จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์
แบงก์ชาติชี้สงครามการค้ามีแนวโน้มยืดเยื้อและรุนแรงขึ้น ส่งผลให้ตลาดเงิน-อัตราแลกเปลี่ยนผันผวน เตือนผู้ประกอบการติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด ใช้เครื่องมือบริหารความเสี่ยง กรุงศรีคาดบาทสัปดาห์นี้ซื้อขายในกรอบ 30.50-30.85
นางจันทวรรณ สุจริตกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายยุทธศาสตร์และความสัมพันธ์องค์กร ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศมีแนวโน้มยืดเยื้อและทวีความรุนแรงขึ้น หลังสหรัฐฯ ประกาศตอบโต้รัฐบาลจีนที่ประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ รวมมูลค่ากว่า 75,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในจำนวนนี้ครอบคลุมสินค้าทางการเกษตร เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม เคมีภัณฑ์ สิ่งทอ และรถยนต์ ทำให้สถานการณ์การค้าระหว่างประเทศมีความเปราะบางมากขึ้น ประเทศไทยเป็นประเทศเล็กที่มีเศรษฐกิจเปิด คงหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อการส่งออกได้ยาก ทั้งนี้ ภาครัฐได้ช่วยประคองเศรษฐกิจในด้านการใช้จ่ายในประเทศ ทั้งการบริโภคและการลงทุนซึ่งจะช่วยยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ หากเทียบกับประเทศในภูมิภาค การส่งออกของไทยนับว่ายังกระจายตัว ทั้งในด้านประเทศคู่ค้าและด้านสินค้าที่ส่งออก ทำให้การลดลงของการส่งออกไทยในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาน้อยกว่าหลายๆ ประเทศ เช่น กลุ่มที่ส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์
ในด้านตลาดการเงินและอัตราแลกเปลี่ยน มีแนวโน้มผันผวนสูงและอ่อนไหวต่อข่าวสารที่เกิดขึ้น ดังนั้น ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญต่อการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน โดย ธปท. พร้อมร่วมมือกับกลุ่มต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมไทย และธนาคารพาณิชย์ ในการให้ความรู้เรื่องเครื่องมือต่างๆ แก่สมาชิกในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
กรุงศรีคาดบาทซื้อขายในกรอบ 30.50-30.85
กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มีมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาท ในสัปดาห์นี้ว่า มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 30.50-30.85 ต่อดอลลาร์ เทียบกับระดับปิดแข็งค่าที่ 30.73 ต่อดอลลาร์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นและพันธบัตรไทย 8.0 พันล้านบาท และ 2.7 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยฟื้นตัวขึ้นจากระดับต่ำสุดในรอบหลายปีท่ามกลางแรงขายของต่างชาติ ด้านเงินดอลลาร์อ่อนค่าเทียบสกุลเงินสำคัญส่วนใหญ่ ขณะที่สงครามการค้าปะทุขึ้นอีกรอบ โดยเหตุการณ์ที่จีนประกาศมาตรการตอบโต้สหรัฐฯ บดบังถ้อยแถลงของประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ซึ่งไม่ได้ให้คำมั่นว่าจะปรับลดดอกเบี้ยลงอย่างรวดเร็ว ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 2 ปี ขึ้นมาอยู่เหนืออัตราผลตอบแทนประเภท 10 ปี สะท้อนภาวะ Inversion ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่าเศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะถดถอย
ทั้งนี้ มองว่า เงินดอลลาร์จะยังเผชิญแรงขายจากคาดการณ์ว่า สงครามการค้าที่รุนแรงขึ้นจะกดดันให้เฟดลดดอกเบี้ยลงอย่างต่อเนื่อง แต่ความหวังเรื่องลดดอกเบี้ยอาจไม่เพียงพอที่จะทำให้นักลงทุนกลับเข้าซื้อสินทรัพย์เสี่ยงในช่วงนี้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจการค้าโลก ขณะที่ภาวะความผันผวนสูงจะยังคงมีแนวโน้มหนุนค่าเงินเยน โดยตลาดจับตาข้อขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนซึ่งกำลังเข้าสู่จุดแตกหัก หลังจากจีนระบุว่า จะเก็บภาษีสินค้าสหรัฐฯ วงเงิน 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่วน ปธน.ทรัมป์ ประกาศตอบโต้ว่าจะปรับขึ้นภาษีอีก 5% สำหรับสินค้านำเข้าจากจีน และเรียกร้องให้กลุ่มธุรกิจสหรัฐฯย้ายออกจากจีน นอกจากนี้ ผู้นำสหรัฐฯ ระบุว่า จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนวงเงิน 2.5 แสนล้านดอลลาร์เป็น 30% จาก 25% โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. และจะปรับขึ้นภาษีที่ได้วางแผนไว้สำหรับสินค้าจีนวงเงิน 3 แสนล้านดอลลาร์ เป็น 15% จาก 10% โดยจะเริ่มเก็บภาษีบางรายการตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. และเลื่อนการเก็บภาษีสินค้าดังกล่าวราวครึ่งหนึ่งไปเป็นวันที่ 15 ธ.ค.
สำหรับปัจจัยในประเทศ กระทรวงพาณิชย์รายงานตัวเลขส่งออกเดือน ก.ค. เติบโต 4.28% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นการขยายตัวครั้งแรกในรอบ 5 เดือน ขณะที่นำเข้าเพิ่มขึ้น 1.67% อย่างไรก็ดี หากไม่รวมการส่งออกทองคำ มูลค่าส่งออกจะหดตัว 0.4% ขณะที่ผลกระทบจากสงครามการค้าอาจทำให้จีนเร่งนำเข้าเพื่อผลิตก่อนการขึ้นภาษีจากสหรัฐฯ ทั้งนี้ ในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ ส่งออกลดลง 1.91% และการนำเข้าหดตัว 1.81% เรามองว่าความเสี่ยงด้านขาลงของเศรษฐกิจมีมากขึ้น และคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจตัดสินใจลดดอกเบี้ยลงอีกครั้งในปีนี้
#สำนักงานบัญชี,#สำนักงานสอบบัญชี,#ทำบัญชี,#สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน