สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

กระแส Occupy Wall Street : หมดยุคการเงินไม่ยั่งยืน?

กระแส Occupy Wall Street : หมดยุคการเงินไม่ยั่งยืน?

จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์




เดือนกันยายน ปี 2011 หนึ่งปีก่อน “ปีสิ้นโลก” ตามการตีความปฏิทินของชาวมายันโบราณ (อย่างผิดๆ ถูกๆ) การประท้วงภาคการเงินอเมริกัน
ที่เรียกตัวเองว่า “Occupy Wall Street” (ยึดพื้นที่ภาคการเงิน) ก็ขยายตัวอย่างรวดเร็วไปทั่วทั้งอเมริกา และอีกเพียงไม่ถึงหนึ่งเดือนก็เกิดการประท้วงในลักษณะเดียวกันกว่า 950 เมืองใน 82 ประเทศทั่วโลก
 

ผู้ร่วมขบวนการ Occupy Wall Street (ย่อว่า OWS) มีความหลากหลายอย่างมากทั้งทางสัญชาติ ศาสนา และความเชื่อ จุดร่วมคือการเรียกตัวเองว่า “99%” - สะท้อนมุมมองว่าพวกเขาไม่ใช่คน “1%” ที่รวยที่สุดในสังคม ซึ่งหมายรวมถึงนายธนาคารและนักการเงินทั้งหลาย
 

OWS นับเป็นการประท้วง “ยุคอินเทอร์เน็ต” ครั้งแรกของอเมริกา ในแง่ที่มันไม่มีกลุ่มผู้นำม็อบอย่างเป็นกิจจะลักษณะแบบที่เราคุ้นเคยคอยปลุกระดมให้คนออกมาประท้วง รวบรวมรายการข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล แต่ผู้ชุมนุมใน OWS ต่างคนต่างมาจากคำชักชวนที่ส่งต่อกันในอินเทอร์เน็ต การที่ขบวนการนี้ไร้ “ตัวแทน” อย่างเป็นทางการทำให้พวกเขาถูกดูแคลนจากผู้สังเกตการณ์หลายรายว่า เป็นแค่ “วัยรุ่นไม่เอาถ่าน” หรือพวก “ซ้ายตกขอบ” ที่ชอบประท้วงเป็นงานอดิเรก แต่ไม่รู้ว่าจะประท้วงไปทำไม เป้าหมายสุดท้ายคืออะไร
 

นักข่าวที่ไปถามผู้ประท้วงว่าออกมาทำไมก็ได้รับคำตอบที่แตกต่างกัน หลายคนบอกว่าแค้นคอร์รัปชันของรัฐบาล ความเหลื่อมล้ำระหว่างคนจนกับคนรวยที่ถ่างกว้างขึ้นเรื่อยๆ ในอเมริกา ภาวะเศรษฐกิจซบเซาที่คนกว่า 20 ล้านคนในอเมริกายังตกงาน ฯลฯ
 

ในเมื่อมันเกิดจากบทสนทนาออนไลน์ OWS จึงเหมือนกับ “อินเทอร์เน็ต” มากกว่า “หนังสือ” - คือเป็น “บทสนทนา” ที่เบ่งบานและกระเพื่อมอย่างไร้จุดศูนย์กลาง ไม่มีขั้นตอนหรือจุดจบที่ชัดเจน ประเด็นที่น่าสนใจ คือ ผู้ประท้วงจำนวนมากมองว่าปัญหาเหล่านี้ล้วนเป็น “อาการ” ของปัญหาหลักเดียวกัน นั่นคือ การที่อุตสาหกรรมการเงินได้แผ่อิทธิพล “ครอบงำ” ภาคการเมือง บิดเบือนนโยบายรัฐให้เอื้อประโยชน์ต่อตัวเอง ที่แย่ที่สุดคือให้สังคม (ผู้เสียภาษี) แบกรับต้นทุนจากความฟุ้งเฟ้อและหลอกลวงที่ตนเป็นตัวการ รูปธรรมที่เด่นชัดที่สุด คือ “เงินอุ้ม” (bailout package) นับล้านล้านดอลลาร์ที่รัฐบาลอเมริกันทุ่มให้กับการพยุงภาคการเงิน ด้วยเหตุผลว่าถ้าไม่อุ้มขนาดประวัติการณ์ครั้งนี้ ภาคการเงินจะฉุดเศรษฐกิจทั้งระบบลงเหวไปด้วย
 

ลำพังการเอาเงินภาษีไปอุ้มธนาคารก็ทำให้คนโกรธแล้ว แต่หลังจากนั้น สถาบันการเงินหลายแห่งยังจ่ายเงินโบนัสจำนวนมหาศาลให้กับผู้บริหารและนักการเงินหัวกะทิต่อไป โดยอ้างว่าต้องจ่ายเงินขนาดนี้เพื่อดึงดูดคนเก่งๆ ให้ทำงานต่อ บางแห่งแถมท้ายว่าในเมื่อปัญหาเกิดในภาคการเงิน ถ้าเราไม่จ่ายโบนัสดีๆ จะมีคนเก่งที่ไหนมาช่วยแก้ปัญหา
 

ไมเคิล แซนเดล สรุปความโกรธแค้นของชาวอเมริกันต่อเงินอุ้มและโบนัสหลังการอุ้มในหนังสือเรื่อง “Justice” (ฉบับภาษาไทยชื่อ “ความยุติธรรม” ผู้เขียนเป็นผู้แปล) อย่างชัดเจนว่า
 

“หัวใจของความแค้น...คือ ความรู้สึกว่าเกิดความอยุติธรรม ...โบนัสจากเงินอุ้มมาจากเงินภาษีของประชาชน ขณะที่โบนัสที่จ่ายในยุครุ่งโรจน์มาจากผลกำไรของบริษัทเอง ชาวอเมริกันต่อต้านเงินโบนัส-และการอุ้ม-ไม่ใช่เพราะมันให้รางวัลความโลภ แต่เพราะมันให้รางวัลความล้มเหลว …ตอนที่โอบามาประกาศเพดานค่าตอบแทนผู้บริหารสำหรับบริษัทที่ได้รับเงินอุ้ม เขาก็ระบุบ่อเกิดของความโกรธแค้นอย่างชัดเจนว่า นี่คือ อเมริกา เราไม่ดูหมิ่นความร่ำรวย เราไม่อิจฉาริษยาใครก็ตามที่ประสบความสำเร็จ และเราก็เชื่อจริงๆ ว่าทุกคนควรได้รางวัลจากความสำเร็จ แต่สิ่งที่ทำให้คนโมโห-ซึ่งก็สมควรโมโห-คือ ข้อเท็จจริงว่าผู้บริหารได้รางวัลจากความล้มเหลว โดยเฉพาะเมื่อรางวัลนั้นได้รับการอุดหนุนจากประชาชนผู้เสียภาษี”
 

กระแสความแค้นเงินอุ้มและโบนัสนายธนาคาร ตลอดจนการเติบโตของขบวนการ OWS ซึ่งแม้จะไม่มีข้อเรียกร้องที่ชัดเจน ก็ทำท่าว่าจะไม่สิ้นสุดลงง่ายๆ โดยเฉพาะตราบใดที่ประชาชนยังรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม และยังไม่มีผู้บริหารสถาบันการเงินรายใดถูกศาลตัดสินลงโทษ หรือออกมายอมรับผิดว่าหลอกลวงนักลงทุนให้ซื้อของห่วย และหลอกลวงผู้มีรายได้น้อยให้กู้เงินไปซื้อบ้าน ทั้งที่ไม่มีปัญญาจะจ่ายคืน
 

ความโกรธแค้นของประชาชน “99%” ก่อให้เกิดคำถามว่า เป็นไปได้อย่างไรที่ภาคการเงินของอเมริกา ประเทศที่ระบบการเงินซับซ้อนและ “ก้าวหน้า” (ในแง่ของการประดิษฐ์คิดค้นผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่างๆ) ที่สุดในโลก จะทำให้ตัวเองเสียหายจนแทบเอาตัวไม่รอด และทำให้ผู้บริสุทธิ์อีกหลายล้านคนพลอยเดือดร้อนตาม เหตุใดการเติบโตของธุรกิจการเงินถึงได้ดูจะฟุ้งเฟ้อและหลุดลอยออกจากระบบเศรษฐกิจจริงที่ผลิตสินค้าและบริการมากขึ้นเรื่อยๆ ทำไมนักการเงินและบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือจึงได้ประเมินความเสี่ยงผิดพลาด โดยเฉพาะหลักทรัพย์อ้างอิงสินเชื่อซับไพร์ม
 

ในเมื่อภาคการเงินกระแสหลักซึ่งมีอเมริกาเป็นหัวหอกนำนั้นดูจะมีส่วนทำร้ายสังคมมากกว่าเกื้อหนุนสังคม เป็นไปได้หรือไม่ที่ภาคการเงินจะเปลี่ยนแปลงปรับปรุงตัวเอง หรือว่าวิถีปฏิบัติของธุรกิจนี้ที่เป็นอยู่นั้น “ดีที่สุด” เท่าที่สติปัญญาของมนุษย์จะคิดออกแล้ว ไม่มีทางปรับปรุงให้ดีกว่านี้ ทำได้เพียงหาวิธี “บรรเทา” ความเสียหายจากวิกฤติให้น้อยลงเท่านั้น
 

จากมุมที่กว้างกว่า นักเศรษฐศาสตร์และนักการเงินจำนวนไม่น้อยกำลังถกเถียงกันว่า วิกฤติการเงินรอบล่าสุดนี้ชี้ให้เห็น “ความจำเป็น” แล้วหรือยังที่จะรื้อตำราการเงิน เพราะโลกจริงพิสูจน์ชัดแล้วว่าทฤษฎีเก่าใช้การไม่ได้ ตกลงภาคการเงินช่วยพัฒนาเศรษฐกิจจริง ตามก้นเศรษฐกิจจริง หรือฉุดรั้งเศรษฐกิจจริง เราจะทำให้มัน “เอื้อสังคม” ในทางที่สอดคล้องกับแนวคิด “การพัฒนาที่ยั่งยืน” กว่าที่แล้วมาได้อย่างไร มีตัวอย่างของสถาบันการเงินหรือบริการทางการเงินใดบ้างที่ทั้งเอื้อสังคมและประสบความสำเร็จทางการเงินไปพร้อมกัน


ผู้เขียนขอชวนทุกท่านมาร่วมกันค้นหาคำตอบของคำถามเหล่านี้ จากมุมมองและความเคลื่อนไหวของผู้เล่นรายสำคัญๆ ในธุรกิจการเงินกระแสหลักและกระแสรอง ซึ่งเริ่มเป็นที่รู้จักในนาม “การลงทุนเพื่อสังคม” “ธนาคารที่ยั่งยืน” และ “ไมโครไฟแนนซ์” ในซีรีส์ “การเงินเอื้อสังคม” ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ และเผยแพร่บนเว็บไซต์ กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ (www.bangkokbiznews,com) ไทยพับลิก้า (http://www.thaipublica.org/) รายเดือน นับแต่นี้เป็นต้นไป


ภาคการเงินกับเศรษฐกิจที่ยั่งยืน
 

“การพัฒนาที่ยั่งยืน” (sustainable development) ในความหมายที่รับรู้กันทั่วไป คือ นิยามขององค์การสหประชาชาติ ในรายงาน Brundtland ปี 1987 หมายถึง “การพัฒนาที่ตอบสนองต่อความต้องการของปัจจุบัน โดยไม่ลิดรอนความสามารถของคนรุ่นหลังในการตอบสนองต่อความต้องการของพวกเขา”
 

แนวคิดหลักสองประการที่ฝังอยู่ในนิยามนี้ คือ การให้ความสำคัญกับความต้องการของคนจน ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ในโลก และการตระหนักใน “ขีดจำกัด” ของธรรมชาติในการตอบสนองต่อความต้องการของมนุษย์
 

การพัฒนาที่ยั่งยืนเรียกร้องให้เรา “คิดยาว” กว่าเดิม เพราะต้องคำนึงถึงความต้องการของคนจนและคนรุ่นหลัง แต่ตลาดการเงินกระแสหลักยังเดินสวนทางกับแนวคิดนี้ เพราะที่ผ่านมา ดูจะโน้มนำให้ภาคธุรกิจและคนทั่วไป “คิดสั้น” มากกว่า “คิดยาว” - คำนึงถึงแนวโน้มผลกำไรไตรมาสหน้า หรือราคาหุ้นวันพรุ่งนี้ มากกว่าอนาคตที่อยู่ไกลกว่านั้น
 

ฉะนั้นถ้าภาคการเงินจะหนุนเสริมเศรษฐกิจที่ยั่งยืน มันก็จะต้องเปลี่ยนแปลงในระดับกระบวนทัศน์ หรืออย่างน้อยก็วิธีคิด นักการเงินจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ กำลังครุ่นคิดถึงประเด็นนี้
 

ปลายปี 2011 ลอร์ดชาร์แมน ประธานกรรมการบริษัท อาวีวา (Aviva) บริษัทประกันที่ใหญ่ที่สุดในอังกฤษ เสนอในงานที่จัดโดย Institute of Chartered Accountants (สถาบันนักบัญชีที่ได้รับอนุญาต) ว่า นักการเงินจะต้องเปลี่ยนแปลงตลาดทุนให้มันขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ไม่ใช่ให้มันเป็นอุปสรรค เขาเสนอวิธี 3 วิธีที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลง -
 

1. จะต้องพัฒนาข้อเสนอว่าผู้เล่นและสถาบันสำคัญๆ ในภาคการเงินควรใช้โครงสร้างแรงจูงใจอย่างไร เพื่อให้มุ่งเน้นการสร้างผลงานระยะยาว ไม่ใช่ประเมินแค่ระยะสั้น เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้หนุนเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน
 

2. บริษัทต่างๆ จะต้องเปิดเผยข้อมูลมากขึ้น หน่วยงานผู้กำกับดูแลตลาดหลักทรัพย์ต่างๆ จะต้องกำหนดให้บริษัทเปิดเผยข้อมูลว่า โมเดลธุรกิจของพวกเขารับผิดชอบและยั่งยืนอย่างไร นอกจากนี้ จะต้องเปลี่ยนกฎเกณฑ์ ให้กลยุทธ์ความยั่งยืนของบริษัทเป็นหนึ่งในประเด็นที่ผู้ถือหุ้นโหวตเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ ในการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี
 

3. สถาบันต่างๆ จะต้องอบรมผู้เล่นในตลาดทุนและตลาดเงินให้ดีกว่าเดิม ให้เข้าใจว่าประเด็นความยั่งยืนต่างๆ นั้นมีมูลค่าที่วัดได้อย่างไรแค่ไหน และจะรวมมันเข้าไปอยู่ในกรอบการประเมินมูลค่าต่างๆ ในตลาด (เช่น มูลค่าหุ้น) ได้อย่างไร และ Chartered Financial Analyst Institute (สถาบันรับรองคุณวุฒิของนักวิเคราะห์ทางการเงินที่ได้รับการยอมรับที่สุดในโลก) ก็จะต้องรวมประเด็นเหล่านี้เข้าไปในข้อสอบสำหรับนักวิเคราะห์ด้วย


สำนักงานบัญชีและธุรกิจ พี.เอ.แอล.,สำนักงานสอบบัญชี พีแอนด์อี
ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,จดทะเบียนธุรกิจ,วางระบบบัญชี

Tags : กระแส Occupy Wall Street หมดยุคการเงินไม่ยั่งยืน

view