สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

รายงานพิเศษ ลุยต่อ..ไม่ทิ้งการเมือง

จาก โพสต์ทูเดย์

30 พ.ค. 2555 กลุ่มนักการเมืองบ้านเลขที่ 111 ซึ่งถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี จะถูกปลดล็อกทั้งหมด ซึ่งหลายคนมองว่ากลุ่มคนเหล่านี้จะกลับมาผงาดในทางการเมืองอีก

โดย..นิติพันธุ์ สุขอรุณ
         
โพสต์ทูเดย์ได้สัมภาษณ์พิเศษคุณหญิงสุดารัตน์  เกยุราพันธุ์ ถึงเป้าหมายทางการเมือง หลังจากหลุดพ้นถูกพักยกการเมือง
         
"ไม่ ได้สร้างความดีใจอะไร แม้ว่าวันนี้เมื่อปลดล็อกแล้ว แต่แผลก็ยังอยู่ เพราะชีวิตการรับใช้บ้านเมืองเคารพกติกาประชาธิปไตยมาจากการเลือกตั้งทุก ครั้ง แล้วไม่เคยทำผิดอะไรในแง่กฎหมายและกระบวนการส่งเสริมประชาธิปไตย แต่อยู่ๆ ถูกตัดสินในข้อหาว่าเป็นปรปักษ์ต่อบ้านเมือง อย่างน้อยจะดีก็ตรงที่ได้กลับมาเป็นราษฎรเต็มขั้นอีกครั้งมีสิทธิไปเลือก ตั้งเพื่อบ้านเมืองได้"คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวถึงความรู้สึกที่กำลังจะได้ อิสรภาพทางการเมือง    

 

สุดารัตน์

สำหรับระยะเวลาที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปีนั้น คุณหญิงสุดารัตน์บอกว่าไม่ได้ทำให้ตัวเองเสียโอกาสทางการเมือง แต่เป็นบ้านเมืองต่างหากที่เสียโอกาส ที่พูดเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าพวกเราเก่งกาจแล้วสามารถเนรมิตสิ่งดีๆ ให้เกิดขึ้นกับบ้านเมืองได้มาก แต่เป็นการเสียโอกาสของบ้านเมืองเพราะ 1.เกิดการสะดุดของระบอบประชาธิปไตย 2.รัฐบาลที่กำลังทำงานอยู่ในขณะนั้นไม่สามารถสานงานต่อได้ ตัวอย่างเช่น โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ที่วันนี้ถือว่าถอยหลัง เพราะได้ทิ้งหลักการแล้วไปมองว่าเป็นเพียงประชานิยมแข่งกันปรนเปรอประชาชน แต่หลักการสำคัญคือการสร้างสุขภาพให้คนแข็งแรง ให้มีหมอประจำครอบครัว
         
"การ จะแข่งกันรักษาฟรี ทำให้เกิดต้นทุนค่ารักษาสูงขึ้นไป 2,800 บาท แต่ต้นทุนสมัยเราทำอยู่ที่ 1,300-1,400 บาท ซึ่งต้นทุนที่เพิ่มมากขึ้นนั้นต้องลดลง เนื่องจากมีการปล่อยให้เกิดรอยรั่วในระบบเยอะมาก และไม่สำคัญเท่าคุณภาพการบริการ และระบบในการสร้างสุขภาพนั้นหายไปเลย ฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นผิดหลักการของ 30 บาทอย่างนี้คือประเทศเสียโอกาส เป็นเรื่องน่าเศร้าใจเสียดายโอกาสของประชาชน" คุณหญิง กล่าว
         

ทั้ง นี้ เมื่อถามว่าจะกลับมาเป็นรัฐมนตรีหรือไม่"คุณหญิงหน่อย" ยืนยันว่าไม่ได้ตั้งใจมีตำแหน่งในรัฐบาล เหตุผลคือมีความรู้สึกว่าคนที่ผ่านการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาน่าจะเป็น โอกาสและเวทีของเขาในการแสดงฝีมือทำงาน ไม่ใช่เหมือนเราพ้น 111 มาถึงก็เหมือนไปแย่งเขาทำ อย่างนี้ไม่เป็นธรรมกับฝ่ายการเมืองที่เขาได้ลงทุนลงแรงเลือกตั้งกันมา
         
"ไม่ ทิ้งการเมืองแน่นอน แต่ถ้าจะทำเต็มตัวเราต้องแฟร์กับทุกคน คือถ้ามีการเลือกตั้งใหม่ก็จะทำให้เราเข้าไปตามระบบ แต่ถ้าเราไปเข้ากลางเทอมก็ไม่ยุติธรรมกับหลายๆ คน และหลายคนก็ต้องการเติบโตทางการเมืองด้วย จึงควรให้โอกาสดังนั้นถ้าความรู้ ความสามารถของเรายังเป็นประโยชน์อยู่ก็จะทำต่อ และไม่เข้าไปมีตำแหน่งรัฐมนตรีหลังจากเดือน พ.ค.แน่นอน"คุณหญิงหน่อยกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
         
อย่างไรก็ตาม "คุณหญิงสุดารัตน์" ยอมรับว่าการที่คนใน 111 จะกลับเข้าไปร่วมรัฐบาลจะเป็นเพียงบางคนเท่านั้นที่มีความสามารถด้านกฎหมาย เพื่อเป็นประโยชน์ในการทำงานวันนี้จึงอยากพูดกับคณะรัฐมนตรีที่ทำงานอยู่ว่า อย่าหวั่นไหวว่าถ้า 111 มาแล้วก็จะถูกเปลี่ยนชุดทำงานหมด
         
คุณ หญิงสุดารัตน์ มองว่า สถานภาพของรัฐบาลในขณะนี้ยังดี แม้ว่าจะผ่านพ้นปัญหาน้ำท่วมอันหนักหน่วงมาได้ ทำให้เห็นชัดว่า ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรนายกรัฐมนตรี มีความตั้งใจสูงที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆ อย่างยั่งยืน ทั้งนี้มีปัญหา
         
อุปสรรคให้เหนื่อยอยู่บ้างเนื่องจากยัง เป็นคนรุ่นใหม่ก็อาจทำให้การผลักดันงานด้านการบริหารประเทศยังติดขัดอยู่ ถือเป็นความไม่พร้อมของระบบ ดังนั้นต้องให้เวลารัฐบาลชุดนี้
เพราะการ บริหารประเทศไม่เหมือนบริษัทเอกชน องค์กรของรัฐค่อนข้างอุ้ยอ้าย การจะผลักแต่ละเรื่องต้องใช้เวลา สำหรับอุปสรรคของรัฐบาลในอนาคตจะมีหรือไม่ คุณหญิงสุดารัตน์ มองว่าขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ใช่แค่รัฐบาลฝั่งเดียว แต่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน เรื่องแรกคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต้องห้ามแตะต้องประมวลกฎหมายมาตรา 112 หมวดพระมหากษัตริย์ เพราะมาตรากฎหมายนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบให้ประชาชนเดือดร้อน ในทางตรงกันข้าม เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์มีคุณูปการอย่างมาก ตั้งแต่การ พัฒนาด้านต่างๆ และเป็นศูนย์รวมความสามัคคี ดังนั้นกล่าวได้ว่าประเทศชาติเจริญรุ่งเรืองร่มเย็นเป็นสุขได้เพราะเรามี สถาบันพระมหากษัตริย์ที่แตกต่างจากประเทศอื่นๆ
         
"คน ส่วนใหญ่ของประเทศเขาไม่รู้สึกเดือดร้อน สิ่งที่รู้สึกคือมีความสุขมากกว่า เราก็ยอมรับว่ามีบางคนที่คิดมุ่งร้าย ประเทศที่เจริญแล้วเขามีกษัตริย์เป็นสัญลักษณ์เท่านั้นแต่เรื่องความผูกพัน กับประชาชนน้อยกว่ามากส่วนพระมหากษัตริย์ของเราทรงทุ่มเทเสียสละช่วยเหลือ ราษฎรมีความผูกพัน ฉะนั้นแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด การแก้ มาตรา 112 ทำได้อย่างเดียวคือแก้เพื่อปกป้องให้เข้มแข็งกว่านี้ เพราะท่านไม่ใช่นักการเมือง ท่านไม่สามารถมาตอบโต้กับคนทั่วไปได้"
         
ขณะ เดียวกันอีกประเด็นที่อาจส่งผลกระทบต่อรัฐบาลคือ "นักค้าอาวุธสงคราม"ที่ฉวยโอกาสพยายามสร้างความขัดแย้ง และต้องการจุดประเด็นมาตรากฎหมายหมวดพระมหากษัตริย์มาใช้เป็นเครื่องมือทำ ให้เกิดความขัดแย้งแต่ถ้าทุกฝ่ายเป็นไปในแนวทางเดียวกันว่า ประเด็นนี้ไม่เข้าไปแตะต้อง นักค้าอาวุธสงครามก็หมดโอกาส
        
 "วันนี้ รัฐธรรมนูญคือแพะของความขัดแย้ง แม้กระทั่งตอนนี้ตัวพี่เองยังหวั่นไหวอยู่ตลอดเวลาว่าความขัดแย้งยังมีอยู่ เพราะมีนักค้าอาวุธสงครามที่ได้ประโยชน์จากความขัดแย้งทางการเมือง เขาจะแหย่อยู่เรื่อยๆแล้วถ้ารัฐบาลไม่ระวังกับดัก ก็จะเพลี่ยงพล้ำได้ ต้องยอมรับว่าจากนี้รัฐบาลจะต้องเจอกับปัญหาหนักตลอดทางแน่นอน"
         
ไม่ เพียงเท่านั้น กระบวนการแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 291 ให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) รัฐบาลควรเริ่มต้นแล้วสภาต้องรับลูกผ่านออกมา แต่เมื่อเกิดการเลือก ส.ส.ร. แล้วนักการเมืองทุกฝ่ายขอให้ถอย หรือเสนอแนะปัญหาที่เกิดขึ้นแล้วโยนลงไปในฟลอร์ ให้คนที่มีหน้าที่จัดการแก้ไขโดยไม่เข้าไปแทรกแซง
         
คุณหญิง หน่อยยังได้ขอเป็นกำลังใจให้นายกฯ ยิ่งลักษณ์ในฐานะลูกผู้หญิงด้วยกันที่ต้องเจอปัญหาทางการเมืองและเรื่องกรณี โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ว่าต้องให้หนักแน่นมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อผู้หญิงเข้ามาสู่ถนนการเมืองจะต้องเจอกับเรื่องใส่ร้ายป้ายสี เป็นของคู่กัน เปรียบเหมือนนายกฯ กำลังอยู่บนต้นไม้ใหญ่ใครเดินผ่านมาพัก ทำสิ่งไม่ดีใต้ต้นไม้ มันก็ไม่ได้ทำให้ต้นไม้นั้นเสียหายอะไร
         
"ให้ นายกฯ เข้มแข็งอดทน เพราะเคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้เหมือนกัน ในสมัยเป็นเลขาธิการพรรคพลังธรรมก็มีคนมาหาว่าเราเอาตัวเข้าแลก ความรู้สึกที่เจอครั้งนั้นทำให้เสียชื่อแต่เมื่อเราตั้งสติได้ไม่ตกใจไม่ กังวล ก็ทำให้เราแข็งแกร่งขึ้นและกาลเวลากับการกระทำก็จะเป็นเครื่องพิสูจน์ส่วนคน ที่มาใส่ร้ายเช่นนี้เขาเหล่านั้นน่าอายเสียมากกว่า" คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าว
         
หนุนมือใหม่ลงผู้ว่าฯกทม.    

การเดินเกมครั้งสำคัญกำลังจะเริ่มต้นขึ้นบนเวทีเลือกตั้งผู้ว่าราชการ กรุงเทพมหานคร (กทม.) เมื่อคำยืนยันจาก"คุณหญิงสุดารัตน์" ถึงความปรารถนาช่วยงานการพัฒนากทม. และพร้อมเป็นทีมช่วยคิด สนับสนุนคนที่มาแนวทางเดียวกัน โดยขอเลือกบุคคลหน้าใหม่มาร่วม นอกจากนักการเมืองที่มีอยู่
         
"ที่คิดเช่นนี้ไม่ใช่ว่า ตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม.เล็กไป หรือถึงไม่ลงสมัครเอง ยืนยันตรงนี้เลยว่าไม่เล็ก และไม่ได้คิดเช่นนั้น แต่อยากเปิดโอกาสให้คนหน้าใหม่ที่มีความคิดใหม่ๆ เข้ามาร่วมกับเรา อย่างนี้จะเป็นมุมบวกเพิ่มมากกว่า เพราะตลอดมางานบริหาร กทม.อยู่ในความสนใจทุกครั้ง"
         
คุณหญิงแสดงทัศนะว่า คน กทม.เสียโอกาสในการพัฒนามาหลายปี ทั้งที่เป็นเมืองหลวงของประเทศ เป็นหัวใจหลัก และถ้าหัวใจแข็งแรง เลือดสูบฉีดดีก็จะแข็งแรงทั้งตัว ทั้งนี้การดูแล กทม.ไม่ใช่ทำให้คนกรุงมีความสุขเท่านั้น แต่ต้องส่งผลให้ทั้งประเทศแข็งแรงด้วย อย่างที่ช่วงประสบภัยน้ำท่วม ผู้ว่าฯ กทม.บอกว่าห้ามน้ำเข้ากทม. เพราะฉันดูแล กทม. ไม่ให้น้ำจากที่อื่นเข้าอย่างนั้นไม่ได้ เพราะบางทีต้องดูภาพรวม ซึ่งงานบริหาร กทม.ไม่ใช่งานยาก เพราะ 1.มีพื้นที่ขอบเขตชัดเจน และ2.การเมืองมีไม่มาก แตกต่างจากงานอย่างรัฐบาล ที่กระดิกตัวลำบาก ดังนั้นงานบริหาร กทม. ถ้าได้คนที่มีความตั้งใจ มือสะอาด คน กทม.จะไม่เสียโอกาส
         
จากประสบการณ์ที่คลุกคลีกับนโยบาย พัฒนาประเทศมายาวนาน ในปี 2543 คุณหญิงสุดารัตน์เคยลงรับสมัครเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ในนามของพรรคไทยรักไทย แต่ต้องพ่ายแพ้ให้กับคู่แข่งขันคนสำคัญ คือ สมัคร สุนทรเวชที่ลงชิงชัยในครั้งนั้นด้วย
         
เธอเล่าว่าเรื่อง นโยบายงานของกทม. คิดขึ้นเองและเขียนขึ้นกับมือทั้งเล่ม ตั้งแต่เรื่องผังเมืองแม้จะนำมาเปิดอ่านในวันนี้ก็ยังคงทันสมัยอยู่ อาจมีบางส่วนที่ต้องปรับปรุงนิดหน่อย เช่น เคยคิดจะทำพื้นที่เพื่อเยาวชนให้ได้อ่านหนังสือ แต่วันนี้โลกเปลี่ยนไปแล้ว จึงต้องเป็นพื้นที่ที่มีไวไฟ โดยปรับให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ปัจจุบันทว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเรื่อง ต่างๆแทบจะไม่ได้ทำเลย ฉะนั้นจึงเสียดายโอกาสพัฒนา กทม. และจากนี้อีก1-2 เดือนจะเริ่มเปิดนโยบายทีละเรื่องเพื่อให้เป็นนโยบายสาธารณะ
         
"จะ ตั้งต้นจากนโยบายเล่มที่ทำขึ้นมา เพราะถ้าคนได้อ่านจะรู้ทันทีว่าเรามองไปถึงมิติเรื่องของเศรษฐกิจด้วยสุขภาพ ความเป็นครอบครัว วันนี้คน กทม.น่าสงสารพ่อแม่ไปทำงาน ลูกไปอีกทาง ในนโยบายจะให้ความสำคัญกับครอบครัว โดยวันอาทิตย์จะต้องเป็นวันสำคัญของครอบครัวคนกรุง แล้ว กทม.ต้องจัดหาพื้นที่ทำกิจกรรม ให้ครอบครัวอยู่ด้วยกันในวันอาทิตย์ได้อย่างสร้างสรรค์ ไม่ใช่จบด้วยการเดินห้าง ต้องมาคิดกันว่าทำอย่างไรให้ กทม.น่าอยู่จริงๆ ไม่ใช่น่าอยู่เพราะมีตึกสูงใหญ่สวยงาม แต่ต้องมองให้ครบทุกด้านอย่างแท้จริง"คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวถึงแนวทางนโยบาย
         
"วันนี้ รัฐธรรมนูญคือแพะของความขัดแย้ง แม้กระทั่งตอนนี้ตัวพี่เองยังหวั่นไหวอยู่ตลอดเวลาว่าความขัดแย้งยังมีอยู่ เพราะมีนักค้าอาวุธสงครามที่ได้ประโยชน์จากความขัดแย้งทางการเมืองเขาจะ แหย่อยู่เรื่อยๆแล้วถ้ารัฐบาลไม่ระวังกับดัก ก็จะเพลี่ยงพล้ำได้ ต้องยอมรับว่าจากนี้รัฐบาลจะต้องเจอกับปัญหาหนักตลอดทางแน่นอน"

คอมพ์ฉาว900ล้าน เหยื่อปปช.

"จบเรื่องนี้เมื่อไหร่จะเขียนหนังสือชื่อคอมพ์ฉาว 900 ล้าน เพราะเป็นรัฐมนตรีมา 4 กระทรวง ไม่เคยถูกกล่าวหาว่าทุจริต หรือถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ไม่เคยถูกตั้งกรรมการสอบแต่อยู่ๆ ถูกกล่าวหาว่าทุจริตโครงการจัดซื้อจัดจ้างคอมพิวเตอร์ของกระทรวงสาธารณ สุข(สธ.) ถูกตราหน้าว่าเป็นคนทุจริต" คุณหญิงหน่อยกล่าวพร้อมกับหัวเราะไปพร้อมๆ กัน

คำกล่าวของ คุณหญิงสุดารัตน์ ถ่ายทอดออกมาปะปนความอัดอั้นตันใจ ที่ต้องครุ่นคิดถึงการแก้ต่างในคดี ข้อกล่าวหาว่าทุจริตจัดซื้อจัดจ้างโครงการคอมพิวเตอร์ของกระทรวงสาธารณสุข มูลค่า 900 ล้านบาท     

เธอเล่าว่า เรื่องเกิดขึ้นในสมัยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีสาธารณสุข ปี 2546-2547 ซึ่งคำคำนี้(คอมพ์ฉาว) ได้ยินทุกครั้งเหมือนนำมีดมากรีดหัวใจ เพราะจะมีสักกี่คนที่รู้ว่าโครงการนี้ไม่ได้จัดซื้อแม้แต่เครื่องเดียวและงบ ประมาณก็ส่งคืนกระทรวงการคลังทุกบาททุกสตางค์ อีกทั้งเรื่องมีอยู่ว่า กรมบัญชีกลางที่มีหน้าที่ในการควบคุมการจัดซื้อจัดจ้างทั่วประเทศตามกฎหมาย ชี้มาแล้วว่าบริษัทเอกชนที่เป็นผู้ร่วมประมูลโครงการตกสเปกทุกประการ คือ โครงการจัดซื้อระบุต้องการ
         
ความจุเครื่องคอมพิวเตอร์2 กิกะไบต์ และความเร็วของดีวีดีรอม 10 เอกซ์ แต่บริษัทเอกชนแห่งนี้เสนอเพียง 1 กิกะไบต์ และความเร็วดีวีดีรอมเพียง 6 เอกซ์ บริษัทเอกชนเขาก็ไม่สามารถเข้าสู่การประมูลได้ อย่าว่าแต่จะให้เป็นผู้ชนะการประมูลเลย ทำให้โครงการยังไม่ได้เริ่มประมูล
         
ทั้ง ในปี 2547 ก็ได้ร้องเรียนไปถึงคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และเป็นคนร้องเรียนคนแรกของคดี แต่หลังจากนั้น (หัวเราะ) กลายเป็นผู้ถูกกล่าวหาซะเอง อย่างนี้ต้องเรียก "คดีพลิก!"คุณหญิงอธิบายว่า ปมที่เป็นไฮไลต์หลักเลยก็ว่าได้ อยู่ที่การกล่าวอ้างว่าบริษัทเอกชนรู้เรื่องสเปกการประมูลล่วงหน้า และค่าซ่อมบำรุง 5 ปีจึงมาเสนอ ผลก็คือบริษัทนี้เสนอค่าเครื่องคอมพิวเตอร์ถูกกว่าคนอื่น13 ล้านบาท แต่ค่าซ่อมบำรุง 5 ปี แพงกว่าคนอื่นถึง419 ล้านบาทถามว่าเป็นวิญญูชนที่เห็นแก่ประโยชน์ของทางราชการ จะซื้อลงหรือไม่
         
"เพราะ ซื้อจากบริษัทไหนก็ต้องซ่อมกับบริษัทนั้น เท่ากับเสียค่าโง่ ใครที่เขียนรายละเอียดว่าจ้างเช่นนี้ทำให้รัฐเสียผลประโยชน์ และคนที่รับผิดชอบการเขียนรายละเอียดนี้คือ ภักดี โพธิศิริกรรมการ ป.ป.ช. ในสมัยดำรงตำแหน่งรองปลัด สธ. และเป็นประธานคณะกรรมการประกวดราคาจัดซื้อ(ทีโออาร์) รับผิดชอบเขียนรายละเอียดจัดซื้อจัดจ้าง และยังจะมาเป็นกรรมการ ป.ป.ช.สอบเรื่องที่ตัวเองทำได้อย่างไร"
         

คุณหญิง เล่าว่า มีความพยายามจะให้เหมือนว่าเป็นการโทร.สั่งการให้ได้ เช่น กล่าวหาว่าโทร.สั่งการใช้เวลา39 นาทีจากต่างประเทศแต่ในขณะนั้นได้ไปประชุมที่ต่างประเทศ ก็ต้องโทร.มาถามข้อมูลจากข้าราชการอยู่แล้ว เป็นการโทร.เพียง1.2 นาที ป.ป.ช.คิดรวมเป็น 12 นาที โทร.อีกครั้ง2.7 นาที เขาก็รวมเป็น 27 นาที ฉะนั้นโทร.รวมกัน 39 นาที เพื่อให้ดูเหมือนว่าได้มีการสั่งการยาวมาก ซึ่งมันไม่ใช่ คุณจะไม่เห็นจุดทศนิยมได้อย่างไร ทั้งหมดเป็นกระบวนการสอบสวนอย่างไม่เป็นธรรม
         
ดังนั้น การที่ไปเป็นพยานในการถอดถอน"ภักดี"เป็นการรักษา ป.ป.ช.เอาไว้ เพราะองค์กรอิสระมีความสำคัญ ต้องอยู่ต่อไป ส่วนคนไม่ดีต้องถูกพิจารณา ซึ่งในวันที่ 9 มี.ค.นี้ วุฒิสภาจะลงคะแนนตัดสินว่าจะถอดถอนหรือไม่ตรงนี้จะเป็นการ พิสูจน์ถึงการถ่วงดุลตรวจสอบองค์กรอิสระ


สำนักงานบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : รายงานพิเศษ ลุยต่อ ไม่ทิ้งการเมือง

view