เปิดอัตราภาษี'รถคันแรก'189 รุ่นได้คืนจากหมื่นถึงหลักแสน
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ในที่สุด โครงการรถคันแรกที่รัฐบาลหาเสียงไว้ก่อนหน้านี้ ก็ผ่านมติคณะรัฐมนตรี เมื่อ 13 ก.ย.ที่ผ่านมา และจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 16 ก.ย.2554-31 ธ.ค.2555 โดยมีเงื่อนไขหลักๆ คือ ต้องเป็นรถที่ผลิตในประเทศ และไม่ใช่รถจดประกอบ โดยมีรถยนต์ 2 กลุ่ม คือรถยนต์นั่งขนาดเครื่องยนต์ไม่เกิน 1,500 ซีซี และรถปิกอัพราคาจำหน่ายไม่เกิน 1 ล้านบาท และผู้ซื้อต้องมีอายุครบ 21 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป และต้องครอบครองรถก่อนเปลี่ยนมือเป็นเวลา 5 ปี
โดยมาตรการสนับสนุนของรัฐคือ การคืนเงินภาษีสรรพสามิตให้เต็มจำนวน แต่ไม่เกิน 1 แสนบาท ระยะเวลาการคืน 1 ปี หลังการซื้อ เริ่มคืน 1 ต.ค.2555
ทั้งนี้แม้จะกำหนดรถแค่ 2 กลุ่ม แต่สมาคมผู้ผลิตยานยนต์ไทยระบุว่า ครอบคลุมตลาด 70-80% เนื่องจากปัจจุบันปิกอัพมีสัดส่วนการขายประมาณ 50% ของรถยนต์ทั้งหมด ขณะที่รถยนต์นั่งขนาดไม่เกิน 1,500 ซีซี ทั้งหมดอยู่ในตลาด บี-คาร์ ซึ่งมีสัดส่วนการขายประมาณ 60% ของตลาดรถยนต์นั่ง แม้ว่าจะมีบี-คาร์ บางรุ่นที่ไม่เข้าข่ายรถคันแรก เนื่องจากเป็นรถนำเข้าจากต่างประเทศ เช่น โปรตอน ซาก้า, โปรตอน แซฟวี, เกีย พิคันโต, เกีย พิคันโต เค1, ซูซูกิ สวิฟท์ เป็นต้น แต่ก็มีสัดส่วนการขายที่ไม่สูงนัก อีกทั้งรถคันแรกยังครอบคลุมไปถึงรถอีโค คาร์ ที่เพิ่งเปิดตัวมาประมาณ 1 ปีครึ่ง และมีรถทำตลาด 2 ยี่ห้อ ก็กำลังมีอัตราการเติบโตที่ชัดเจน
ทั้งนี้จากการสำรวจของกรุงเทพธุรกิจ พบว่ามีรถที่เข้าข่ายโครงการรถคันแรกรวม 189 รุ่นย่อย โดยรถที่จะได้คืนเงินสูงสุดคือ บี คาร์ เนื่องจากเสียภาษีสรรพสามิตสูงสุด 25% ตามมาด้วย ปิกอัพ 4 ประตู ที่เสียภาษี 12% ซึ่งแม้ว่าจะเป็นอัตราที่ต่ำกว่าภาษีรถอีโค คาร์ ที่จัดเก็บ 17% แต่เนื่องจากมีราคาจำหน่ายที่สูงกว่า
รถที่ได้รับเงินคืนต่ำสุดระดับ 1-2 หมื่น คือ ปิกอัพ ตอนเดียว และปิกอัพตอนครึ่ง หรือปิกอัพมีแค็บ ซึ่งเป็นกลุ่มรถที่ส่วนใหญ่ผู้ซื้อนำไปใช้ประกอบอาชีพ มากกว่ารถ 4 ประตู ที่นิยมใช้แทนรถยนต์นั่งมากกว่าการบรรทุกสิ่งของ
"รถคันแรก".. สูญ3หมื่นล้านเพื่อใคร!
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
อรวรรณ หอยจันทร์
"ครม.ไฟเขียวคืนภาษีรถยนต์คันแรก ดีเดย์ 16 ก.ย.นี้ สรรพสามิตยันจ่ายเช็คเงินสดคืนทันที เริ่ม 1 ต.ค.คาดสูญภาษี 3 หมื่นล้านบาท"
พาดหัวข่าวนี้เกิดขึ้น หลังที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติโครงการ "รถคันแรก" ซึ่งเป็นมาตรการคืนภาษีสรรพสามิตรถยนต์คันแรก ไม่เกิน 1 แสนบาท สำหรับการซื้อรถยนต์ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยผู้ซื้อรถยนต์ต้องทำสัญญาซื้อขายตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย. 2554 - 31 ธ.ค. 2555 ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจะมีผู้ซื้อรถยนต์คันแรก 5 แสนคัน
เรื่องนี้อาจเป็นข่าวดี สำหรับใครหลายคน โดยเฉพาะคนที่ไม่เคยซื้อรถมาก่อน หรือแม้แต่คนที่เคยซื้อแล้ว แต่อยากออกรถใหม่ ย่อมมองเป็นโอกาสดี ไม่ต่างอะไรกับผู้ผลิตรถยนต์ทุกค่าย ที่แน่นอนต้องเห็นดีเห็นงามกับมาตรการนี้ เพราะเหมือนรัฐช่วยเร่งยอดขายรถในทางอ้อม ดูไปแล้วไม่ต่างอะไรกับความหมายว่า.. "รัฐยอมสูญรายได้ภาษี 3 หมื่นล้านบาท ช่วยเอกชนจัดแคมเปญขายรถใหม่"
ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นการช่วยขยายตลาดใหม่ให้กับผู้ผลิตและจำหน่ายรถยนต์ เพราะขยายไปยังผู้ที่ไม่เคยซื้อรถ ซึ่งไม่มีความจำเป็นเลย เพราะทุกปีตลาดรถยนต์นั่งส่วนบุคคล รวมรถเพื่อการพาณิชย์บางประเภท อย่างรถปิกอัพไปด้วย ปีต่อปียอดขายก็เฉียดล้านคันอยู่แล้ว ข้อมูลล่าสุดในปี 2553 ยอดขายรถตลาดรวมในไทยมีถึง 9 แสนคัน โดยรัฐไม่ต้องมีมาตรการส่งเสริมใดๆ
ทุกวันนี้แม้ไม่มีมาตรการส่งเสริม แต่ประชากรรถยนต์ในท้องถนนบ้านเราก็มีนับสิบล้านคันอยู่แล้ว ทั้งรถใหม่ป้ายแดงที่ขายดิบขายดีกันทั้งปี รถเก่าที่ใช้กันไม่มีปลดระวาง ไม่มีมาตรการภาษีมาบีบบังคับให้ลดใช้เหมือนในต่างประเทศ สะสมเป็นปัญหาการจราจรที่คับคั่ง เพราะปริมาณรถบนท้องถนน มีมากกว่าจำนวนถนนที่ให้บริการ ยังไม่รวมภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานเชื้อเพลิง การใช้พลังงานเชื้อเพลิง ที่รัฐพยายามลดการบริโภคน้ำมันลง แต่กลับส่งเสริมให้จำนวนประชากรรถยนต์เพิ่มขึ้น ด้วยการขยายฐานผู้ใช้รถกลุ่มใหม่เพิ่มขึ้น
นโยบายประหยัดพลังงาน ลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิง ส่งเสริมให้คนใช้บริการระบบขนส่งมวลชนสาธารณะ ดูจะสวนทางชัดเจนกับนโยบาย "รถคันแรก" เพราะมองมุมไหน มาตรการรถคันแรก ก็เป็นการส่งเสริมให้คนใช้รถมากขึ้น แม้กระทั่งคนที่ยังไม่แน่ใจว่าควรใช้รถ และมีกำลังซื้อที่เหมาะสมในการใช้รถส่วนตัวหรือไม่ เพราะมาตรการคืนภาษีสรรพสามิตสูงสุด 1 แสนบาทต่อการซื้อรถ 1 คัน ฟังแล้วเชิญชวนให้คนอยากซื้อ โดยไม่ดูรายละเอียดว่า อันที่จริงแล้วหลังถอดภาษีสรรพสามิตเหล่านั้นออกมา จะได้เป็นตัวเลขเงินคืนจริงเท่าใดด้วยซ้ำไป และหลังจากมีรถแล้ว จะมีภาระใดๆ ตามมาอีกนับไม่ถ้วน
ความเห็นส่วนตัวแล้ว มองว่ารัฐกำลังเดินหน้ามาตรการต่างๆ เพียงเพื่อให้ได้ชื่อว่า "รัฐบาล..ทำได้ตามที่ประกาศไว้" โดยไม่คำนึงเรื่องความเหมาะสม และไม่ได้พิจารณาว่าส่งผลดีต่อสังคมจริงหรือไม่ ไม่ฟังเสียงคัดค้านใดๆ เพราะต้องทำให้ได้ตามสัญญาเท่านั้น
วิธีคิดแบบนี้น่ากลัว เพราะยังมีอีกหลายมาตรการคงจะมีตามมา หากรัฐทำทุกอย่างเพื่อตอบโจทย์คำว่า "ให้" เพียงอย่างเดียว มองข้ามองค์ประกอบอื่นไปทั้งหมด ปัญหาจะตามมาแน่นอน แถมคำว่า "ให้" กับนโยบายนี้อดทำให้ตั้งคำถามไม่ได้ว่าระหว่าง "ประชาชน..กับ..คนขายรถ" ใครได้ประโยชน์ในมาตรการนี้มากกว่ากัน