เปิดรายงาน!ผู้แทนยูเอ็นถกส.ว.ชงแก้มาตรา112-ส.ว.แย้งไม่ขัดหลักสากล
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ผู้แทนยูเอ็น หารือกับส.ว.เสนอให้มีการแก้ไขมาตรา 112อ้างบทลงโทษที่รุนแรงและมีเนื้อหาที่ไม่ชัดเจนและกว้างเกินไป ด้านส.ว.แย้งไม่ขัดหลักสากล
สรุปประเด็นการประชุมหารือระหว่าง คณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา
คณะกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภาคณะกรรมาธิการการศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริต และเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา คณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาติดตามการบังคับใช้กฎหมายและมาตรการเกี่ยวกับ การพิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์ วุฒิสภา
กับMr. Frank La Rue เสนอรายงานพิเศษแห่งองค์การสหประชาชาติ...ว่าด้วยการปกป้องและพิทักษ์สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการแสดงออก
เมื่อวันพุธที่ 11 มกราคม 2555 เวลา 15.00 นาฬิกา ณ ห้องประชุมกรรมาธิการ หมายเลข 301 อาคารรัฐสภา 2
------------------------
เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2551 Mr. Frank La Rue เสนอรายงานพิเศษแห่งองค์การสหประชาชาติด้านการปกป้องและพิทักษ์สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการแสดงออก ได้กล่าวถ้อยแถลง
ณ นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เรียกร้องให้รัฐบาลไทยจัดเวทีสาธารณะรับฟังความคิดเห็น เพื่อดำเนินการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112“ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี” และ พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ของไทย พร้อมเสนอการให้ความร่วมมือและการสนับสนุนแก่ประเทศไทยในการดำเนินการแก้ไขกฎหมายดังกล่าว เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนสากล
จากถ้อยแถลงดังกล่าว Mr. Frank La Rue ได้อธิบายเหตุผลในมุมมองของตนเกี่ยวกับความจำเป็นที่ประเทศไทยควรแก้ไขกฎหมายเรื่องการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ของไทย โดยแสดงถึงมุมมองต่อกฎหมายอาญามาตรา 112 ของไทย ซึ่งเห็นว่ามีบทลงโทษที่รุนแรงและมีเนื้อหาที่ไม่ชัดเจน คลุมเครือ และกว้างเกินไป อีกทั้ง ยังปรากฏให้เห็นถึงกรณีการใช้กฎหมายดังกล่าวไม่ตรงตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย จึงควรพิจารณาแก้ไข โดยให้ระบุลักษณะของถ้อยคำ หรือลักษณะของความคิดเห็นที่เข้าข่ายเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทให้ชัดเจนยิ่งขึ้นเพื่อเป็นหลักเกณฑ์ในการพิจารณาพิพากษาคดีความในชั้นศาล ให้เป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ ยุติธรรม บนพื้นฐานของหลักการที่เป็นมาตรฐานสากล
โดยคำตัดสินดังกล่าวจะแสดงให้นานาชาติเห็นได้ว่าประเทศไทยมิได้จำกัดสิทธิ และเสรีภาพของประชาชนในการแสดงความคิดเห็น นอกจากนี้ ประเทศไทยยังเป็นภาคีใน “กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง” (International Covenant on Civil and Political Rights) นับตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1996 ซึ่งเป็นพันธกรณีผูกพันประเทศไทยต้องปฏิบัติตามกติกาดังกล่าว
ในโอกาสที่ Mr. Frank La Rue ได้รับเชิญไปกล่าวปาฐกถาในที่ประชุมเชิงวิชาการ ณ ประเทศสิงคโปร์ ระหว่างวันที่ 14-15 มกราคม 2555 จึงได้ถือโอกาสนี้เดินทางมาประเทศไทย และขอพบผู้แทนสมาชิกวุฒิสภาไทย ในวันที่ 11 มกราคม 2555 เพื่อหารือเกี่ยวกับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ในประเด็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยมีคณะกรรมาธิการวุฒิสภาที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมหารือ จำนวน 4 คณะ ได้แก่ (1) คณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา (2) คณะกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภา (3) คณะกรรมาธิการการศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริต และเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา และ (4) คณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาติดตามการบังคับใช้กฎหมายและมาตรการเกี่ยวกับการพิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์ วุฒิสภา
ในการนี้ ฝ่ายวุฒิสภาไทยได้กล่าวถึงที่มาของกฎหมายโดยทั่วไป ซึ่งไม่ว่ากฎหมายใดก็ตามย่อมตราขึ้นบนพื้นฐานของแหล่งที่มา 4 แหล่งสำคัญ ได้แก่ (1)จารีตประเพณี (2) คำพิพากษาของศาล (3) ความเห็นของนักนิติศาสตร์ และ (4) หลักกฎหมายทั่วไป ซึ่งกฎหมายของประเทศต่าง ๆ ย่อมเชื่อมโยงกับสภาพสังคม วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ความเป็นมาของแต่และประเทศด้วย ดังนั้น องค์การสหประชาชาติหรือองค์การระหว่างประเทศต่าง ๆ ที่จะให้ข้อเสนอแนะด้านกฎหมายแก่ประเทศใด ควรศึกษารายละเอียดด้านประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และความเป็นมาของประเทศนั้นอย่างละเอียดด้วย มิฉะนั้นจะถือเป็นการก้าวก่ายหรือแทรกแซงกิจการภายในของประเทศนั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแสดงความคิดเห็นหรือการเสนอแนะเกี่ยวกับมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญาไทย ซึ่งเกี่ยวข้องกับการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์จากการดูหมิ่นเหยียดหยามหรืออาฆาตมาดร้าย ซึ่งองค์การระหว่างประเทศ เช่น องค์การสหประชาชาติต้องให้ความระมัดระวังในเรื่องนี้ เนื่องจากประเทศไทยให้ความสำคัญต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และประชาชนชาวไทยจงรักภักดี และเทิดทูนพระมหากษัตริย์ ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ได้ทำให้ประเทศไทยเป็นชาติอิสระไม่ตกเป็นเมืองขึ้นของชาติใดในยุคล่าอาณานิคม และพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์ไทยที่ได้ทรงปฏิบัติตลอดมาล้วนช่วยให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
Mr. Frank La Rue ชี้แจงว่าตนไม่ได้มีเจตนาจะลบหลู่สถาบันพระมหากษัตริย์ของไทย เพียงแต่ให้ข้อเสนอแนะในกระบวนวิธีการปฏิบัติตามมาตรา 112 ให้เป็นไปตามหลักกติกาสากลด้านสิทธิมนุษยชน แต่ยอมรับว่าสถาบันพระมหากษัตริย์คือเครื่องหมายแสดงถึงความมั่นคงของชาติด้วย
ฝ่ายวุฒิสภาไทยได้อธิบายเพิ่มเติมว่ามาตรา 112มีมาตั้งแต่ ค.ศ. 1942 และเป็นกฎหมายอาญาทั่วไปมิได้ขัดต่อกติกาสากล เป็นกฎหมายภายในที่กำหนดขึ้นเพื่อใช้บังคับเฉพาะในประเทศไทย และเป็นที่ยอมรับของประชาชน ไม่มีประชาชนไทยคนใดต่อต้านว่ากฎหมายดังกล่าวลิดรอนสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นหรือการแสดงออก นอกจากนี้ บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 45 ได้รับรองเสรีภาพของบุคคลในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น ทั้งนี้ เสรีภาพในการกระทำดังกล่าวต้องไม่กระทบต่อความมั่นคงของรัฐ และไม่ละเมิดสิทธิ เสรีภาพ เกียรติยศ ชื่อเสียง ของบุคคลอื่น ถ้า Mr. Frank La Rue ยอมรับว่าสถาบันพระมหากษัตริย์คือเครื่องหมายแสดงถึงความมั่นคงของชาติ ย่อมต้องเป็นที่เข้าใจด้วยว่าการที่บุคคลดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ย่อมเป็นการกระทำที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติเช่นกัน จากนั้น ฝ่ายวุฒิสภาไทยได้สอบถามถึงแรงบันดาลใจของ Mr. Frank La Rue ที่ให้ความสนใจในประเด็นกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของไทย ทั้งที่ขอบเขตการทำงานขององค์การสหประชาชาติยังมีประเด็นอื่น ๆ ที่มีความสำคัญและชัดเจนกว่าเรื่องมาตรา 112
ยูเอ็น-ส.ว.ถกคดี"อากง"
Mr. Frank La Rue กล่าวว่าตนได้รับทราบข้อมูลจากคำพิพากษาของศาลอาญาไทยที่ตัดสินจำคุกชายไทยสูงอายุ 60 ปี เป็นระยะเวลา 20 ปี ในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาทและผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ในกรณีที่ชายคนดังกล่าว ใช้โทรศัพท์มือถือส่วนตัวพิมพ์และส่งข้อความอันเป็นการจาบจ้วง ดูหมิ่นพระเกียรติยศ และหมิ่นประมาทใส่ความให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทย ซึ่ง Mr. Frank La Rueเห็นว่าเป็นบทลงโทษที่รุนแรงเกินไป
ฝ่ายวุฒิสภาไทยอธิบายข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการพิจารณาโทษในคดีดังกล่าวว่า สาเหตุที่ถูกจำคุก 20 ปี นั้น เนื่องจากศาลพิจารณาว่าการกระทำดังกล่าวเป็นลักษณะต่างกรรมต่างวาระ คือ กระทำความผิด 4 กรรม ลงโทษกระทงความผิดละ 5 ปี และการพิจารณาโทษนั้นเป็นไปตามหลักฐานข้อความที่บุคคลผู้กระทำความผิดได้กล่าวดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ในทางเสียหาย ในกรณีนี้ แม้ผู้ถูกหมิ่นประมาทเป็นเพียงบุคคลธรรมดาศาลก็ย่อมพิจารณาโทษในลักษณะเช่นเดียวกัน เช่นเดียวกับกฎหมายอื่นที่ตราขึ้นเพื่อคุ้มครองบุคคลธรรมดา มิได้เป็นกฎหมายที่ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน หรือเป็นการลิดรอนเสรีภาพการแสดงความคิดเห็นแต่อย่างใด
ในกรณีที่ Mr. Frank La Rue ชี้แจงขัดต่อข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามรายงานที่ให้ความเห็นให้ประเทศไทยปรับแก้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2554 ณ นครเจนีวา แต่คำพิพากษาของคดีที่ Mr. Frank La Rue อ้างถึงว่าเป็นแรงบันดาลใจให้มีการแก้กฎหมายดังกล่าวไม่เป็นความจริง เนื่องจากศาลอาญาได้อ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2554 ซึ่งแสดงให้เห็นว่า Mr. Frank La Rue มิได้พูดความจริงและแนวคิดการแก้กฎหมายนี้ได้มีมาก่อนแล้ว แรงบันดาลใจอาจมาจากปัจจัยอื่น
Mr. Frank La Rue กล่าวยอมรับว่าการทำหน้าที่ของตนในองค์การสหประชาชาติ และต้องเดินทางไปตรวจสอบแนวทางการปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชน และหลักอื่น ๆ ตามข้อตกลงระหว่างประเทศ ในประเทศต่าง ๆ เช่น ประเทศไทย ทำให้ตนอยู่ในสถานะ “เหยื่อทางการเมือง” (Political Victim)
ขรก.ค้านนิติราษฎร์ไปให้ความรู้ทางวิชาการ อ้างเหตุแก้ม.112
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ข้าราชการ โวยกรรมการสิทธิฯเชิญ"นิติราษฎร์"อบรมข้าราชการใหม่ไม่เหมาะสม เหตุแนวคิดแก้ม.112 ด้านผอ.สำนักวินิจฉัยคดี แจงอย่าโยงเข้าหากัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระว่างวันที่ 13-14 ม.ค. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.)โดยสำนักวินิจฉัยคดี ได้จัดอบรมปฐมนิเทศข้าราชการบรรจุใหม่และเจ้าหน้าที่ของสำนักงาน โดยเชิญ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในกลุ่มนิติราษฎร์ เช่น นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ และ นายปิยบุตร แสงกนกกุล มาเป็นวิทยากร มาบรรยายพิเศษ ซึ่งปรากฏกลุ่มข้าราชการบางส่วนเห็นว่า มีความไม่เหมาะสม เนื่องจากอาจารย์ในกลุ่มนิติราษฏร์มีแนวคิดชัดเจนที่จะแก้ไขประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา112 โดยเฉพาะนายปิยบุตร ที่ได้เสนอความเห็นในการเสวนาที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเมื่อวันที่ 28 ธ.ค.2554 ในลักษณะจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันเบื้องสูงอย่างชัดเจน จึงได้มีการส่งจดหมายร้องเรียนมายังสื่อมวลชน
โดยจดหมายระบุว่า การเชิญกลุ่มนิติราษฎร์มาให้ความรู้กับข้าราชการบรรจุใหม่และเจ้าหน้าที่ เป็นการขัดแย้งกับ พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการรัฐสภา พ.ศ.2554 มาตรา 37 (3) ที่กำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะเข้ารับราชการเป็นข้าราชการรัฐสภาสามัญว่า ต้องเป็นผู้เลื่อมใสในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็น ประมุขด้วยความบริสุทธิ์ใจ
นายโสภณ ตะติโชติพันธ์ ผอ.สำนักวินิจฉัย ได้ชี้แจงว่า การที่มีคนไม่แห็นด้วย ถือว่า เป็นความคิดที่แตกต่าง เป็นความเห็นส่วนบุคคล แต่นำเรื่องส่วนรวมมาโยงเข้าหากัน ซึ่งการอบรมในครั้งนี้ไม่ใช่เชิญแค่อาจารย์กลุ่มนิติราษฏร์ ยังได้มีการเชิญตัวแทนจากศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ มาเป็นวิทยากรให้ความรู้ โดยเฉพาะเรื่องการส่งคดีต่างๆที่ที่กสม.รับมาพิจารณา โดยเน้นเรื่องขององค์ความรู้เป็นหลัก ไมได้เกี่ยวข้องกับการแก้กม.ใด ๆแม้แต่ กม.ประมวลอาญา มาตรา 112 ใครจะเห็นแตกต่างอย่างไรก็เป็นเรื่องส่วนบุคคล ซึ่งตนก็รู้ดีว่า ใครเป็นคนทำเรื่องดังกล่าว อย่าคิดไปฝ่ายเดียว การเชิญมาแต่ละคนเนื่องจากเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายแต่ละด้าน อย่านำเอาความขัดแย้งความคิดทางการเมืองมาเกี่ยวข้อง และขณะนี้ก็ไม้ได้มีการเคลื่อนไหวใดของขรก.กสม. การอบรมก็จะดำเนินการไปตามกำหนดการ
ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า ทั้งนี้นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ จะบรรยายเรื่อง สิทธิมนุษยชนตามพันธกรณีระหว่างประเทศ ตามรัฐธรรมนูญ และตามพ.ร.บ.คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ ขณะที่นายปิยบุตร แสงกนกกุล บรรยายเรื่องการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนโดยองค์กรศาลสิทธิมนุษยชนยุโรป
สยามประชาภิวัฒน์ต้านแก้รัฐธรรมนูญ50-มาตรา112
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
กลุ่ม"สยามประชาภิวัฒน์"เตรียมเคลื่อนไหวกระตุกสังคม ชี้ทุนการเมืองผูกขาดระบบเลือกตั้ง ประกาศไม่เห็นด้วยแก้รัฐธรรมนูญ-ยันยึดหลักม.112
วันนี้(13ม.ค.)สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)กลุ่ม"สยามประชาภิวัฒน์"มีกลุ่มคณะอาจารย์ 26 คน นำคณะโดย นายบรรเจิด สิงคะเนติ คณบดีคณะนิติศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ นายจรัส สุวรรณมาลา คณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายคมสัน โพธิ์คง อาจารย์คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ในนามกลุ่ม"สยามประชาภิวัฒน์" ได้แถลงประกาศอุดมการณ์ของกลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ โดยระบุเจตนารมณ์ที่จะสร้างความรู้และขับเคลื่อนประเทศไทย ภายใต้การคุ้มครองปัจเจกบุคคล การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาคเท่าเทียมกัน ของประชาชน ตามหลักนิติรัฐภายใต้หลักภราดรภาพ และความมั่งคงของสังคม รวมทั้งส่งเสริมระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง ไม่เปิดช่องให้เกิดการผูกขาดอำนาจในสังคมไทย
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ ได้ตอบคำถามยืนยันหลักการในประเด็นต่างๆ อาทิ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ยังเห็นว่าอาจเป็นความไม่เหมาะสมที่จะมีการแก้ไขในขณะนี้เนื่องจากมองว่าสถานการณ์กำลังเปราะบางและเป็นชนวนความขัดแย้งทางสังคม และเมื่อพิจารณาในเนื้อหาของรัฐธรรมนูญกลับพบว่ายังไม่ได้สร้างปัญหาให้กับประชาชนเลย จะมีเพียงแต่กลุ่มการเมืองเท่านั้นที่จะได้รับผลกระทบในส่วนนี้ ขณะที่ในส่วนของการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112นั้น กลุ่มเห็นด้วยกับการคงหลักการดังกล่าวไว้อยู่ และมองว่าสถาบันกษัตริย์ไม่ใช่ปัญหาของประชาธิปไตยหรือเป็นเรื่องล้าหลัง ขณะเดียวกันสถาบันเองก็ปรับตัวโดยการลดบทบาทสถาบันอยู่แล้ว นอกจากนี้กลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ยังเป็นห่วงเรื่องการคือการใช้เสรีภาพเกินขอบเขต โดยเฉพาะการชุมนุมทางการเมืองในอนาคตที่อาจมีการใช้มวลชลกดดันในรูปแบบต่างๆ และหากมีการใช้เสรีภาพแบบโดดๆเกินขอบเขตปราศจากวินัยจะสุ่มเสี่ยงเกิดจลาจลในอนาคต
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากนี้กลุ่มฯยังมองว่าขณะนี้มีการลดรูปแบบประชาธิปไตยให้เท่ากับเพียงการเลือกตั้ง โดยผู้ที่ชนะการเลือกตั้งจะอ้างว่าชนะมาแล้ว จะทำอย่างไรก็ได้ ดังนั้นต้องแสดงให้เห็นว่าการเลือกตั้งไม่ใช่ประชาธิปไตยเพียงแบบเดียว แต่การเลือกตั้งนั้นจำเป็นและเป็นเพียงรูปแบบในการเข้าถึงอำนาจทางหนึ่งเท่านั้น ทั้งนี้การให้นิยามประชาธิปไตยเพียงการเลือกตั้งจะนำมาซึ่งกลุ่มทุนผูกขาดที่แฝงมาจากการเลือกตั้งเท่านั้น
ทั้งนี้นายทวีศักดิ์ สูทกวาทิน ในฐานะแกนนำอาจารย์กลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ กล่าวว่า กลุ่มได้มีการกำหนดจุดยืนต่อสถานการณ์การเมืองปัจจุบัน 5 ข้อ ประกอบไปด้วย 1.การปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันที่มีคุณค่ายิ่งต่อสังคมและระบบการเมืองไทย 2.การสนับสนุนการปฏิรูประบอบการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมไทย เพื่อขจัดอิทธิพลของเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุน 3.การขจัดวิกฤตเสรีภาพที่มีการใช้สิทธิ์ และเสรีภาพเกินขอบเขตจนนำไปสู่สังคมแบบอนาธิปไตย 4.การขจัดวิกฤตความคิด และความเชื่อที่ว่า สูตรสำเร็จของประชาธิปไตยคือการเลือกตั้งเท่านั้น 5.การขจัดวิกฤตในด้านศีลธรรม และจริยธรรม ที่ก่อให้เกิดการผูกขาดอำนาจ และการทุจริตคอร์รัปชันอย่างกว้างขวาง ทั้งนี้กลุ่มจะเดินหน้าทำกิจกรรมเพื่อสร้างองค์ความรู้ให้แก่สังคมอย่างต่อเนื่อง โดยจะเริ่มจากการเสวนาในมหาวิทยาลัยต่างๆ อาทิ นิด้า มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช รวมถึงการใช้โซเชี่ยลมีเดียเผยแพร่ความคิดด้วย
ส่วนนายบรรเจิด กล่าวว่า การรวมตัวกันของกลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อประกาศตัวอยู่ตรงข้ามกับกลุ่มนิติราษฎร์ แต่ต้องประกาศจุดยืนเพื่อให้ความรู้ประชาชนอย่างครบถ้วนและถูกต้องสมบูรณ์ และไม่เป็นการเสนอแนวคิดเพียงด้านเดียว เพราะแนวคิดกลุ่มการเมืองบางกลุ่มอาจมองพื้นฐานการเมืองของไทยในปัจจุบันผิดไป และขณะนี้สิ่งที่เป็นปัญหาของประชาธิปไตยไทยไม่ใช่อำนาจเผด็จการทหารอย่างที่นักวิชาการบางกลุ่มพยายามพุ่งเป้า แต่คือเผด็จการทางการเมืองในระบบทุนซึ่งห่อหุ้มอยู่ในเสื้อคลุมของประชาธิปไตยมากกว่า ดังนั้นกลุ่มจึงต้องออกมาชี้นำสังคมและให้ข้อคิดเห็นที่ถูกต้องและครบถ้วน ไม่ใช่เสนอข้อมูลด้านเดียว
ผู้สื่อข่าวถามถึงความเชื่อมโยงกันระหว่างกลุ่มสยามประชาภิวัฒน์กับกลุ่มเสื้อหลากสี นายคมสันต์ กล่าวปฏิเสธว่า กลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเสื้อหลากสี โดยอาจจะมีแนวทางบางส่วนที่เห็นตรงกันเท่านั้น และการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักวิชาการครั้งนี้แตกต่างจากสถานการณ์ก่อนรัฐประหาร แต่ต้องการเสนอความคิดหลังเฝ้าดูสังคมมานานด้วยความอึดอัด เพราะมีนักวิชาการบางกลุ่มทำหน้าที่เกินกว่าวิชาการ แต่มีพฤติกรรมเหมือนนักปฏิวัติที่ต้องการเปลี่ยนแปลงสังคม
ถามนิติราษฎร์:แก้112โดยไม่แก้112ได้หรือไม่?
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
คำถามถึงนิติราษฎร์: แก้ 112 โดยไม่แก้ 112 ได้หรือไม่ ? โดย 'วีรพัฒน์ ปริยวงศ์' นักกฎหมายอิสระ
1.ความโชคดีของนิติราษฎร์ ?
ผมเห็นว่าคณะนิติราษฎร์ค่อนข้างโชคดี เพราะตั้งแต่เสนอเรื่อง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 มานั้น ดูท่าจะยังไม่มีผู้ใดสามารถนำเสนอ “เหตุผลเชิงนิติศาสตร์” มาหักล้างนิติราษฎร์อย่างตรงไปตรงมาได้เลย
ย้ำนะครับ ผมไม่ได้กำลังบอกว่าผมเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับเรื่อง มาตรา 112 ที่นิติราษฎร์เสนอนะครับ แต่ผมกำลังตั้งข้อสังเกตว่า การทักท้วงหรือต่อต้านนิติราษฎร์ มักอ้างเหตุผลที่ไม่ตรงประเด็น ไม่ว่าเหตุผลนั้นจะน่าฟังหรือ “โดนใจ” เพียงใดก็ตาม
บางท่านอ้างว่า นิติราษฎร์ต้องการล้มเจ้า เป็นพวกจาบจ้วงสถาบัน...
ลองอ่านข้อเสนอนิติราษฎร์ให้ดีอีกครั้งนะครับ นิติราษฎร์ กำลังพยายามสร้างสถานะความคุ้มครองพิเศษแบบใหม่ คือ “ความผิดเกี่ยวกับพระเกียรติของพระมหากษัตริย์...” (ซึ่งความผิดแบบนี้ไม่เคยมีมาก่อนในประมวลกฎหมายอาญา) กล่าวคือ นิติราษฎร์ กำลังทำให้ มาตรา 112 ไม่เป็นเรื่องของ “ความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร” อีกต่อไป แต่เป็นเรื่อง “เกียรติยศศักดิ์ศรีของบุคคล” หากมองในมุมหนึ่ง ผลที่ตามมาก็คือ การพูดจาแตะต้อง “สถาบัน” (ในที่นี้ผมหมายถึงผู้ที่ได้รับความคุ้มครองตาม มาตรา 112) อาจเป็นความผิดที่ชัดเจนและฟ้องกันง่ายมากขึ้น
กล่าวคือ ไม่มีข้อโต้แย้งในการตีความกฎหมายว่าใครจะจาบจ้วงสถาบันจนกระทบถึง “ความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร” หรือไม่ เพราะบัดนี้ข้อเสนอนิติราษฎร์อาจทำให้ตีความได้ว่า หากกระทบ “พระเกียรติ” หรือ “ชื่อเสียง” ก็เป็นความผิดแล้ว (เว้นแต่จะมีเหตุยกเว้นความผิด เช่น ติชม แสดงความเห็นโดยสุจริต แต่นิติราษฎร์ก็ย้ำอีกว่าเพื่อรักษาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ ฯลฯ) จึงปรากฏชัดว่านิติราษฎร์ไม่ได้ต้องการล้มเจ้า
บางท่านอ้างว่า นิติราษฎร์รับงานจากคุณทักษิณ...
ลองคิดให้ดีนะครับ ถ้าคุณทักษิณหวังไม่ดีต่อประเทศอย่างที่บางท่านเชื่อ ผมคิดว่าวิธีที่คุณทักษิณจะกลับมาเรืองอำนาจได้ง่ายและสะดวกที่สุด ก็คือการ "เกี้ยเซียะ" หรือเข้าไปรอมชอมประสานผลประโยชน์กับกลุ่มอำนาจเก่า หรืออย่างน้อยก็อย่าไปทำอะไรขัดใจกัน จะได้ให้อภัย ร่วมมือแบ่งปันอำนาจและผลประโยชน์กันได้ ตอนนี้เริ่มมีผู้แปลสัญญาณที่สะท้อนออกมาบ้างแล้ว เช่น การที่คุณเฉลิม อยู่บำรุง และแกนนำพรรคเพื่อไทยยืนยันว่าจะไม่แตะต้องมาตรา 112 อีกทั้งแกนนำเสื้อแดงในพรรคเพื่อไทยก็ดูจะไม่ได้รณรงค์เรื่องนี้อย่างเข้มข้น แม้คนเสื้อแดงจะเคยเป็นเหยื่อของมาตรา 112 มามากก็ตาม
บางท่านพูดแล้วฟังดูดีหน่อย บอกว่าแก้กฎหมายไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร เพราะปัญหาอยู่ที่คน การแก้ปัญหาจึงต้องแก้ที่คน...
แต่ข้อนี้ก็ไม่ตรงประเด็นอีกเช่นกัน เพราะหากทุกปัญหา “แก้ได้ที่คน” เช่นที่ว่า ก็คงไม่ต้องมีการตราหรือแก้ไขกฎหมายหรือมีศาลและตุลาการอีกทั้งประธานตุลาการที่คอยสลับตำแหน่งตีความกฎหมายให้วุ่นวายเสียกระมัง สู้เอาเงินและเวลาไปตั้งศูนย์บำบัดคนทั้งประเทศไม่ง่ายกว่าหรือ ?
จะมีที่ฟังแล้วน่าสนใจหน่อย ก็คือข้อทักท้วงของ ดร. สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ซึ่ง “จำใจ” วิจารณ์นิติราษฎร์รายวันผ่าน facebook (http://www.facebook.com/profile.php?id=100001298657012) ทำนองว่า นิติราษฎร์กำลังทำข้อเสนอโดยคำนึงถึงการหาแนวร่วมเป็นหลัก ทั้งที่จริง (สำหรับ ดร. สมศักดิ์) นิติราษฎร์ก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าสิ่งที่ถูกต้อง คือการยกเลิก มาตรา 112 ไปเลย แล้วไม่ต้องบัญญัติความผิดอะไรมาคุ้มครองพระเกียรติหรือชื่อเสียงของสถาบันอีก ดร. สมศักดิ์ มองว่า การเสนอครึ่งๆ กลางๆ แบบที่นิติราษฎร์ (ซึ่งกำลังดัง) เสนออยู่ จะไปกลบกระแสที่คนธรรมดาทั่วไปหลายคนเสนอให้ยกเลิกทั้งหมด สุดท้ายนิติราษฎร์ก็จะทำให้สังคมสะดุดกระแสความคิด นอกจากนี้ ดร. สมศักดิ์ ยังเชื่อว่า ไม่ว่า นิติราษฎร์ หรือ ดร. สมศักดิ์ จะเสนอเรื่อง มาตรา 112 อย่างไร ก็ไม่มีทางจะทำได้เป็นจริงในขณะนี้ ฉะนั้นจะเสนอทั้งทีก็เสนอให้เลิกชัดเจนไปเลยจะดีกว่า
ผมมองว่าข้อโต้แย้งของ ดร. สมศักดิ์ (หรือฝ่ายที่เสนอให้ยกเลิก มาตรา 112 ไปเลย) มีปัญหาหลายประการ
ข้อแรก คือ ดร. สมศักดิ์ พยายามจะแยก “บทบาทนักวิชาการ” ของนิติราษฎร์ออกเป็นเอกเทศโดยสิ้นเชิงออกจาก “บทบาทผู้นำทางความคิด” ซึ่งผู้นำทางความคิดไม่เพียงแต่ต้องมีหลักการที่หนักแน่นชัดเจน แต่ต้องมีวิธีการนำเสนอที่แยบคายและก้าวให้เข้ากับจังหวะของสภาพความคิดที่เป็นจริงในสังคม ไม่ใช่เพื่อก้าวไปไกลจนล้ำความคิด แต่ต้องก้าวให้ใกล้เพื่อชักนำความคิด ดร. สมศักดิ์ คงแย้งผมว่า คนอย่างที่ว่าก็คือพวกโหนกระแสตามกระแส แต่ผมกลับมองว่าจังหวะและโอกาส คือ เงื่อนไขของความเปลี่ยนแปลงที่ไม่ได้สำคัญน้อยไปกว่าเนื้อหาที่นำเสนอ และ “ผู้นำทางความคิด” ที่ดีไม่จำเป็นต้องมั่นใจว่าความคิดส่วนตัวของตนเองนั้นดีที่สุดหรือถูกต้องที่สุดเสมอไป แต่ “ผู้นำทางความคิด” อาจเป็นเพียงผู้ชักนำให้เกิดความคิดในลู่ในทางที่ดี แม้จะไม่ดีที่สุดสำหรับตน แต่อาจดีกว่าสำหรับคนอื่น ก็เป็นได้
ข้อที่สอง ตรรกะของ ดร. สมศักดิ์ เช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับการทำตนเป็นผู้พยากรณ์อ่านใจประชาชนคนไทยอย่างเบ็ดเสร็จ ผมไม่ทราบจริงๆ ว่า ดร. สมศักดิ์ อาศัยเกณฑ์อะไร นอกจากเกณฑ์ความรู้สึกส่วนตัว ที่จะวัดว่าการแก้ไขยกเลิก มาตรา 112 ที่ถูกต้องนั้น กำลังเป็นไปหรือจะต้องเป็นไปในแนวทางหรือทิศทางใด และแนวทางที่นิติราษฎร์เสนออยู่จะสำเร็จจริงหรือไม่
และข้อที่สาม ดร. สมศักดิ์ มักจะมุ่งกล่าวถึงประเด็นข้อเสียและปัญหาของมาตรา 112 (ซึ่งผมไม่ได้เถียง) แต่กลับไม่ค่อยพูดถึงภารกิจอีกขั้วของ มาตรา 112 ในแง่มุมที่เป็นประโยชน์หรืออาจ “จำเป็น” ต่อพันธกิจของรัฐประชาธิปไตยเสียด้วยซ้ำ ตัวอย่างสุดขั้ว เช่น หากมีผู้ตั้งขบวนการต่อต้านการตรากฎหมาย โดยแสดงอาการอาฆาตมาดร้ายสถาบันเพื่อข่มขู่ให้พระมหากษัตริย์วิตก หรือกลัว หรือลังเล ที่จะทรงลงพระปรมาภิไธยในกฎหมายฉบับดังกล่าวอันเป็นกระบวนการขั้นตอนสำคัญตามรัฐธรรมนูญ ในบริบทขั้วนี้ มาตรา 112 ย่อมเป็นเครื่องมือสำคัญในการพิทักษ์รัฐธรรมนูญเสียด้วยซ้ำ
ด้วยเหตุนี้ หากให้วิจารณ์อย่างสุจริตใจ ผมคิดว่าที่ผ่านมานิติราษฎร์ไม่ได้เหน็ดเหนื่อยทางสติปัญญาอย่างที่หลายคนคิด
2. คำถามที่ยังไม่เคยมีใครถามนิติราษฎร์ ?
หากผู้ใดต้องการให้นิติราษฎร์คิดมากหน่อย ผู้นั้นก็อาจลองตั้งคำถามเหมือนชื่อบทความที่ผมตั้งว่า เราจะสามารถแก้ปัญหา มาตรา 112 โดยไม่ต้องแก้ไข มาตรา 112 ได้หรือไม่ ?
เป็นไปได้หรือไม่ว่า มาตรา 112 ซึ่งปัจจุบันถูกบัญญัติไว้ในลักษณะ “ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร” นั้น ก็ถือว่ามี “ตำแหน่งแห่งที่” ที่เหมาะสมอยู่แล้ว กล่าวคือ หากตีความให้ถูกต้อง ผู้ที่จะกระทำผิดตาม มาตรา 112 นั้น ไม่เพียงแต่จะต้อง หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ แบบธรรมดาทั่วไปเท่านั้น แต่ต้องกระทำในลักษณะหรือด้วยเจตนาที่รุนแรงถึงขั้นกระทบถึง “ความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร” อีกด้วย กล่าวคือ มาตรา 112 ต้องตีความตัวบทให้สอดคล้องกับตามเจตนารมณ์ของลักษณะความผิด ไม่ใช่นำลักษณะความผิดมาใช้เป็นตัวบท
ดังนั้น จึงน่าคิดว่า การที่ตำรวจก็ดี อัยการก็ดี ผู้พิพากษาก็ดี ไปเข้าใจว่า การหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายตาม มาตรา 112 ทุกกรณีต้องถือเป็น “ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร” เสมอไปนั้น ถือเป็นการตีความกฎหมายที่กลับหัวกลับหาง คือ แทนที่จะตีความบทบัญญัติให้เข้ากับเจตนารมณ์ของหมวดหมู่ กลับไปตีความหัวข้อหมวดหมู่ได้กลายมาเป็นเนื้อหาของบทบัญญัติมาตรา 112 เสียเอง หรือไม่ ?
เพื่ออธิบายให้เห็นภาพ เราอาจลองพิจารณาความผิดอื่นที่ถูกบัญญัติไว้ในลักษณะ“ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร” เช่นเดียวกับ มาตรา 112 มาตราอื่น เช่น
“มาตรา ๑๑๕ ผู้ใดยุยงทหารหรือตำรวจให้หนีราชการ ให้ละเลยไม่กระทำการตามหน้าที่ หรือให้ก่อการกำเริบ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี”
แน่นอนว่า หาก “พลทหารหมายเลิศ” ยุยงให้เพื่อนทหารในกองร้อยทิ้งอาวุธหนีกลับบ้านในยามที่ต้องสู้กับผู้ก่อการร้าย “พลทหารหมายเลิศ” ย่อมทำ “ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร”
แต่หาก “พลทหารหมายเลิศ” ยุยงให้ “พลทหารลูกรัก” ละเลยไม่กระทำการตามหน้าที่ล้างห้องน้ำตามที่ผู้บังคับบัญชาสั่งการ กรณีนี้จะตีความว่า “พลทหารหมายเลิศ” ได้ทำ “ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร” ถูกจำคุกได้หรือไม่ ? หรือเอาผิดทางวินัยให้ไปขัดห้องน้ำเพิ่มก็เพียงพอแล้ว ?
หรืออีกตัวอย่าง:
“มาตรา ๑๑๘ ผู้ใดกระทำการใดๆ ต่อธงหรือเครื่องหมายอื่นใดอันมีความหมายถึงรัฐ เพื่อเหยียดหยามประเทศชาติ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
แน่นอนว่าหาก “นายลูกรัก” เผาธงชาติที่สนามหลวง พร้อมปราศัยให้ล้มล้างประเทศไทย ย่อมชัดเจนว่าเป็นความผิด
แต่หาก “นายลูกรัก” นั่งเล่นอยู่ภายในบ้านกับ “นายหมายเลิศ” จากนั้น “นายลูกรัก” นำธงชาติไทยมาขยำและพูดจาเหยียดหยามความสามารถของชาติไทยในการแข่งกีฬาให้ “นายหมายเลิศ” ฟัง แล้วก็เปลี่ยนเรื่องคุย “นายหมายเลิศ” จะนำคดีไปฟ้อง “นายลูกรัก” ว่ากระทำ “ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร” จนถูกจำคุกได้หรือไม่ ? หรือเพียงผิดน้ำใจและถูกเพื่อนต่อว่าก็เพียงพอแล้ว ?
ลองกลับมาพิจารณาเรื่อง มาตรา 112 สิ่งที่นิติราษฎร์กำลังพยายามเสนอในเวลานี้ คือการย้าย มาตรา 112 ออกจากลักษณะ “ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร” แล้วแปลงให้กลายเป็นความผิดเกี่ยวกับ “พระเกียรติยศหรือชื่อเสียง” ซึ่งอ่านมาถึงจุดนี้ หลายท่านเองก็อาจเห็นในสิ่งที่ยังไม่เห็น กล่าวคือ นอกจากข้อเสนอนิติราษฎร์จะไม่ดี (ในมุมมองที่ ดร. สมศักดิ์ พูดมาแล้ว) ข้อเสนอนิติราษฎร์ยังเป็นการสร้างความคุ้มกันพิเศษในทางกฎหมายให้กับสถาบันพระมหากษัตริย์อีกชั้นอย่างที่ไม่เคยปรากฏในกฎหมายอย่างเป็นทางการมาก่อน แม้โทษจะเบาลง การฟ้องจะยากขึ้น แต่เพียงผู้ใด หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย ก็ไม่ได้จำเป็นต้องกระทบ “ความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร” อีกต่อไป ขอเพียงกระทบต่อ “พระเกียรติยศหรือชื่อเสียง” แล้ว ก็ย่อมถูกฟ้องได้ (หากไม่เข้าข้อยกเว้นที่นิติราษฎร์เสนอ)
ความจริงจึงกลับตาลปัตรในบัดดล! ผู้ที่ต่อต้านนิติราษฎร์เพราะรักสถาบัน กลับไม่รู้ตัวว่า “ในทางหนึ่ง” นิติราษฎร์กำลังทำให้สถาบันแตะต้องได้ยากขึ้น ส่วนคนที่สนับสนุนนิติราษฎร์เพราะเชื่อในเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น กลับไม่รู้ตัวว่า มาตรา 112 แบบเดิม “ในทางหนึ่ง” อาจสนับสนุนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นดีกว่าที่นิติราษฎร์เสนอเสียอีก !!??
3. แก้ปัญหา มาตรา 112 โดยไม่ต้องแก้ไข มาตรา 112 ได้หรือไม่ ?
ถึงจุดนี้ย่อมมีผู้แย้งว่าผมเหลวไหลเลอะเทอะ เพราะในความเป็นจริง การตีความบังคับใช้กฎหมาย มาตรา 112 ไม่เคยตีความตามเจตนารมณ์เช่นนั้น เพราะไม่ว่าใครจะพูดจาแตะต้องสถาบันไปทางใด ก็ถูกเหมารวมว่าเป็น “ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร” ตลอดมาและต้องดำเนินการโดยเด็ดขาดไปเสียหมด
ผมก็เพียงจะตอบว่า หากผู้ใดตอบผมเช่นนั้น ก็เท่ากับยอมรับตามที่ผมอธิบายแล้วว่า มาตรา 112 อยู่ในตำแหน่งแห่งที่ถูกต้องแล้ว เพียงแต่มีการตีความบังคับใช้ มาตรา 112 ที่ผิดเพี้ยน ดังนั้น วิธีการแก้ปัญหาที่ถูกต้องจึงไม่ควรเป็นการย้ายตำแหน่งลักษณะความผิดตามที่นิติราษฎร์เสนอ แต่ควรเป็นการทำให้กฎหมายมีความชัดเจนมากขึ้นและตีความบังคับใช้ได้ถูกต้องตามเจตนารมณ์อย่างเคร่งครัด สอดคล้องกับทั้งสิทธิเสรีภาพของประชาชนและพันธกิจในทางการเมืองการปกครองของรัฐประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ผมจึงเสนอว่า เราสามารถแก้ปัญหา มาตรา 112 โดยไม่ต้องแก้ไข มาตรา 112 ก็ได้ โดยขอฝากแนวคิดเบื้องต้นดังนี้
ประการแรก ไม่ต้องไปยกเลิกหรือแตะต้อง มาตรา 112 ดังนั้น ผู้ใดที่หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อสถาบันในลักษณะหรือด้วยเจตนาที่รุนแรงถึงขั้นกระทบต่อ “ความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร” ก็ย่อมต้องรับผิดตามกฎหมาย
ประการที่สอง แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา โดยเพิ่ม “มาตรา ๑๐๖/๑” ให้เป็นบททั่วไปที่คลุมลักษณะ “ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร” โดยบัญญัติว่า “การกระทำที่จะถือเป็นความผิดตามบทบัญญัติในลักษณะนี้ได้ จะต้องกระทำในลักษณะหรือด้วยเจตนาที่รุนแรงถึงขั้นกระทบหรืออาจกระทบต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรเท่านั้น” ดังนั้น มาตรา ๑๐๖/๑ จึงไม่ได้เป็นการไปแก้ไข มาตรา 112 แต่เป็นการทำให้มาตรา 112 รวมถึงมาตราอื่นๆ ในลักษณะความผิดเดียวกัน เช่น เรื่องยุยงไม่ปฏิบัติหน้าที่ตาม มาตรา 115 หรือเรื่องเผาธงตาม มาตรา 118 ต้องถูกบังคับใช้ตีความอย่างสมเหตุสมผล ส่วนการตีความบังคับใช้กฎหมายจะเป็นต่อไปอย่างไร ย่อมเป็นเรื่องที่นักกฎหมาย นักวิชาการ ผู้พิพากษาตุลาการย่อมต้องร่วมกันรับผิดชอบต่อวิชาชีพและประชาชน
ประการที่สาม เสนอให้รัฐสภาตรากฎหมาย อาจจะเรียกว่าให้ไพเราะว่า “พระราชบัญญัติว่าด้วยการคุ้มครองและส่งเสริมเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น พ.ศ. ...” โดยมีหลักการสำคัญ คือ
(1) บัญญัติรับรองคุ้มครองให้การแสดงออก ติชม แสดงความเห็นใดๆที่เกี่ยวกับประเด็นสาธารณะ ซึ่งไม่มีความอาฆาตมาดร้ายหรือปลุกปั่นให้เกิดความวุ่นวาย ได้รับการรับรองคุ้มครองว่าไม่เป็นความผิดตามกฎหมาย หรือเหตุในการเสียประโยชน์ใดๆ ตามกฎหมายที่มีอยู่ และ
(2) กำหนดโทษสำหรับผู้ใดที่เจตนานำกฎหมายหรืออำนาจใดๆ เช่น มาตรา 112 หรือการใช้ดุลยพินิจโยกย้ายปูนรางวัลสารพัดมาใช้เป็นเครื่องมือเล่นงานผู้อื่น
กฎหมายฉบับนี้ไม่ได้เกี่ยวกับมาตรา 112 เท่านั้น แต่แผ่อานิสงค์ไปถึงการติชม วิพากษ์วิจารณ์สารพัดเรื่องที่ควรจะทำได้ตามครรลองประชาธิปไตย นักเรียนจะวิจารณ์ครูก็ไม่ต้องกลัวถูกหักคะแนนความประพฤติ เจ้าหน้าที่จะต่อว่าอธิบดีก็ไม่ต้องกลัวโดนปลด คือมีการคุ้มครองและเยียวยาให้ชัดเจนเป็นการทั่วไปโดยผลของกฎหมายเฉพาะที่คลุมกฎหมายอื่นทุกฉบับ เพื่อแก้ปัญหา chilling effect หรือความกลัวต่อกฎหมายหรือแรงในสังคม จนสุดท้ายก็จำใจ censor ตัวเอง
ที่สำคัญ หากประชาชนสามารถผลักดันให้หลักการดังกล่าวได้รับการรับรองอย่างชัดแจ้งไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้มีสถานะเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ ก็ย่อมไม่เลวเช่นกัน
บทส่งท้าย
ข้อเสนอที่ผมเสนอมา บรรดานักการเมืองและบรรดาคนรักสถาบัน น่าจะยอมรับได้ เพราะไม่มีการแตะต้อง มาตรา 112 เพียงแต่ทำให้ผู้ใช้กฎหมายสามารถตีความและบังคับใช้ มาตรา 112 ได้ถูกต้องตามเจตนารมณ์มากขึ้นเท่านั้น ส่วนคนที่รัก ดร. สมศักดิ์ หาก ดร. สมศักดิ์ จะเมตตาผมหน่อย ก็น่าจะพอรับได้ เพราะเป็นการเลี่ยงการสร้างสถานะความคุ้มครองพิเศษเพิ่มไปจากที่มีอยู่ในปัจจุบัน หนทางในการหาทางออกเรื่อง มาตรา 112 ร่วมกันของทุกฝ่าย หากจะให้มี ก็ยังคงมีอยู่
แต่ผมยังไม่แน่ใจว่าคนที่รักนิติราษฎร์คนอื่นนอกจากผม จะยอมรับได้หรือไม่ ก็จะขอส่งกำลังใจและรอฟังเสียงของนิติราษฎร์ ที่จะแถลงเปิดตัวคณะรณรงค์แก้ไข มาตรา 112 ในวันอาทิตย์ที่ 15 มกราคมนี้ครับ.
สำนักงานบัญชีและธุรกิจ พี.เอ.แอล.,สำนักงานสอบบัญชี พีแอนด์อี
ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,จดทะเบียนธุรกิจ,วางระบบบัญชี