ใช่ว่ารายได้ของสมาชิกรัฐสภาจะมาจากเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งเพียง อย่างเดียว เพราะยังมีสวัสดิการและสิทธิประโยชน์อื่นๆอีกจำนวนไม่น้อยด้วย ซึ่งเป็นการลดภาระรายจ่ายในทางอ้อมด้วยซึ่งมีบัญญัติเอาไว้สิทธิประโยชน์ของ ผู้เกี่ยวข้อวงงานรัฐสภาพ.ศ.2550
1.การเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ส.ส.และส.ว.จะ ได้รับค่าใช้จ่ายในการเดินทางจากรัฐสภาไปยังจังหวัดภูมิลำเนาของตัวเองตาม จำนวนจริง นอกจากนี้หากเป็นการเดินทางไปต่างประเทศชั่วคราวยังสามารถเบิกค่าเบี้ย งเลี้ยงได้สูงสุดไม่เกิน 4,500 บาท อัตราค่าเช่าที่พักสูงสูดไม่เกิน 10,000 บาท สำหรับค่าพาหนะในการเดินทางไปต่างประเทศยังสามารถเบิกค่าพาหนะเดินทางได้ เท่าที่จ่ายจริงและสามารถเดินทางโดยเครื่องบินได้ในระดับสูงสุด
2.การประกันสุขภาพของสมาชิกรัฐสภา สำนัก งานเลขาธิการวุฒิสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาจะเบิกจ่ายเงินงบประมาณเป็นค่าใช้ จ่ายในการประกันสุขภาพในอัตราไม่เกิน 20,000 บาทต่อคนต่อปีจนกว่าสมาชิกสภาพสิ้นสุดลง
3.กองทุนสงเคราะห์ผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภา ตามระเบียบว่าด้วยกองทุนสงเคราะห์ผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภาพ.ศ.2543 มีสิทธิขอรับเงินสงเคราะห์ค่ารักษาพยาบาลจากกองทุนได้ไม่เกินรายละ 10,000 ต่อปีโดยยื่นคำขอต่อสำนักงานกองทุนพร้อมกับแสดงใบเสร็จรับเงินค่ารักษา พยาบาล และในกรณีที่มีการเสียชีวิตสำนักงานกองทุนจะจ่ายเงินสงเคราะห์แก่บุคคลผู้มี สิทธิรับเงินโดยเร็วรายละ 50,000 บาท
ทั้ง 3 ด้านนี้ถือเป็นสวัสดิการสำคัญที่สมาชิกรัฐสภาจะได้รับ แต่ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้คณะกรรมาธิการกิจการสภาเคยมีแนวความคิดจะสร้างเมกะ โปรเจ็กต์ฝ่ายนิติบัญญัติมาแล้วด้วยการผลักดัน ร่างพ.ร.บ.บำเหน็จบำนาญ ส.ส. และ ส.ว.
โดยฐานของสำหรับหลักเกณฑ์การคำนวณบำเหน็จ บำนาญจะเทียบเคียงกับข้าราชการแต่กรณีอดีตสมาชิกรัฐสภาจะกำหนดให้ต้องมีอายุ การทำงาน 4 ปีขึ้นไปนับรวม 2 สมัย จะได้รับบำนาญ 20% ของเงินเดือน ณ วันที่สิ้นสุดตำแหน่งแต่ไม่นับรวมเงินค่าตำแหน่งและเบี้ยอื่นๆ สำหรับจำนวนอดีตสมาชิกรัฐสภาที่ยังมีชีวิตอยู่และเข้าหลักเกณฑ์ขณะนี้มีราว 860 คน
หลักคิดของการออกร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวคืออยากให้สังคมยอมรับว่าเราต้องให้ความมั่นคงทางชีวิตของ นักการเมืองพอสมควร ไม่ใช่พอไม่ได้เป็น ส.ส. แล้วก็ไม่มีราคาไม่ดูดำดูดี อย่างน้อยก็ควรให้มีเบี้ยยังชีพให้อยู่ในสังคมอย่างมีเกียรติ ที่สำคัญคือต้องการให้ ส.ส.-ส.ว. เป็นนักการเมืองอาชีพ ไม่ไปหาผลประโยชน์
แต่ปรากฏว่าจนถึงขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้ามากนักเพราะเกรงว่าจะถูกกระแส สังคมโจมตี ทำให้เรื่องดังกล่าวต้องค้างเติ่งไปก่อนเพื่อรอจังหวะเวลาและโอกาสที่เหมาะ สมในการทำให้เป็นรูปธรรมต่อไป
ทั้งหมดนี้จะเห็นได้ว่านอกกจากสมาชิกรัฐสภาจะได้รับเงินเดือนหลักแสนบาทแล้วยังมีสวัสดิการอื่นๆตามอีกไม่น้อย
เจตนารมณ์เหล่านี้ก็เพื่อเป็นระบบประกันความมั่นคงให้กับชีวิตของสมาชิก รัฐสภาเพื่อให้สามารถปฎิบัติหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติได้อย่างเต็มที่โดยไม่ ต้องไปกังวลเรื่องหลักประกันของชีวิต
แต่มาถึง ณ วันนี้ผลงานที่ออกมาจะคุ้มค่ากับสิ่งที่ได้รับหรือไม่คงเป็นเรื่องที่สังคมต้องเป็นผู้ตัดสินกันต่อไป
ปรับเงินเดือน - แต่ไม่ปรับตัว ดูอีกรอบ!เงินเดือนส.ส.ใหม่
จาก โพสต์ทูเดย์
สมาชิกรัฐสภามีเกือบ 600 คน ไม่น่าโง่เขลาเบาปัญญากันทั้งสภา น่าจะมีความคิดหลากหลาย ในการช่วยกันระดมความคิดออกกฎกติกาทำงานคุ้มกับการขึ้นเงินเดือน
โดย....ธรรมสถิตย์ ผลแก้ว
เรื่องของค่าตอบแทนบุคลากรภาครัฐ กลายเป็นประเด็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ในแวดวงการเมืองอีกครั้ง โดยก่อนหน้านี้มีการส่งสัญญาณผ่านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ไปแล้วว่าจะมีการปรับเงินเดือนข้าราชการพลเรือนในเดือนเม.ย.ปี 2554 ตามมาด้วยอาการเร่งเร้าจากกระทรวงมหาดไทยด้วยการปรับขึ้นเงินเดือนสมาชิก องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.)
แม้จะมีเสียงท้วงติงจากนายกฯให้พิจารณาอย่างรอบคอบ แต่ด้วยการขึ้นเงินเดือน อบต.เป็นอำนาจตามกฎหมายของรมว.มหาดไทยในการลงนาม เสียงท้วงติงนายกฯจึงเป็นแค่ลอยตามลม
