ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐ
จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
โดย : วิทยากร เชียงกูล
ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจในสหรัฐ มีผลกระทบทั่วโลก เพราะสหรัฐเป็นประเทศที่มีขนาดทางเศรษฐกิจใหญ่ที่สุด มีผลิตภัณฑ์มวลรวมราว 20% ของ GDP ของทั้งโลก
ทั้งลงทุนและค้าขายกับต่างประเทศมากสหรัฐ ถลุงใช้พลังงานน้ำมัน ถ่านหิน ของตนเองจนเหลือน้อยต้องสั่งเข้ามา ภาคอุตสาหกรรมการผลิตของ เช่น รถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าในระยะ 30 ปีหลังแข่งขันสู้ประเทศอื่น เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ได้ลดลง สหรัฐยังพึ่งอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีสูงและผลิตอาหารและยาได้ส่วนหนึ่ง แต่หันไปหารายได้จากภาคบริการ โดยเฉพาะเรื่องการเงินการธนาคารที่มีการขยายตัวมากในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา กลายเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ทำกำไรได้สูงเพิ่มขึ้นมาก แต่ธุรกิจการเงิน คือ ตัวสร้างปัญหาวิกฤติในปัจจุบัน
สหรัฐขาดดุลการค้า คือ สั่งเข้ามากกว่าส่งออก แต่อยู่ได้ด้วยการเป็นหนี้ต่างประเทศ ในรูปของการพิมพ์พันธบัตรรัฐบาลมาขายให้ประเทศที่ได้เปรียบดุลการค้าสหรัฐ เช่น จีน ญี่ปุ่น ตะวันออกกลาง (โดยสหรัฐจ่ายดอกเบี้ยที่ต่ำมาก เช่น พันธบัตร 10 ปี จ่ายดอกเบี้ยผู้ถือธนบัตรเพียงปีละ 2.9% เป็นต้น) เงินดอลลาร์ที่ธนาคารกลางของสหรัฐพิมพ์ได้เอง และให้รัฐบาลสหรัฐกู้ได้กลายเป็นเงินสกุลหลักในการลงทุนและการค้าขายทั่วโลก ทำให้ประเทศต่างๆ ถือเงินดอลลาร์เป็นทุนสำรองมากสหรัฐยังสามารถกู้ธนาคารญี่ปุ่นได้ในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำด้วย เนื่องจากญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีเงินออมมาก และอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าประเทศอื่น
สหรัฐเป็นประเทศที่บริโภคมากกว่าออม นายทุนส่วนน้อย 10% แรกรวยขึ้นมาก แต่คน 90% ถูกกดขี่ค่าจ้างแรงงาน ทำให้รายได้สุทธิคงที่ (หักเงินเฟ้อแล้ว) ของแรงงานส่วนใหญ่ สามารถซื้อสินค้าได้จริงคงที่หรือลดลงตั้งแต่ปี ค.ศ. 1970 คนอเมริกัน (ประชากร 306 ล้านคน) อยู่ได้ด้วยการเป็นหนี้เพิ่มขึ้น หนี้ของครัวเรือนอเมริกันโดยเฉลี่ยสูงกว่ารายได้เฉลี่ยราว 2-3 เท่า
รัฐบาลสหรัฐขาดดุล ทั้ง 2 ทาง คือ ทั้งขาดดุลการค้าระหว่างประเทศ (สั่งเข้ามามากกว่าส่งออก) และ รัฐบาลขาดดุลงบประมาณ (รายจ่ายสูงกว่ารายรับของรัฐบาล) มาอย่างต่อเนื่อง ช่วงปี 2000-2006 สหรัฐขาดดุลบัญชีเดินสะพัด (ดุลการค้า+บริการ) ถึง 4 ล้านล้าน (4 Trillion) ดอลลาร์ รัฐบาลขาดดุลงบประมาณประจำปีของภาครัฐราว 2 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงเดียวกัน การขาดดุลงบประมาณประจำปีของสหรัฐส่วนหนึ่งมาจากการทำตัวเป็นจักรวรรดินิยม ใช้นโยบายปกป้องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจการเมืองของตนด้วยการลงทุนทางทหารอย่างมหาศาล
ระบบทุนนิยมสหรัฐเป็นระบบที่นายทุนส่วนน้อยกดขี่แรงงานและผู้บริโภคที่เป็นคนส่วนใหญ่ 2 ต่อ คือ 1. กดค่าจ้างแรงงาน (รวมทั้งส่งเสริมให้แรงงานอพยพมาที่สหรัฐมากขึ้น เพื่อจะได้มีซับพลายแรงงานมากขึ้นและโยกย้ายโรงงานไปจ้างแรงงานราคาต่ำกว่าในประเทศกำลังพัฒนา ทำให้คนตกงานเพิ่มขึ้นและแรงงานขาดอำนาจต่อรอง ต้องยอมรับค่าจ้างที่ต่ำ) และ 2. หากำไรจากดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมการลงทุนด้านการเงิน ยิ่งคนมีรายได้น้อย เครดิตไม่ดี ยิ่งต้องเสียดอกเบี้ยสูงกว่าคนรวย ธุรกิจธนาคาร สถาบันการเงินที่หากำไรจากดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม กำไร และคอมมิชชั่น จากการลงทุนเก็งกำไร จากหุ้น ตราสาร อนุพันธ์ ผลิตภัณฑ์การเงินต่างๆ ขยายตัวอย่างรวดเร็วมาก เมื่อ 30 ปีที่แล้ว วงเงินจากสินเชื่อและตราสารต่างๆ อยู่ที่ 2 ล้านล้านดอลลาร์ ปัจจุบันอยู่ที่ 596 ล้านล้านดอลลาร์ สูงกว่ายอดซื้อขายสินค้าจริงทั่วโลก 10 เท่า
ปัญหาวิกฤติด้านการเงินการธนาคารในสหรัฐเกิดขึ้นหลังจากที่ธนาคาร สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อบ้านให้ผู้กู้ที่รายได้ต่ำ อย่างหละหลวมและเป็นจำนวนมากเกินไป รวมทั้งยังเอาหนี้เหล่านั้นไปจัดรวมกันแล้วแปลงเป็นสินทรัพย์ ตราสาร ตราสารค้ำประกันหนี้ และผลิตภัณฑ์การเงินประเภทต่างๆ ไปขายต่อกันเป็นทอดๆ เพื่อได้เงินเอาไปปล่อยกู้เพิ่ม ทำให้มีการปล่อยกู้และการขายต่อตราสารการเงินประเภทต่างๆ รวมกันแล้วมีมูลค่าสูงกว่าสินทรัพย์เดิมหลายเท่ามาก การขายต่อขายกันไปมาในหมู่ธนาคาร สถาบันการเงินและต่างคนต่างก็คิดว่าตนเองเสี่ยงน้อย เพราะขายต่อให้คนอื่น รวมทั้งมีการค้ำประกันเป็นการลดความเสี่ยงของตนแล้ว แต่ถ้าคิดทั้งระบบแล้ว คือ การเพิ่มความเสี่ยงเพราะธนาคาร สถาบันการเงินซื้อและค้ำประกันในหมู่พวกเดียวกันนั่นเอง
หลังจากที่สหรัฐเกิดวิกฤตการณ์ประชาชนไม่สามารถผ่อนส่งหนี้บ้านได้ตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิปี ค.ศ. 2007 ภายในปีเศษๆ ราคาบ้านตกต่ำอย่างมาก ผู้กู้ผ่อนส่ง 13.6 ล้านคน (17.3% ของผู้มีบ้านอยู่ในสหรัฐ) ต้องส่งบ้านที่ตอนต้นปี ค.ศ. 2009 มีมูลค่าต่ำกว่าตอนที่เขาทำสัญญาซื้อราวครึ่งหนึ่ง หลายคนเจอปัญหากลืนไม่เข้าคายไม่ออก จะขายก็ขาดทุนมาก หรือขายไม่ออกเพราะไม่มีคนซื้อ จะผ่อนส่งต่อ ก็มีปัญหาการชำระหนี้ เพราะบางคนตกงาน รายได้ลด หรือมีปัญหาส่วนตัวอื่นๆ เช่น หย่าร้าง เลิกรากัน ไม่มีคนช่วยผ่อนส่ง
เศรษฐกิจสหรัฐเป็นเศรษฐกิจที่ขึ้นอยู่กับภาคการค้าและบริการ (ซึ่งรวมทั้งเรื่องการเงิน) สูงกว่าภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งเกษตรมาก หลังเกิดวิกฤติการเงิน ภายในปีกว่าๆ คนอเมริกันตกงานไปแล้ว 3.5 ล้านคน ปี 2007 8 บ้านถูกสถาบันการเงินยึดไปราว 3.8 ล้านหลัง และคาดการณ์ว่าจากเดือนกันยายน 2008-ปี 2012 จะมีการยึดบ้านที่คนกู้ไม่มีเงินจะส่งถึง 6.4 ล้านหลัง เมื่อฟองสบู่แตก บ้านและหุ้นราคาตกต่ำลงราวครึ่งหนึ่ง ทำให้คนมีทรัพย์สินและรายได้ลดลงอย่างฮวบฮาบ ผู้บริโภคกำลังซื้อลดลง ธนาคารยึดไปก็ไม่สามารถขายต่อทำกำไรได้เหมือนในภาวะปกติ ทั้งธุรกิจและประชาชนจึงมีฐานะตกต่ำตามๆ กันเป็นลูกโซ่
วิกฤติเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯเข้าสู่ปีที่ 5 แล้ว แม้รัฐบาลจะใช้เงินภาครัฐไปอัดฉีดอุ้มคนรวย คือ ธนาคาร สถาบันการเงิน รวมทั้งอุตสาหกรรมรถยนต์ ธุรกิจบ้านมาก ช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้ในระดับหนึ่ง แต่ปัญหาการว่างงานยังสูงในระดับ 16% เมื่อเดือนที่แล้ว รัฐบาลโอบามา ขอเพิ่มเพดานในการกู้หนี้ภาครัฐเพิ่มขึ้นเพื่อจะได้ไม่ต้องพักชำระหนี้ โดยเพียงแต่จะลดค่าใช้จ่ายบางอย่าง เช่น ค่าใช้จ่ายทางทหารและสวัสดิการสังคม แต่ ไม่ได้มีโครงการว่าจะหาเงินมาใช้หนี้ได้อย่างไร เพราะนักการเมืองสหรัฐหาเสียงแบบไม่ยอมเพิ่มภาษีคนรวยทำให้บริษัทจัดอันดับเครดิต เอสแอนด์พี ลดอันดับเครดิตของรัฐบาลสหรัฐลง ทำให้รัฐบาลสหรัฐมีต้นทุนในการกู้สูงขึ้น เพราะกลายเป็นลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น ความจริงรัฐบาลสหรัฐจะแก้ปัญหาได้ดีกว่านี้ ถ้ากล้าปฏิรูปเก็บภาษีคนรวยมากขึ้น ลดค่าใช้จ่ายทางทหารลงอย่างจริงจัง และช่วยเหลือพัฒนาแรงงานให้มีประสิทธิภาพและรายได้สูงขึ้น
ประเทศไทยไม่ควรดำเนินนโยบายอุ้มคนรวยแบบสหรัฐ ควรถือ ทุนสำรองส่วนที่เป็นเงินดอลลาร์ลดลง และควรลดการพึ่งพาการส่งออกลง ปฏิรูปคนและเศรษฐกิจภายในประเทศให้เกิดประสิทธิภาพ เป็นธรรมและพัฒนาได้อย่างยั่งยืนเพิ่มขึ้น พึ่งตลาดภายในประเทศเพิ่มขึ้น ประเทศไทยจึงจะไม่เกิดปัญหาแบบกรีซและประเทศทุนนิยมอื่นๆ